Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้นแรกในชีวิตค่ะ ข่วยวิจารให้ด้วยนะคะ ติดต่อทีมงาน

“เออ ลูกจะกลับอเมริกาแล้ว วันนี้ไปหาอากงที่บ้านตึกหน่อยสิ ยังไม่ได้ไปสวัสดีแกเลย หลายวันแล้วนะ”

“ค่า เดี๋ยวไปม้า” ฉันตอบแม่กลับไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่ใจหนึ่งก็ขี้เกียจ อยากจะนอนอยู่ในห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ความอยากนอนต่อของฉันถูกทำลายลงด้วยสายตาไม่พอใจของแม่ ฉันจึงลุกไปจัดแจงถีบจักรยานไปหาอากงอย่างเสียมิได้ ก่อนออกตัวอาม่าก็ฝากอาหารเย็นใส่ปิ่นโตไปให้อากงด้วย กับข้าวในปิ่นโตเป็นข้าวต้มกุ๊ย, ไข่เค็ม, และหมูเค็ม อาหารทานง่ายๆ

บ้านในตลาดเป็นบ้านไม้สองชั้น (ครึ่ง) ที่เคยเป็นสถานที่ทำมาหากินของอากงอาม่าในอดีต อากงเคยเป็นช่างถ่ายรูปประจำอำเภอที่เก่งมาก การถ่ายรูปเป็นวิชาความรู้ที่อากงติดตัวมาพร้อมเสือผืนหมอนใบจากเมืองจีน ตอนที่แกมาจากเมืองจีนใหม่ๆ สมัยนั้นยังไม่มีคนไทยที่ถ่ายรูปเป็นมากนัก ร้านถ่ายรูปของแกจึงเป็นที่นิยมของคนในตลาด อากงมาเจอกับอาม่าที่เมืองไทย อาม่าเป็นคนไทยครึ่งจีนที่ไม่เคยไปเมืองจีนมาก่อน พอมาตั้งรกรากที่ตลาดแห่งนี้ ร้านถ่ายรูปประจำตลาดจึงถือกำเนิดขึ้น อ่อ ลืมบอกไปอีกอย่างว่า นอกจากวิชาถ่ายรูปแล้ว อากงยังรู้จักการทำฟันปลอมอีกด้วย ในร้านถ่ายรูปแห่งนี้จึงมีร้านทำฟัน (ปลอม) อยู่ภายใน! แต่ตอนนี้ร้านถ่ายรูปถูกเปลี่ยนเป็นร้านขายเสื้อตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป – ร้านขายเสื้อที่มีตู้กระจกโชกล้องสมัยโบราณ และรูปถ่ายสมัย 40-50 ปีที่แล้ว…

บ้านตึกเป็นชื่อเรียกของบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากตลาด เป็นที่พักอาศัยของอากง หลังจากที่แกออกจากโรงพยาบาล และหายจากโรงติดเชื้อในทางเดินอาหารอย่างปาฏิหาริย์ ด้วยอายุเหยียบ 90 ปี การไม่สบายแต่ละครั้งต้องแลกมาด้วยความชราลงอีกเป็นเท่าทวีคูณ หลังจากที่แกออกมาจากโรงพยาบาล แกก็สูญเสียอิสระภาพและความเป็นส่วนตัวอย่างสิ้นเชิง เพราะญาติๆทุกคนก็ตกลงจ้างคนดูแลให้อยู่กับแกตลอด 24 ชั่วโมง

ขี่จักรยานใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงบ้านตึก ห้องของอากงอยู่ที่ชั้นสาม ฉันเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ในใจก็นึกว่าวันรุ่งต้องเดินทางกลับอเมริกาซะแล้ว ปิดเทอมนี้มันช่างสั้นเหลือเกิน อยากไปนู่นไปนี้ อยากกินนู่นนี้นั้น อยากเจอคนนี้คนนั้น เมื่อถึงห้องอากง ก็จัดแจงเอาอาหารทั้งหลายออกมาจากปิ่นโตใส่ในชามข้าว

