 |
ตอนที่ ๓ ภพแห่งรัก
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา
(ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้, ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้น. ขอ อิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี ฯ)
อนุโมทนารัมภคาถากังวานแผ่อำนาจบุญกำจรกำจาย สิตาอินทร์ นั่งพับเพียบเรียบร้อยด้วยกริยาอันสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อชวน มือเรียวประคองคนโธขนาดเล็กที่ใช้กรวดน้ำพยายามตั้งจิตแผ่กุศลไปยังหญิงสาวชื่อแก้วโกสุมที่เธอพบในความฝัน ที่กลางศาลาวัดยังมีผู้มารอถวายสังฆทานอีกสามสี่รายทำให้เธอยังไม่สามารถ สนทนากับหลวงพ่อได้ จึงได้แต่นั่งกลกระวายอยู่ตรงนั้นเอง
"เอาล่ะโยมอิน จะถามอะไรหลวงพ่อหรือ"
"คือ ว่าอิน ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนนะเจ้าค่ะ" แม้สิตาอินทร์จะค่อยยิ้มออกเมื่อคนที่มาทำบุญเริ่มซาลงจนได้โอกาสที่จะถาม ข้อสงสัย แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังคงเรียบเรียงคำถามออกมาไม่ได้
"โยม อิน ไตรลักษณ์(รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ) เป็นอนัตตา คือไม่มีไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หากแต่ตัวตนของโยมนี้ก็เป็นเพียงกลุ่มก้อนของเหตุที่มาเป็นปัจจัยกัน ดั่งอิทัปปัจจยตา อันหมายความถึง การเกี่ยวเนื่องกันของเหตุและผล เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล เมื่อเหตุดับผลจึงดับ"
"ภพชาติก่อนของอิน เป็นเหตุให้ชาตินี้ เอ้ย! ตอนนี้อินพบกับเรื่องราวแปลกที่อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ยากนะเจ้าค่ะ"
"สัญญา สัจจาอธิฐานอันเกิดจากโยม และความปรารถนาอันแรงกล้าของอีกหนึ่งดวงวิญญาณ ซึ่งติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ จะทำให้โยมประสบเคราะห์"
"หลวงพ่อช่วยอินด้วยซิเจ้าคะ หลายภพหลายชาติแล้วทำไมยังตามกันอยู่ได้เล่าคะ" หลวงพ่อรู้จริงๆ ดั่งที่เธอคาดเอาไว้ ทำให้สิตาอินทร์เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"กรรมไม่มีเวลา ไม่มีวันหมดอายุหรอกโยม ใครก่อกรรมใดไว้ย่อมต้องชดใช้ผลกรรมอันนั้นโดยแน่นอน เอานี่ไว้รักษาตัวก่อนก็แล้วกัน โยมผูกติดข้อมือไว้ แล้วก็บอกให้โยมฟ้า หากมีอะไรเกิดขึ้นให้มาหาหลวงพ่อ" หลวงพ่อชวนวางสายสิญจน์ที่มีตระกรุดอันเล็กๆ ไว้ให้ สิตาอินทร์รีบเก็บไว้ทันที แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ต่อการสนทนา พุทธศาสนิกชนก็เข้ามาอีกกลุ่มใหญ่ คราวนี้เธอรออยู่นานมากแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีโอกาสอีกเลย จึงต้องยอมแพ้กราบลาหลวงพ่อกลับไปก่อน เพราะที่จริงหลวงพ่อคงไม่อยากจะสนทนากับเธอแล้วด้วย
สิตาอินทร์นำสายสิญจน์ที่หลวงพ่อให้คล้องมัดไว้ที่ข้อมือด้วยตนเองทันทีที่เดินถึงรถ แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่สำเร็จเสียที…
"ให้ ผมช่วยนะครับ" ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ฉวยโอกาสคว้าข้อมือน้อยไปไว้ในอุ้งมือ ก่อนที่จะคลายมาจับสายสิญจน์ผูกมัดที่ข้อมือให้อย่างอ่อนโยน สิตาอินทร์ ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน หากแต่ดวงตาคู่งามมัวแต่มองใบหน้าคมเข้มอย่างตื่นตะลึก 'องค์รามราช' ไม่ใช่ซินะ....
