Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Miracle or Destiny รักคือเธอ 1-2 ติดต่อทีมงาน

บางสิ่ง..เข้ามาพัวพันกับชีวิตเราอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือฟ้าประทาน

สิ่งนั้นกลับมีอำนาจและบทบาท หักเหชีวิตสงบสุขให้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ..


# Introduction

“กำลังคิดถึงฉันอยู่ใช่ไหม.. เรนนี่” น้ำเสียงแหบห้าวของบุคคลผู้ซึ่งเคยแปลกหน้าและไร้ตัวตนดังกังวานอยู่ในโสตประสาท ส่งเสียงทักทายก่อนจะยอมเผยตัวตนออกมาให้เห็นเต็มตา

‘พายุ’ ชื่อของสิ่งมีชีวิตรูปงามคล้ายมนุษย์โผล่มานั่งอยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงความใกล้ชิด ฉันยังไม่ชินกับการปรากฏตัวของเขาซักเท่าไร และไม่รู้อีกนานแค่ไหนถึงจะคุ้นเคยกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองเสียที

การพบเจอกันในแต่ละครั้ง บางทีก็ทำเอาหัวใจหล่นวูบลงไปกองอยู่บนพื้น นึกอยากมาก็มา นึกอยากไปก็ไป บางทีเรียกหาแทบตายก็ไม่ให้เห็นแม้แต่เงา ฉันไม่รู้ว่าเขาคืออะไร แต่ที่แน่ๆ สิ่งมีชีวิตรูปงามนั้นไม่ใช่คน...

เขาอาจเป็น ภูต ผี ปีศาจ เทวดา ยมทูต หรือแม้แต่เทพบุตรก็ยังสามารถยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้เขาได้โดยไม่ต้องลังเลเพราะเขาหล่อลากเลือดมาก

ถ้ามองผิวเผินพายุจะคล้ายมนุษย์ทั่วไป อย่างความสูงที่กะด้วยสายตาราวๆ ร้อยแปดสิบเจ็ดเซนติเมตร รูปร่างสูงโปร่งผอมเพรียว ผมเส้นเล็กยาวระดับบ่าสีแดงเพลิง

จะว่าไปลักษณะเขาคล้ายชายในฝันของฉันมาก รูปลักษณ์ภายนอกคร่าวๆ โดยรวมไม่มีอะไรแตกต่างกับมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่ถ้าจ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาคมกริบดุดัน นัยน์ตาสีนิลวาวโรจน์เป็นประกายคู่นั้น จะรับรู้ได้ด้วยใจเลยว่าเขาแตกต่างกับมนุษย์อย่างเราๆ โดยสิ้นเชิง...

ถึงแม้พายุจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับซ่อนเร้นแต่เขากลับเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของฉันได้เป็นอย่างดี คล้ายเขาสิงสถิตอยู่ในความคิดและร่างกาย เพราะเวลาที่คิดถึง ต้องการพบเจอ หรือโหยหากำลังใจ เขาจะปรากฏกายตรงหน้าทันที...

“นายชอบมาเหมือนผี เรนตกใจนะพายุ” ฉันหันมองหน้าสิ่งมีชีวิตรูปงามข้างๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อโลกเต็มกลืนอย่างไม่ทราบสาเหตุของอาการที่เป็นอยู่ในเวลานี้

“แล้วเธอนึกถึงฉันทำไม ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าไมทำหน้าบูดงั้นล่ะ ไม่พ้นเรื่องแฟนอีกแล้วสิ” ฉันถอนใจหลับตา ทิ้งตัวลงนอนกางแขนแผ่ราบไปกับเตียงนุ่มหลัง

“พี่คิมไม่ว่างอีกแล้วพักนี้ไม่สนใจเรนเลย”

“ฉันก็เห็นเขายุ่งอยู่กับงานตลอด น่าจะชินได้แล้วนะ”

“เจ้าเพื่อนตัวแสบก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย” ใครบางคนที่ฝังอยู่ในจิตใจเกิดเดินผ่านเข้ามาในสมองเมื่อรู้สึกว่าขาดการติดต่อไปหลายวัน

“บางทีเธอควรใส่ใจคนรอบข้างที่ไม่ใช่แฟนดูบ้างนะ เธออาจมองเห็นโลกใบนี้กว้างขึ้นอีกเยอะเลย เรนิตา” ฉันลืมตามองเพดานสูง คิดตามคำพูดของน้ำเสียงห้าวเข้มที่ดูจิงจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาเลื่อนมองไปยังต้นเสียง แต่ทว่าเขาหายตัวไปไม่เหลือแม้แต่เงา...

