Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 15 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12708785/W12708785.html

บทที่ 15

ใต้โถงอันอึมครึมและปกคลุมด้วยม่านหยากไย่หนาแน่น บังเกิดเสียงคำรามครืนแผ่วคล้ายริ้วคลื่นที่ทยอยเคลื่อนระลอกจากท้องน้ำเข้าชิดเชยฝั่ง

แม่นางแพรพลิ้วร่างเบาใต้อาภรณ์ขาดวิ่นสีตุ่นๆ ฉวัดเฉวียนอยู่ในความอับชื้น ตาทื่อเย็นยะเยือกก็หมั่นเมียงมองพี่ชายซาตานในพันธนาการคำสาปแม่นางกณิการ์

"มันจะมาที่นี่ มันกำลังจะมา ดีแล้ว รอให้มันมา เจ้าต้องฆ่ามันให้พี่"

"น้องรู้ว่าพี่ดีใจที่มันกำลังจะมาปลดปล่อยพันธนาการ แต่น้องไม่แน่ใจว่าจะต่อสู้กับบารมีของมันได้หรือเปล่า"

"ขี้ขลาดนักแม่นางแพร" ซาตานวจากระชากเสียงด่าเดือดดาล "แม่นางชั่วหมดอำนาจไปตั้งนานแล้ว มันพ่ายแพ้แก่พี่ คามดารกะตกอยู่ใต้อำนาจมนตราสมิงพรายไพรที่พี่ร่ำเรียนมาจากใต้หุบเหวดับสูญ มันไม่มีวันเอาชนะพี่ได้"

"แต่ว่า.. "

"พี่เป็นอมตะ เจ้าลืมไปหรือแม่นางแพร ช่างไม่สมกับที่เป็นน้องสาวของซาตานเช่นข้าเสียจริงๆ "

แม่นางแพรพลิ้วร่างมาหยุดห่างแท่นพันธนาการ นางเป็นผีร้าย อำนาจที่มีเป็นเพียงมนตร์มืดที่ใช้ครอบงำเหยื่ออ่อนแอเท่านั้น หากให้ต่อกรกับผู้มีวาสนาและบารมี นางย่อมทำไม่ได้ และมีแต่จะพ่ายแพ้ ดีไม่ดีดวงวิญญาณอาจดับสูญตลอดกาลอีกด้วย

หรืออย่าว่าแต่แม่นางกณิการ์เลย แม้กระทั่งท่านศมะหรือพระครูลาพุชก็เถอะ หากให้ปะทะกันตรงๆ นางก็ยังไม่กล้าเสี่ยงด้วยซ้ำ

"เจ้ารอวันแห่งชัยชนะเถอะแม่นางแพร เวลาอันรุ่งเรืองของเราสองพี่น้องใกล้เข้ามาแล้ว โซ่ตรวนคำสาปขาดสะบั้นเมื่อไหร่ ข้าจะแผ่อำนาจซาตานให้เกรียงไกร ทั่วทุกคามต้องยำเกรงและยอมสยบต่อข้า"

"พี่"

"เนื้อตัวพี่แห้งนัก พี่ต้องการเลือด เจ้าไปจัดการแม่นางแพร"

ดวงวิญญาณมวลผกาซุกคุดคู้ในซอกอับชื้น ตาไร้แววจ้องทื่อไปยังแม่นางแพรผู้โหดร้าย หล่อนกลายเป็นผีไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายหวาดกลัวต่ออำนาจแรงกล้ากว่าของนางผีอัปลักษณ์

ยามนี้พอเห็นอีกฝ่ายเหลียวขวับมาถลึงตาน่าขนลุก ร่างสีตุ่นๆ พลิ้วขวับมาลอยไปลอยมากลางอากาศ พลางยื่นมือยาวลงมาหมายตะปบคอ หล่อนก็พลันกรีดร้องตระหนก รีบพุ่งร่างคุดคู้ทะยานลอยหลบหนี แต่ก็ไม่มีวันรอดพ้นปรารถนาอำมหิตอยู่ดี

