ฟากฟ้ามืดสนิท แสงเรืองรองจากเรือนหลังน้อยของเธอสะดุดตามาแต่ไกล พิมคว้าเถาเข่งใหญ่ที่วางซ้อนกันอยู่ตรงหน้าก่อนจะลุกจากที่นั่งบนรถกระบะโดยสาร พลางฉีกยิ้มกว้างเมื่อหวนนึกได้ว่าลูกชายคงมาเยี่ยมเยียนในช่วงปิดภาคเรียน
“ใครอยู่บ้านจ๊ะแม่พิม” หนุ่มใหญ่ผู้ซึ่งมีหน้าที่ขับรถชะโงกศีรษะถาม ด้วยความแปลกใจไม่ต่างกัน
“สงสัยกันต์จะมาจ้ะ” เธอตอบพลางชะเง้อคอมองเข้าไปในเรือน
“กันต์มาเหรอ” คู่สนทนาทวนคำ พลางครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ “งั้นพรุ่งนี้เช้าก่อนเข้าตลาด พี่ค่อยเอาปลาที่จับไว้มาให้ล่ะกัน”
พิมพยักหน้าพลางส่งยิ้มแทนการตอบรับ แล้วรีบย่ำเท้าตรงไปที่เรือน
ร่างสูงปรากฏกายขึ้นเมื่อเธอง้างบานประตูไม้ไผ่ พิมถึงกับต้องกลั้นน้ำตาเมื่อเห็นใบหน้าของลูกชายอย่างชัดเจน
“แม่” กันต์ธีร์พุ่งตัวไปกระโจนกอดมารดา จนร่างบางของผู้ให้กำเนิดเซถลาไปอีกทาง
“กันต์ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ งวดนี้ไม่เห็นเขียนจดหมายมาบอกก่อน” เธอพยายามพยุงตัวเองและถามอย่างไม่เป็นคำ น้ำตาปิ่มร่วงรินเมื่อได้สัมผัสโอบกอดร่างกำยำของลูกชาย
“กันต์มีเรื่องสำคัญจะคุยกับแม่” เขาบอกอย่างไม่จริงจังนัก พลางคลายอ้อมกอด แล้วดึงเถาเข่งจากมือมารดามาถือไว้เอง “แม่ดูละกันว่างวดนี้ กันต์พาใครมาด้วย”
ผู้อาวุโสกว่ามองตามสายตาลูก ร่างสูงของผู้ชายอีกคนที่ยืนรออยู่เพิ่มความรู้สึกประหลาดใจให้เป็นทวีคูณ
“ใครกันจ๊ะ” เธอถามไปพลางรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา เมื่อชายผู้นั้นขยับตัวเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “ใครนะกันต์ หรือว่า... หรือว่า...”
พิมพูดไม่ออกอีก เมื่อเขาตรงมาคุกเข่า แล้วก้มลงกราบแทบเท้า
“ใช่แล้ว ก้องไงแม่” ผู้เยาว์วัยกว่าเฉลย “แหม ทีงี้ทำเป็นซึ้ง ชวนมาตั้งหลายครั้งแล้ว บ่ายเบี่ยงอยู่ได้”
“ก้อง... ก้องเหรอ...” ผู้เป็นมารดายังอยู่ในอาการตกตะลึง ด้วยไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่า จะมีโอกาสได้พบหน้าลูกชายอีกคนที่มิได้เลี้ยงดูมา ลูกที่อาจไม่เคยรู้ว่ามีเธอเป็นแม่อยู่
“ขอโทษนะแม่ ที่ผมไม่เคยคิดจะมาเยี่ยมแม่เลย” เกียรติก้องกล่าว
อาจเป็นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องเติบโตมาอย่างลูกกำพร้า ความเจ็บลึก ๆ ที่ไม่มีโอกาสยืนอยู่ท่ามกลางความรักของบิดามารดาเหมือนอย่างคนอื่น ๆ ...หรือใดอื่น เขามิอาจตอบคำถามตัวเอง