ความหมายของประโยคที่พายุพูดเมื่อครู่คืออะไรฉันเองยังไม่เข้าใจเท่าไร แต่มันทำให้ฉุกคิดอะไรหลายอย่าง ฉันดึงร่างกายลุกขึ้นนั่งฝ่ามือท้าวขอบเตียง

ใช่.. ฉันยอมรับว่าอาจใส่ใจคนรักเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกเพราะฉันคิดว่าเขาก็คงจะรักฉันมากเช่นกัน เขาคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยไม่เคยห่างตั้งแต่รู้จักกันมาตลอดระยะเวลาเกือบสี่ปี นอกเสียจากจะไม่ค่อยว่างเป็นพักๆ เท่านั้น

บางครั้งเคยคิดหาเหตุผลว่าระหว่างเราจะเลิกคบกันด้วยสาเหตุใด แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอ มันยังคิดไม่ออกเพราะเขาอาจดีเกินไปจนไม่มีที่ติ และในเมื่อมีคนรักที่ดีพร้อมเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะให้แบ่งเวลาไปใส่ใจใครอื่นอีกทำไม ฉันไม่อยากกลายเป็นคนหลายใจรักใครหลายคนหรอกนะ

‘เรนิตา’ คือชื่อของฉัน สำหรับคนอื่นๆ มักจะเรียกว่า ‘เรน’ เพราะมันสั้นกระทัดรัดกว่าชื่อเต็มยศ จะมีก็แต่พายุนี่ล่ะที่ชอบเรียก ‘เรนนี่’ ไม่เหมือนชาวบ้าน นั่นคงเพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ ละมั้ง...

ฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคณะสถาปัตยกรรม ภาควิชานิเทศศิลป์ เอกถ่ายภาพ ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง เพราะเป็นคนรักสงบชอบอยู่อย่างสันโดษ ไม่ชอบเรื่องงี่เง่า เลยไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงซักเท่าไร และเหตุผลสำคัญเพราะรักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจฉันจึงเลือกเรียนสาขานี้ที่ชื่นชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจึงเริ่มต้นจากการถ่ายภาพ

ด้วยสิ่งนี้ทำให้ฉันได้พบเจอกับความรักครั้งแรกอย่างพี่คิม เพื่อนที่แสนดีอย่างวิณ และสิ่งมหัศจรรย์อย่างพายุ



# บทที่ 1

เคยไหม... กับความรู้สึก.. คุ้นเคยกับใครบางคน
เราจะมองเห็นเขาได้ทุกขณะในความคิดถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันก็ตาม


@ ย้อนกลับไปเมื่อหกเดือนที่แล้ว

บางสิ่งบางอย่างที่มหัศจรรย์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตสงบสุขและค่อยๆ ทำลายโลกส่วนตัวของฉันจนไม่ชินกับการต้องอยู่โดดเดียวลำพัง

“เรน พรุ่งนี้ชมรมถ่ายภาพจะเข้าป่าเก็บเกี่ยวธรรมชาติ สนใจไหม” ชายร่างสูงในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเชิ้ตผ้าบางสีขาว ชายเสื้อหลุดลุ่ยยาวจรดกางเกงยีนส์สีดำทรงขาเดป รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีน้ำเงินเข้มเป็นที่รู้จักกันดีกับกระแสนิยมคอนเวิร์ส หยุดยืนเท่กอดอกอยู่เบื้องหน้าโต๊ะม้าหินอ่อนทรงกลมที่ฉันกำลังนั่งมองภาพถ่ายฝีมือตัวเองอย่างคร่ำเคร่งพินิจพิจารณา

“ที่ไหน เมื่อไหร่” คำถามส่งตรงยังคนตัวสูงที่ก้าวขึ้นนั่งยองๆ ชันเข่าบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างไม่แคร์สายตาเพื่อนร่วมสถาบันรอบๆ ที่มองมาอย่างให้ความสนใจ