ก้าวแรกของการเข้าไปห้องของอากงหลังจากไม่ได้มาเยี่ยมอากงที่ห้องแกซะนาน ห้องกระจกที่มีเก้าอี้โซฟา สำหรับคุณป้าคนดูแล เตียงสำหรับหนึ่งคนนอน ทีวีหนึ่งเครื่อง ตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ และโต๊ะกินข้าวสำหรับสองคนที่ริมหน้าต่าง ทุกอย่างอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากวันแรกที่อากงย้ายจากบ้านขายของมาอยู่ที่บ้านตึก อากงกำลังนอนอยู่ แกนอนนิ่งๆ หันหน้าหาทีวี ตาหลับพริ้มอย่างอ่อนแรง ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยเห็นอากงนอนกลางวันซักครั้งเดียว แกจะตื่นเช้า ออกกำลังกาย แล้วทานข้าวช้าว ค่อยเริ่มทำงานที่โต๊ะแต่งรูปตั้งแต่เช้าจรดเย็น เมื่อฉันเห็นอากงนอนกลางวันจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่าอากงแกเปลี่ยนไปแล้ว จริงๆ อากงเปลี่ยนไปมาก เป็นความจริงที่ฉันรู้ตั้งแต่แกป่วยหนักเมื่อสี่ปีก่อน แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้ายอมรับความจริงเหล่านั้น

ฉันอยากจะเรียกอากงตื่นเพื่อมาทานข้าว แต่ก็ไม่กล้า กลัวไปรบกวนเวลาแกนอน ฉันจึงได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ อยู่ที่กลางห้อง จนป้าดาผู้ดูแลบอกฉันว่าปลุกแกเถอะ ยังงัยก็ต้องทานข้าวอยู่ดี ทันทีที่ฉันเข้าไปแตะแขนอากง แกก็ลืมตาขึ้นทันที ราวกับแกรับรู้อยู่แล้วว่าถึงเวลาทานข้าวเย็น ตาเล็กๆสองข้างของอากงมันเล็กลงกว่าแต่ก่อนมาก เล็กลงจนฉันแทบไม่เห็นตาขาวรอบๆตาดำของแกเลย แต่ว่าสายตาคู่นั้นที่มองไปข้างหน้าแม้ดูอ่อนล้า แต่ช่างอ่อนโยนยิ่งนัก แกค่อยยกตัวขึ้นอย่างช้าๆ ฉันพยายามจะเข้าไปช่วยพยุงแต่แกก็ผลักฉันออกไป ราวกับจะบอกว่าแค่นี้อากงไหว

หลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว แกค่อยๆเดินทีละก้าวสั้นๆ สั้นมากจนแต่ละก้าวนั้นสั้นกว่าความยาวของเท้าแกอีก แทนที่แกจะเดินไปที่โต๊ะกินข้าวริมหน้าต่าง แกกลับเดินไปที่เสาไปเพื่อไปเปิดไฟ แต่ว่าไฟดวงนั้นมันเปิดอยู่แล้ว ฉันพยายามบอกอากงแต่แกก็ยังเดินไปที่เสาต้นนั้น อย่างไม่ลดละ

“ปล่อยแกเถอะ แกทำอย่างนั้นของแกทุกวันแหละ เป็นการออกกำลัง” ป้าดาบอก

ฉันจึงปล่อยให้แกค่อยๆเดินไปที่เสาเพื่อปิด แล้วก็เปิดไฟกลางห้อง เมื่อป้าดาบอกว่านี้เป็นการออกกำลังกายของแก ฉันกลับนึกถึงตอนที่ฉันยังเล็ก ตอนที่ยังอยู่กับอาม่าและอากงที่บ้านร้านถ่ายรูป ทุกๆวันตอนเช้ามืดแกจะพาฉัน ซึ่งมีหน้าที่ต้องเตรียมพับกระดาษทิชชู่ให้แกไว้ซับเหงื่อย ไปวิ่งออกกำลังกายในตลาด แกแข็งแรงมากและฉันไม่เคยตามแกทันเลยซักที พอคิดถึงวันเก่าๆ น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาคลอเบ้า อากง แกลงไปเยอะนะค่ะ ฉันคิดในใจ