"โอ๊ย" หล่อนร้องเจ็บปวดเมื่อเส้นผมกระจุกหนึ่งโดนขยุ้มด้วยมือยาว

"คิดกำแหงหรือเจ้าดวงวิญญาณใหม่ มานี่"

พอสิ้นคำดุร้าย ข้อมือเกร็งตวัดเล็กน้อย มวลผกาก็ลอยวืดเข้าหา หล่อนกรีดร้องหลับตาพรั่นพรึงเมื่อใบหน้าพรุนด้วยน้ำเลือดน้ำหนองของแม่นางแพรโน้มต่ำลงพร้อมกับแสยะยิ้มหยัน

โอ.. ภรรยาของธิสัยช่างน่าสงสารอยู่ในโลกของวิญญาณโดยแท้ เพราะหล่อนเพิ่งตายได้ไม่นาน ร่างศพยังสดและเลือดยังไหลส่งกลิ่นคาวคลุ้ง แม่นางแพรจิกผมทารุณจนใบหน้าแหงนหงายเปิดช่องคอให้มืออีกข้างเจาะทะลวงจนเกิดรูกลวง

เลือดทะลักท่วมร่างสั่นกระตุก นางผีร้ายไม่รอช้าก็รีบเหวี่ยงร่างโชกเลือดเข้าไปในแท่นพันธนาการ เลือดสดก็พลันชโลมอาบร่างแห้งกรังของซาตานก่อเกิดความชุ่มชื่นจนมันแผดเสียงหัวเราะโหยหวนอย่างสำราญ

ท่านศมะส่ายหน้าเวทนาอยู่ด้านนอก ท่านไม่อาจต่อกรกับอำนาจที่แรงกล้ากว่าของซาตานวจาได้ จึงต้องจำใจเตร่ไปเตร่มาหน้าวิหารวังเพื่อเฝ้ารอการย้อนคืนของแม่นางกณิการ์

ยามนี้พอเห็นหน่อเนื้อรุ่นหลังต้องมากลายเป็นเหยื่อสังเวยความอหังการของซาตานชั่ว ก็อดที่จะสะทกสะท้อนและจนปัญญาจะช่วยเหลือ

"แม่นางเอย เจ้าช่างน่าสงสารยิ่ง หากฟังคำเราเตือนเสียตั้งแต่ทีแรก ชีวิตเจ้าก็จะไม่จบสิ้นอย่างอนาถเช่นนี้หรอก"

ขณะรำพึงด้วยใจหดหู่ เสียงสะอื้นของมวลผกาก็แว่วออกมาให้ท่านทอดถอนใจ กว่าร่างศพจะแห้งกรัง กว่าจะเน่าเปื่อยและสลายไปเอง ดวงวิญญาณของหล่อนคงต้องทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หล่อนไม่มีพลังอำนาจแข็งกล้ามากพอที่จะต้านบารมีของแม่นางแพรผีร้าย และจำต้องสังเวยทั้งร่างศพและเลือดที่ยังมีเซ่นร่างแห้งกรังของซาตานวจาไปจนกว่าจะหมดประโยชน์

หรือไม่ก็จนกว่าจะมีเหยื่อรายใหม่หลงเข้ามาให้แม่นางแพรล่อลวงแล้วครอบงำด้วยมนตร์มืด จากนั้นก็คร่าชีวิตกักขังดวงวิญญาณให้เป็นทาสต่อไป




เงาเลือนรางพรายขึ้นตรงมุมห้อง มันพลิ้วไหวดั่งมีชีวิต หากแต่สีดำทึบของมันนั่นเองที่ทำให้ฤดีดิษถ์มั่นใจว่ามันเป็นเพียงเงาปริศนา เธอผลักผ้าห่มแล้วลุกนั่งเพ่งเขม็งด้วยแสงตาคมกล้า ใจหนึ่งก็อยากเปิดไฟ แต่ฉับพลัน เงาดำทึบก็พรายเสียงแผ่วออกมาห้าม