"คุณภูริชย์"
"ครับ ผม" ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างสุภาพ โอ...ช่างเป็นร้อยยิ้มที่สามารถทำให้หัวใจของสาวๆ ละลายได้จริงๆ และหัวใจของเธอคงละลายแล้วจริงๆ ถึงได้รู้สึกวิงเวียนเช่นนี้ ไม่นะสิตาอินทร์ นายคนนี้เป็นสาเหตุให้เธอเป็นลมจริงๆ ด้วย จากนั้นสิตาอินทร์ก็รู้สึกวูบเข้าสู่ภวังค์ในทันที
“ศรีอุษา เจ้าลงมาเถิด” เสียงเพรียกขานนามดังแว่วอยู่ในห้วงคำนึงอันแสนมัวม่นของสิตาอินทร์ นี่เธอเข้าสู่การระลึกชาติอีกแล้วหรือ ศรีอุษา กำลังทำอะไรอยู่นะ
“ประเดี๋ยว จันทรา ข้าจักคว้าหมากม่วงผลงามบัดเดี๋ยวนี้” สิตาอินทร์เริ่มได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น หากแต่ยังไม่เห็นภาพใดๆ นอกจากความมืด และปากของเธอก็ขยับพูดออกไปเองเหมือนเดิม
“ว้าย!!! ระวัง ศรีอุษา” สิตาอินทร์เริ่มมองเห็นภาพขึ้นรางๆ บ้างแล้ว แต่ก็สายเกินไปเมื่อเธอก้าวพราดและกำลังร่วงลงมาจากที่สูง เมื่อภาพปรากชัดเจนขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตนเองได้ตกอยู่ในอ้อมพระอุระขององค์ รามราชอีกแล้ว สีพระพักตร์ของพระองค์ดูจะแสดงถึงความยุ่งยากพระหฤทัยอยู่มิใช่น้อย สาวน้อยวัยสิบห้าขวบปีมองพระพักตร์คมคายด้วยดวงเนตรกลมโตอย่างคนตื่นตะลึง กริยานั้นทั้งน่าเอ็นดูและน่าขันในคราเดียว หากแต่องค์รามราชยังคงตีพักตร์ขรึมออกดุเสียซ้ำไป
“สูเจ้า เป็นลูกเต้าเล่าใครกัน เหตุไรจึงซุกซนเยี่ยงนี้ บ่งามสมเป็นแม่หญิงเสียเลย” ฟังความว่า ศรีอุษา ก็แทบหลั่งน้ำตาด้วยความน้อยใจ นี่องค์รามราชจำนางมิได้เลยหรือ สิตาอิทร์ก็รับรู้ความรู้สึกของศรีอุษาเช่นกัน จึงพยายามต่อว่าต่อขานแต่เสียงก็ไม่ออกไปอย่างใจคิด ‘เถียงหน่อยซิศรีอุษา เงียบปล่อยให้เขากอดอยู่ได้’ สิตาอินทร์ร้อนรนบอกไปไม่รู้ศรีอุษาจะได้ยินหรือเปล่า แต่สาวน้อยก็เริ่มออกแรงดิ้นรนให้พ้นจากอ้อมอุระแกร่งทันทีเช่นกัน
“ปล่อย ข้า” ร่างน้อยอรชรดิ้นรนผลักไสเป็นพลันละวันเพื่อให้ตนเป็นอิสระ สร้อยเส้นน้อยที่ใช้คล้องธำมรงค์วงงามจึงได้ปรากฏแก่สายพระเนตรคมกริบนั่น รอยแย้มพระสรวลจึงค่อยมีขึ้นแก่นาง สาวน้อยหยุดดิ้นรนด้วยไม่เข้าใจเหตุใดอยู่ๆ องค์รามราชจึงแย้มพระสรวลให้ แต่แล้วปรางค์ก็สุกปลั่งแดงระเรื่อเมื่อได้ฟังรับสั่งเอ่ยเฉลย
“อ้อ...เจ้า เองดอกหรือ ข้าฤาหลงวิตกเกรงว่าจักต้องรับหญิงใดไปเป็นชายาอีก” คำรับสั่งตอกย้ำว่ายังมิได้ทรงลืมสัญญาแต่หนหลังทำให้ศรีอุษาอายนัก ลอบมองจันทราเพื่อนรักที่มาด้วยกันเห็นนั่งหมอบก้มหน้าอยู่ก็ค่อยคลายใจว่า คงมิได้เห็นรอยแย้มพระสรวลนั่น
องค์ รามราชปล่อยร่างอรชรลงสู่พื้นอย่างอ่อนโยน รอยอบอุ่นยังแผ่ซานอยู่ในกายเจ้าสาวน้อยให้รู้สึกรัญจวนปั่นปวนใจยิ่ง เป็นความรู้สึกประหลาดแท้ที่นางเองเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรก โดยมิรู้เลยว่าองค์แกร่งสง่าก็ทรงรู้สึกมิได้แตกต่างกัน เนตรพิสุจน์ใสดวงกลมโตมองสบพระเนตรคมอยู่อีกเป็นอึดใจต่างคนต่างตกอยู่ใน ห้วงภวังค์แห่งตน จวบได้ยินเสียงของจันทราจึงได้รู้สึกตัวว่ามิได้อยู่กันเพียงสอง
“เจ้าชายรามราช โปรดอภัยให้หม่อมฉันทั้งสองด้วยเถิดเพค่ะ” เท่านั้นศรีอุษาจึงรีบลงไปนั่งก้มหน้าตามเพื่อนทันที
“สูเจ้ามาทำอันใดฤา”
“หม่อมฉันกับศรีอุษามาเก็บผลหมากม่วงเพคะ”
“แล้ว ได้ฤา” องค์รามราชทรงเงยพระพักตรขึ้นมองยังผลที่เจ้างามน้อยปองเมื่อครู่ก็อมยิ้ม นึกเอ็นดูอยู่ในพระทัย ด้วยผลนั้นอยู่สูงและไกลจากกิ่งมิใช่น้อยก็ควรอยู่ดอกที่เจ้าร่างน้อยจะเอื้อมไม่ถึง
จากคุณ |
:
กิ่งพุทธชาติ
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ต.ค. 55 13:37:39
|
|
|
|
 |