สักพักใหญ่ แกถึงจะเดินไปถึงที่โต๊ะทานข้าว ฉันเดินตามแกไปติดๆ “น่ากินป่าวกง นี้อาม่าทำเชียวนา” ฉันถามแก ก่อนที่แกจะทานข้าว แกกลับหยิบนมโคไทยเดนมาร์ค รสหวาน มาดื่มก่อนใครเพื่อน ดูดได้แค่ครั้งสองครั้ง แกก็ยืนกล่องนมมาให้ฉัน ด้วยความเข้าใจผิดว่าแกอยากให้ฉับเก็บให้ ฉันจึงวางกล่องนมลงตรงถาดข้าว แต่แกก็หยิบกล่องนมขึ้นมาแล้วยื่นให้อีกครั้ง ฉันจึงเข้าใจว่าแกคงอยากให้ฉันดื่มด้วย ฉันหยิบกล่องนมจากมือที่สั่นน้อยๆของแกแล้วจึงดื่มไปสองสามอึก การดื่มนมทำให้ฉันคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง นมไทยเดนมาร์กรสหวาน เป็นเครื่องดื่มที่ฉันชื่นชอบมากสมัยที่ฉันยังเด็ก อากงต้องซื้อให้ฉันกินบ่อยๆ ตอนนี้แม้อากงจะไม่พูดแล้ว แต่แกก็ยังจำได้ว่าสิ่งที่ฉันชอบคืออะไร ใครบอกว่าคนแก่ความจำไม่ดี

เมื่อแกทานข้าวอิ่มแล้ว แกก็ค่อยเดินด้วยก้าวน้อยๆของแกกลับไปที่เตียงนอน ขณะที่ฉันคอยเดินตามหลังแกอยู่ก็เหลือบไปเห็นชุดสูทแขวนเอาไว้อยู่ที่หัวเตียง ป้าดาคงเห็นว่าฉันทำหน้าสงสัย แกเลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อสองสามวันก่อนอยู่ดีๆแกก็รื้อตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนตัวนี้ออกมา แล้วพูดว่า “อั๋วต้องแต่งตัวแบบนี้ เพราะเดี๋ยวต้องออกไปถ่ายรูป ถ้าไปงานใหญ่ๆ อั๋วก็ต้องแต่งตัวหล่อๆอย่างนี้” ชุดนี้เป็นชุดตัวเก่งของแกจริงๆ ตั้งแต่จำความได้ ฉันเห็นแกใส่ชุดสูทตัวนี้เฉพาะออกไปงานเท่านั้น ตอนอยู่บ้านชุดแบบเดียวที่แกใส่ก็คือ เสื้อยืดสีขาวตราห่านคู่ กางเกงขาสั้นสีกากี และคาดเข็มขัด เท่านั้น

ฉันจ้องมองนาฬิกา เวลาขณะนั้นหกโมงเย็นกว่า ต้องรีบกลับไปทานข้าวเย็นแล้วเพราะต้องรีบกลับกรุงเทพ ไฟท์กลับอเมริกาอยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่เพราะอะไรไม่รู้ฉันอยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย อยากนั่งอยู่ข้างเตียงแกอีกสักนิด นั่งมองแกสักพักฉันจึงบอกกับแกว่า ฉันต้องไปแล้ว จะไปเรียนต่อ แต่ว่าเดี๋ยวปีหน้าจะกลับมาเยี่ยมใหม่แน่ๆ แกไม่ได้พูดอะไร แต่เอื้อมมือมาจับแขนฉันไว้ และมองฉันอยู่อย่างนั้น ฉันอยากบอกว่าฉันรักแกมาก แต่ปากมันแข็งไม่ยอมพูดออกไป ได้แต่บอกว่าให้แกรักษาสุขภาพเดี๋ยวจะกลับมาเยี่ยม แกมองฉันอยู่อย่างนั้นสักครู่ก็หลับตาและปล่อยมือออก ฉันจึงก้าวเดินออกจากห้องอากงอย่างไม่เต็มใจนัก และกลั้นน้ำตาไว้เต็มที่ ปั่นจักรยานกลับบ้านในตลาดด้วยความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับตอนขามาอย่างสิ้นเชิง