"อย่าทำอย่างนั้น"

"ใครน่ะ"

ฤดีดิษถ์ใจเต้นแรงขณะถาม จู่ๆ ขนก็ลุกเกรียวอย่างไม่มีสาเหตุ ลมอะไรก็ไม่รู้พัดเข้ามาทางไหนก็ไม่รู้ แต่มันเย็นยะเยือกจนเกิดอาการเสียวแปลบตลอดไขสันหลัง

"อย่าไปที่นั่นน่ะ มันอันตราย"

"ใคร"

มวลผกาหลั่งน้ำตาอาดูร สงสารว่าเพื่อนรักอาจจะต้องไปตายในที่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นเดียวกับตน จึงพยายามมาเข้าฝันห้ามปราม หล่อนไม่รู้หรอกว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า เพราะฤดีดิษถ์ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะเกลี้ยกล่อมให้ยอมฟังได้ง่ายๆ

"ฉันถามว่าใคร"

เมื่อความสงสัยมันล้นปรี่ ฤดีดิษถ์ก็ไม่สนใจล่ะ เธอลุกไปเปิดไฟแล้วค่อยเลิกคิ้วเมื่อไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติตรงมุมไหนสักมุม แม้แต่มุมที่เธอจ้องเขม็งในความมืดเมื่อครู่ก่อน

"แม่หนู นี่ลุงเอง เป็นอะไรหรือเปล่า แม่หนู"

สาวครีเอทีฟสะดุ้งตื่น ร่างใต้ผ้าห่มดีดลุกปราดเปรียว แสงตาคมกล้าจ้องไปจับประตูที่ยังดังโครมๆ ปนกับเสียงเรียกอย่างกังวลของลุงโภชน์ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะมีใครเจอร่องรอยของธิสัยกับมวลผกาเข้าแล้วหรือเปล่า หรือว่าไม่เจอตัวแต่เจอ 'ศพ'

พอคิดไปเองมาถึงตรงนี้ สาวเพิ่งตื่นก็รีบถลันไปเปิดประตูทันที เธอเสยผมลวกๆ หรี่ตามองเจ้าของบ้านที่ยกตะเกียงส่องหน้า แล้วถามซ้ำว่า

"เป็นอะไรหรือเปล่าแม่หนู เมื่อกี้นี้ได้ยินเหมือนตะโกนอะไรก็ไม่รู้"

"หนูน่ะหรือคะ" ฤดีดิษถ์อุทานมากกว่าถาม เธอเสยผมอีกในขณะที่สีหน้าก็ปั้นงงๆ

"ละเมอหรือเปล่า หรือว่า.. " ลุงโภชน์เกือบหลุดปากไปว่า 'เจออะไรดีๆ ในนี้เข้าแล้วละสิ' ยังดีว่ายั้งไว้ทันท่วงที

"หนูคงจะฝันไปค่ะ รู้สึกเหมือนว่ามีใครมาบอกอะไรสักอย่าง ฟังไม่ถนัด"

"ยังไงหรือ"

"ไม่แน่ใจค่ะ" เธอส่ายหน้า "อาจจะไม่ไป หรืออย่าไป ก็บอกแล้วไงคะว่าฟังไม่ถนัดน่ะ เอาเป็นว่าหนูขอโทษที่ทำให้ลุงตกใจตื่นกลางดึก ลุงไปนอนต่อเถอะค่ะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ"

เจ้าของบ้านพยักหน้าหงึกๆ ตาก็แอบเหล่เข้าไปเล็งแลความมืดข้างใน ใจคอไม่ค่อยดีนักหรอก บุตรสาวกับว่าที่เขยขวัญหายตัวไปอย่างปริศนา มันก็หนักอกหนักอึ้งแล้ว ถ้าขืนปล่อยให้แม่หนูชาวกรุงเป็นอะไรไปอีกคน แกคงอกแตกแน่