พิมทรุดกายลงประคองใบหน้าลูกชายคนโตขึ้นพิศมองอย่างเต็มตา แสงจากไฟนีออนบนเรือนอาบไล้ดวงหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม ลูกที่เติบโตขึ้นมาจากความเมตตาของผู้มีพระคุณสำหรับเธอ
“ไม่เป็นไรลูก... ไม่เป็นไร” ผู้เป็นมารดาส่ายหน้า น้ำตาหลั่งริน “แม่ไม่ดีเอง ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก”
“ขึ้นบ้านเถอะแม่” คนเป็นน้องชิงตัดบท “บนบ้านมีเรื่องให้ตื่นเต้นกว่านี้อีก”
สายตาของลูกชายทั้งสอง ทำให้เธอต้องเบนมองตามขึ้นไป ร่างผอมสูงของชายผู้หนึ่งนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนชานเรือน วันเวลาอันยาวนานช่วยผลักไสทุกเรื่องราวและเหตุการณ์อันเลวร้ายให้กลายเป็นเพียงภาพความทรงจำในอดีต ซึ่งไม่เคยคิดจะหวนกลับไประลึกถึงอีก ความหนาวเยือกแผ่ปกคลุมหัวใจเธออีกครั้ง เมื่อครานี้ จำต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับบาดแผลใจครั้งร้ายแรง
เกรียงศักดิ์ทอดสายตามองร่างเล็กแบบบางของสตรีนางหนึ่ง ซึ่งกำลังก้าวขึ้นกระไดเรือนแล้วตรงมาที่เขาอย่างนอบน้อม เธออยู่ในชุดผ้าซิ่นและเสื้อแขนยาวผ่าหน้าสีเข้ม ผมที่เคยยาวถูกเกล้าไว้เป็นมวยกลม แสงสลัวจากไฟนีออนช่วยจับภาพใบหน้าเรียวเล็กที่ยังคงร่องรอยของความสวยตั้งแต่ครั้งวัยแรกสาว เธอหย่อนตัวลงนั่งพับเพียบแล้วโน้มตัวลงไหว้เขา
“เอ่อ.. ดิฉันไม่ทราบว่า คุณเกรียงศักดิ์กับลูกจะมา เลยไม่ได้เตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้” เธอบอกอย่างหวาด ๆ ดวงตาหลุบลงทอดมองอยู่เพียงพื้นเรือนซึ่งอยู่ในสภาพผุพังเต็มที
ชายหนุ่มทั้งสองติดตามมานั่งขนาบข้างมารดา ทอดมองการสนทนาของทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ต้องหรอก กินมาจากตลาดแล้วทั้งสามคน” เกรียงศักดิ์บอกเสียงเย็น พลางแอบชำเลืองมองคู่สนทนา เวลาเกือบยี่สิบปีมิได้เปลี่ยนแปลงเธอไปมากมายนัก ผิดกับผู้ชายวัยกลางคนที่ดูซอมซ่อลงจนเกือบชราอย่างเขา “แค่จะมาขอค้างซักคืน”
คนเป็นเจ้าของบ้านพยักหน้าน้อย ๆ รับคำ
“ค่ะ งั้นดิฉัน...ขอตัวไปจัดห้องให้ก่อนนะคะ” เธอบอกแล้วลุกเดินค่อมตัวเข้าไปภายในบ้าน
ดุจการพบหน้าของคนที่เพิ่งรู้จัก ไร้ซึ่งบรรยากาศของความเป็นครอบครัว สองพี่น้องต่างเพ่งมองร่างของมารดาที่เดินหายเข้าไปภายในบ้านสลับกับสีหน้าเมินเฉยของบิดา ซึ่งยังคงเอาแต่หลบสายตาของพวกเขา ภาพอันดำมืดของการพบหน้าที่พวกเขาต่างเฝ้ารอคอยเปิดฉากขึ้นอย่างเย็นชาและไร้ชีวิตชีวาสิ้นดี
จากคุณ |
:
วังวน
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.ย. 55 10:03:18
|
|
|
|