การไปเยี่ยมอากงครั้งนั้น อากงไม่ได้พูดอะไรให้ฉันฟังเลยซักคำ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าแกบอกอะไรกับฉันมากมายนัก แกย้อนอดีตเก่าๆสมัยเด็กที่ฉันเคยอาศัยอยู่กับแกให้ฉันจำได้อีกครั้ง ความทรงจำแรกในชีวิตของฉันก็คือตอนที่ฉันนอนฉี่รดที่นอนแล้วเปียกอากงกับอาม่านั้นแหละ แต่ใครเล่าจะรู้ว่านั้นเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างเรา อากงเสียชีวิตในอีกสองเดือนต่อมา แกเสีย ระหว่างที่ฉันกำลังเริ่มเขียนบันทึกฉบับนี้อยู่ ร่างของแกกำลังถูกเผาพร้อมชุดสูทที่แกจัดแจงหยิบออกมาวันนั้นที่ฉันไปเยี่ยม ร่างกายที่แข็งแรงจะเหลือแต่เถ้าถ่านเมื่อฉันเขียนบันทึกฉบับนี้เสร็จลง ขณะที่พ่อแม่และญาติๆของฉันกำลังยุ่งกับการจัดการเผาไอโฟน (ที่เป็นกระดาษ) กล้องแคนนอน (ทำมือโดยหลานชายนักเล่นกล้อง) บ้านหลังใหม่ ให้แก ฉันซึ่งเป็นหลานคนเดียวที่ไม่ได้ไปร่วมงาน จึงได้แต่ฝากความคิดถึงผ่านโทรศัพท์

ทุกๆวันนี้ ขีวิตของฉันยุ่งมากกับการเรียน ความฝันในอนาคต ตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวไปที่แปลกใหม่ จนบางครั้งฉันกลับลืมใครบางคนที่อยู่ข้างหลังไป ใครที่เคยเป็นคนแรกที่เราจะเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง แต่พักหลังมานี้อาจจะไม่ใช่แล้ว หากย้อนกลับไปได้วันนั้นฉันคงจะบอกแกว่าฉันรักแกมาก แต่ฉันก็ดีใจที่มีโอกาสได้ใช้เวลากับแกเป็นครั้งสุดท้าย ได้พูดคุยกับแกก่อนฉันต้องกลับมากเรียน และได้ทำให้แกรู้ว่าฉันก็ยังรักและคิดถึงแกมาก (แม้จะไม่ได้พูดออกไป)
สุดท้ายฉันอยากขอบคุณอากงที่เป็นโค้ชสอนให้ฉันออกกำลังกายเป็นคนแรก สอนให้ฉันนอนหนุนหมอนสูงๆตอนที่หายใจไม่ออก เล่าเรื่องสามก๊กให้ฉันฟังตอนเด็กๆ และสอนภาษาจีนที่ฉันไม่เคยจำได้เลยสักนิด และขอบคุณม้าที่บอกให้ฉันไปลาอากงครั้งสุดท้ายก่อนกลับมาเรียน

*ขอโทษที่เขียนหัวข้อกระทู้ผิดค่ะ รีบไปหน่อย --> "ช่วยวิจารณ์"

แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 55 22:33:58

จากคุณ : piggie-winggie
เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 22:28:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com