ก็ไม่เป็นไร อกแตกมันใช้บรรยายความกลัดกลุ้มอย่างยิ่งยวดของลุงโภชน์เท่านั้น แกกลับห้องแล้วล้มตัวนอนต่อ ก่ายหน้าผากไปสักพักก็หลับอย่างอ่อนเพลีย

ฤดีดิษถ์ก็กลับมานอนต่อ แม้จะไม่ก่ายหน้าผาก แต่พลิกไปตะแคงมาสองสามทีก็ผล็อยหลับอย่างเครียดๆ เช่นกัน

ต่างจากมวลผกาผู้น่าสงสาร พลังจิตของหล่อนยังอ่อนอยู่มาก อาจเป็นเพราะว่าหล่อนยังอยู่ในฐานะ 'ผีใหม่หมาดๆ ' นั่นล่ะ แค่พยายามไปเข้าฝันเพื่อนรักหวังเตือนภัยก็เหนื่อยหอบและกระอักเลือดชโลมตัว

ไม่เท่านั้นหรอก แม่นางแพรยังปราดมาตะปบคอ กดเล็บแหลมคมฝังจนเลือดกระฉูดออกมาตามรูพรุน มันส่งเสียงปรี๊ดๆ พร้อมกับมวลเลือดที่พุ่งเป็นฝอยกระจาย

"บัดซบ เจ้าบังอาจมากที่กล้าส่งจิตโดยพลการ ใครบัญชาเจ้าหรือนางผีทาส นี่แน่ะ"

ร่างเบาปลิวไปกระแทกผนังหินอ่อน มวลผการ้องกรี๊ดตระหนกเมื่อโดนมือแห้งกรังยั้วเยี้ยผุดโผล่มาขยี้ขยำร่างผีใหม่ มันหวังลิ้มรสเลือดที่ยังสด บางตนยังโผล่หน้าวับวาบออกมาแสยะปากแลบลิ้นหมายเลียคอเลียอก

"ไสหัวไป" นางผีชั่วบัญชาเสียงก้อง ปราดไปจิกผมมวลผกาแล้วดึงหยาบช้าจนหลุดจากหมู่มือยั้วเยี้ย "นางผีตนนี้ต้องสังเวยเลือดให้พี่ชายเรา พวกเจ้ากล้าดีมาแย่งชิงหรือ อยากดับสูญตลอดกาลใช่ไหม บัดซบ"

ผีน่าเวทนาตนหนึ่งและเป็นเจ้าของใบหน้ากระหายในเลือดสดนั่นเองโดนลากออกมาบีบขยำด้วยมือแห้งกรังแต่อำมหิตน่าสยดสยอง แม่นางแพรขยี้ไม่ปรานีจนใบหน้าแหลกเหลวกลายเป็นน้ำหนองเหนียวข้น

มวลผการ้องไห้อย่างหวาดกลัว ผีตนนั้นไม่มีหัวแล้ว มันเหลือแค่คอกับตัวที่ยังพลิ้วไปพลิ้วมา

แต่ก็แปลกที่มันยังกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดได้ เสียงยืดยานแหลมและเย็นยะเยือกน่าขนลุกขนพองขณะลอยเป๋ไปเป๋มาแล้วหายเข้าไปอัดแน่นกับหมู่ผีที่ซ่อนในผนังอึมครึม

"จงจำไว้นางผีทาส" แม่นางแพรเหลียวกลับมาตะคอกคาดโทษ "ถ้าเราจับได้ว่าเจ้าแอบส่งจิตโดยพลการอีก เราจะทำลายดวงวิญญาณของเจ้าไม่ต้องไปผุดไปเกิดอีก"

"ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ไปผุดไปเกิดอยู่แล้ว" มวลผกาแย้งเสียงเครือ น้ำตาเลือดยังไหลพราก

"ใครบอกเจ้าหรือ" นางผีหัวเราะเยาะดูแคลนขึ้น "รอให้พี่ชายเราหลุดพ้นจากคำสาปเสียก่อนเถอะ พี่ชายเรามีชีวิตเป็นอมตะ ทาสทั้งหมดที่นี่ก็จะได้ดิบได้ดี รุ่งเรืองอยู่ในอาณาจักรใหม่ที่พี่ชายเราจะสร้างขึ้น พวกเจ้าทุกตนจะฟื้นและเป็นประชาชนของพี่ชายเรา"

"เป็นไปไม่ได้"

พอสิ้นคำ ร่างอ่อนล้าก็ปลิววืดไปกระแทกแท่นหิน มวลผกาเบิกตาโพลงตะครั่นตะครอกับแสงตาเย็นเยียบของซาตานวจา มันถลึงถลนเห็นตาขาวมากกว่าตาดำ

ปากใหญ่แสยะจนเห็นฟันดำเขรอะด้วยเมือกสีขาวขุ่น ทุกครั้งที่มันขยับหรืออ้าปาก เมือกเหนียวก็จะย้วยยืดเป็นจังหวะคล้ายหยากไย่ต้องลมอ่อน

"นางผีทาส รอให้ข้าทำลายคำสาปของแม่นางกณิการ์ลงเสียก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดที่เจ้าบังอาจหยาบหยามไม่ภักดีในตัวข้า"

ฉับพลัน ทั่วโถงอับชื้นก็สั่นครืนเพราะซาตานร่างยักษ์ขยับฮึดฮัด มันคำรามหงุดหงิด ลำตัวแห้งกรังเหมือนตอไม้ผุพยายามบิดดิ้นหวังจะให้โซ่ที่พันธนาการเลื่อนหลวม

ยังมีแผ่นทองเหลืองลงยันต์ที่กำราบฤทธิ์อมตะของมันไว้ ก็แสนดื้อด้านไม่ยอมแม้แต่จะเขยื้อนเพียงน้อยนิด

"แม่นางชั่ว แม่นางบัดซบ ข้าเกลียดชังเจ้า ได้ยินไหม แม่นางกณิการ์ ข้าเกลียดชังเจ้า ข้าจะรอให้เจ้ามา ข้าจะผลาญพร่าเจ้าให้ย่อยยับด้วยกามอาฆาตของข้า"

เพดานโถงสั่นครืน ฝุ่นละอองลอยคลุ้ง เศษหิษเศษไม้ที่ผุเป็นผงร่วงพรูเพราะไม่อาจทานทนกับเสียงแผดคำรามเดือดดาล มันก้องลั่นออกไปกระทบโสตของท่านศมะที่นั่งสำรวมหน้าวิหารวัง กับทุกถ้อยอาฆาตพยาบาทหลังจากนั้น ท่านก็ได้ยินหมดสิ้นด้วยใจแสนเอือมนัก

"ข้าจะฆ่าเจ้า จะใช้เลือดเจ้าอาบแทนน้ำ จะควักหัวใจเจ้ามาเคี้ยวให้แหลก ให้ดวงวิญญาณของเจ้าเป็นทาสข้าชั่วนิจนิรันดร์ ข้าจะหัวเราะเยาะให้สาสมแก่ใจแค้นว่าแม่นางกณิการ์ผู้เกรียงไกรกลับต้องสิ้นวาสนาและอัปยศอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้าซาตานวจาผู้เป็นอมตะ"

แล้วเมื่อสิ้นวาจาเหิมเกริม เสียงกรีดร้องของมวลผกาก็โหยหวนตามหลัง หล่อนคงโดนสังเวยเลือดอีกแล้ว ช่างน่าสังเวชนัก ท่านศมะได้แต่ส่ายหน้าพลางตำหนิตัวเองที่ไปช่วยเหลือหล่อนตอนรถตกเหว

เพราะหากปล่อยให้ตายเสียตอนนั้น ดวงวิญญาณก็คงล่องลอยมึนงงได้ไม่กี่วันหรอก จากนั้นก็จะไปตามทางตามวิถีที่ควรไป ไม่ต้องมาตกระกำลำบากทอดร่างสังเวยเลือดเป็นทาสซาตานใจชั่วเหมือนตอนนี้




หมอผาลืมตาพร้อมกับถอนใจหวั่นวิตก เขาเห็นหมอกควันหนาทึบในห้วงนิมิต เห็นสถานที่อับชื้นและมืดครึ้ม เห็นเหล่าดวงวิญญาณมากมาย และที่เห็นอย่างน่าใจหายก็คือร่างของสาวครีเอทีฟคนนั้น 'ชโลมด้วยเลือด'

"ไม่ตลกเลยนะ"

โชติชลบ่นปนเคือง ก็นี่มันดึกแล้ว แทนที่จะได้หลับได้นอนให้เต็มอิ่ม เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปสมทบกับฤดีดิษถ์แต่เช้า

แต่นี่อะไรกัน เขากลับโดนคุณญาติห่างๆ ที่ห่างมากปลุกให้มานั่งดูตัวเองหลับตาลืมตากับถอนใจนี่น่ะหรือ มันห่วยแตกชะมัด รู้อย่างนี้ไม่รับมานอนเสียด้วยกันที่บ้านก็ดีหรอก

"ใช่ มันไม่ตลกเลย"

หมอผาก็ยอมรับ เขาถอนใจอีก แม้จะอ่านสีหน้าหนุ่มหล่อระดับจอมยุทธ์ออกว่าเคืองแสนเคือง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องปลุกมาให้ร่วมรับรู้กับปัญหาใหญ่ถึงขั้นพิฆาตชีวิตด้วยกัน

"ใช่ มันไม่ตลกเลย ยังมีหน้ามายอมรับไม่สำนึกละอายเลยนะอา นี่มันตีสองแล้วนะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้า ทำไมอาไม่หลับไม่นอน พวกหมอดูหมอผีนี่เขานอนกลางวันแทนกลางคืนหรือยังไง"

"แกอย่าประชดเหลวไหล ถ้าเรื่องไม่ใหญ่ แล้วมีหรือที่อาจะเรียกแกมาปรับทุกข์ด้วย นี่มัน.. "

"โอ๊ย ปรับทุกข์อะไร อย่างผมจะไปช่วยอะไรอาได้ เวทมนตร์ก็ไม่มี สัมผัสพิเศษก็ไม่มี ดูดวงก็ไม่เป็น ทำนายอดีตปัจจุบันอนาคตก็ไม่ได้ โอ๊ย" หลานชายห่างๆ ประชดยาวพรืดเป็นขบวนรถไฟ นวดขมับแก้ง่วงไปด้วย อ้อ หาวให้เห็นอีกนิด

"เราออกเดินทางเดี๋ยวนี้เถอะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป"

"โอ้ ช่างเป็นคุณอาที่น่าเคารพจริงๆ ให้ตายสิ" โชติชลกระแทกเสียงแดกดัน เขาลุกเท้าสะเอวแล้วล่ะ

"นายโจ้ รู้ไหมว่าเมื่อกี้นี้อาเห็นอะไร อาเห็นที่ที่หนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยเหล่าภูตผีที่ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนตลอดเวลา"

"แล้วยังไงครับ"

"ที่นั่นถูกปกคลุมด้วยความมืด มีหยากไย่หนาเตอะอำพรางอีกชั้น ทำให้อามองเห็นสภาพจริงๆ ไม่ถนัด จึงบอกไม่ได้ว่ามันเป็นที่ไหน"

"แล้วยังไงละอา ผมหมายถึงว่าไอ้ที่อาเห็นน่ะ มันมาเกี่ยวอะไรกับที่เราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้ด้วย"

"เพราะอาเห็นผู้หญิงคนนั้นที่นั่น ร่างกายของเธอแดงฉานไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวจรดเท้า"

"คุณดิษถ์น่ะหรือ"

คราวนี้เสียงรำคาญเมื่อประโยคก่อนก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงกระตือรือร้นปนตื่นเต้น ร่างเท่ที่ยืนเท้าสะเอวเซ็งๆ อยู่นานก็ผลุงมานั่งเข่าชนเข่า แถมเขย่าให้คนพูดช่วยพูดซ้ำอีกทีเถอะ อยากฟังให้เต็มๆ หูหน่อย

"ใช่ คุณฤดีดิษถ์นั่นแหละ เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าเราไปถึงที่นั่นช้าเกินไป บางที.. "

"รู้แล้ว อารอเดี๋ยว ผมเปลี่ยนชุดนอนไม่ถึงห้านาที อ้อ อาก็ควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ยกกระเป๋าไปรอพลางๆ ที่รถได้เลย ไปสิ มองหน้าผมอยู่ทำไมอีก"

หมอผาเลิกคิ้วงงจังกับกิริยาที่เปลี่ยนปุบปับของพ่อหลานชาย นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นห่วงสาวครีเอทีฟคนนั้นมากขนาดนั้น ถ้าเป็นแฟนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็แค่พยายามจีบเพื่อแย่งเธอไปจากแฟนตัวจริงเท่านั้นนี่นา

อ้อ จริงสิ เขาเองก็ยังเล่าไม่จบเลย แต่ก็ไม่เป็นไร ไว้ค่อยไปต่อความกันในรถระหว่างเดินทางก็แล้วกัน

อย่างน้อยโชติชลก็ควรจะได้รู้ด้วยว่าไม่ใช่แค่ฤดีดิษถ์ที่ตกอยู่ในอันตราย ดูเหมือนว่าลายสือก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะในนิมิต เขาก็เห็นรางๆ ว่าหนุ่มครีเอทีฟ 'ตัวเปื้อนเลือด'

ขณะหลับตาลงอีกครั้ง ตลอดร่างก็พลันกระตุกปนสะดุ้ง เพราะบังเอิญไปได้ยินเสียงแผดคำรามเกรี้ยวกราดลอยเคว้งคว้างอยู่ในความมืด เขารีบลืมตา ใจเต้นแรงและรัวถี่ มือไม้เย็นเฉียบกะทันหัน แต่เหงื่อกลับผุดชุ่มเหมือนจุ่มน้ำ ต้องรีบเช็ดๆ ถูกๆ กับกางเกง

"อะไร นั่นมันเสียงอะไร โหยหวนและดุร้ายเหมือนเสียงปีศาจ"

พึมพำใคร่รู้จบแล้วก็รีบเพ่งสมาธิเขม็งจิตฝ่าความมืดผืนใหญ่ ปล่อยให้กระแสคมกล้าพุ่งทะลวงลึกไปข้างหน้า อยากไปให้ถึงต้นเสียง แต่ดูเหมือนว่าเขาเจออุปสรรคแปลกๆ

มันคล้ายกับตัวหนังสือหรืออักขระโบราณที่ลอยไปลอยมาอยู่ในลำแสงสีทอง เอ๊ะ เสียงครืดๆ นั่นอีกเล่า มันเสียงอะไร คล้ายโซ่ตรวนที่กำลังโดนเขย่าหรือกำลังเขยื้อนอย่างฝืดๆ

หมอผาลืมตาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาสูดหายใจลึกยาวสองสามครั้งเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป ปริศนาเหล่านี้คงต้องค่อยๆ ค้นหาคำตอบในภายหลัง ยังไงมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับสาวครีเอทีฟคนนั้นด้วยแน่ๆ

แต่ครั้นหวนระลึกถึงเสียงแผดคำรามอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ ใจก็อดที่จะนึกไปถึงซาตานวจาในคัมภีร์ไสยเวทย์โบราณไม่ได้

มันจะใช่หรือเปล่าล่ะ เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะถ้าหากอันตรายที่ฤดีดิษถ์กำลังจะเดินไปเผชิญหน้าด้วยคือซาตานร้ายตนนี้ละก็ มันก็อาจจะสุดวิสัยของเขาหรือของเธอที่จะ 'รอดชีวิต'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 21:07:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com