“น้ำตกทีลอซู ถ้าสนใจพรุ่งนี้ตีสี่วิณไปรับเรนที่บ้าน หรือวันนี้จะไปนอนบ้านวิณก็ได้นะ” ฉันละสายตาจากรูปภาพในมือเหล่มองยังใบหน้าคมคายที่ฉีกยิ้มกว้างบนริมฝีปากหยักได้รูป ส่งสายตากะล่อนมีเลสนัยแอบแฝงในดวงตาเรียวยาวคู่นั้น

‘วิณวายุ’ ชายคนแรกที่ฉันให้ความสนิทสนมในฐานะเพื่อนรัก เรารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษา ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาหรือเวรกรรมที่ทำให้เราต้องมาเจอและเป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงปัจจุบัน

ฉันกับวิณชอบอะไรเหมือนๆ กัน เราสามารถพูดคุยกันได้ในทุกๆ เรื่อง ยกเว้นก็แต่เรื่องของความรักนั่นล่ะที่วิณไม่ยอมให้คำปรึกษาใดๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่ชำนาญเกี่ยวกับปัญหาของหัวใจและมันเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องเลือกไขว้คว้าด้วยตัวเอง คงไม่มีใครสามารถกำหนดกฏเกณฑ์ชีวิตหรือบังคับให้ใครทำตามในสิ่งที่เราต้องการได้

วิณเป็นขวัญใจในหมู่นักศึกษาสาว เขาดูดีด้วยผมทรงสกีนเฮดสีน้ำตาลอ่อน เจาะหูใส่มุดเรียงเป็นแถวยาวคล้ายร็อคสตาร์ ใบหน้าคมคายจมูกโด่งเป็นสัน รูปร่างสูงผอมดูเท่ ที่นิ้วมือแต่ละนิ้วมีรอยสักเป็นอักษรโรมันคลาสสิครวมกันว่า‘ROCK’ สวยงาม

และยังใส่แหวนเงินเกือบทุกนิ้วโดยหนึ่งในนั้นมีแหวนเงินเกลี้ยงวงหนาที่ฉันซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว เขาเอามันไปแกะสลักตัวอักษรด้านในว่า ‘ลมกับฝน’ ทำให้รู้สึกตื้นตันใจอย่างน้อยๆ เขาก็เห็นฉันเป็นเพื่อนรักเช่นกัน

ถึงแม้วิณจะรักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจแต่ในอีกด้านมุมหนึ่งเขาก็คลั่งไคล้ในจังหวะของเสียงดนตรีเป็นพิเศษ สำหรับฉันแล้ววิณเป็นผู้ชายที่น่าทึ่งคนหนึ่ง เขาเลือกทางเดินชีวิตในแบบของเขาโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เขาส่งตัวเองเรียนการถ่ายภาพและทำงานเสริมเป็นนักดนตรี

“ให้เรนไปนอนบ้านวิณ มีหวังโดนพี่คิมฆ่าตายแน่ๆ” ฉันละสายตาจากใบหน้าคมคายมองยังรูปถ่ายในมือตามเดิม มันช่างยากเย็นกับการคัดสรรรูปใบโปรดที่สุดเพราะทุกๆ ภาพออกมาจากฝีมือตัวเองล้วนๆ

“ทำไรอยู่ล่ะ”

“เลือกรูปส่งงานอาจารย์น่ะสิ วิณช่วยเรนดูหน่อยภาพไหนดีที่สุด” มือเรียวยาวหยิบรูปถ่ายที่ยื่นส่งให้ไปถือไว้และเปิดดูสลับไปสลับมาอย่างตั้งใจ

“เรนถ่ายภาพคนสวยกว่าธรรมชาติ เอารูปนี้แล้วกัน” ภาพเด็กชายเด็กหญิงสองคนถือลูกโป่งสวรรค์ที่ลอยล่องอยู่ในอากาศโดยมีเชือกเส้นบางโยงใยพันไว้ที่แขนบอบบาง วิ่งตามฝูงนกพิราบบินกระจายหลายสิบตัวดูเป็นธรรมชาติ

“ทำไมคิดว่าภาพนี้ล่ะ” ฉันดึงภาพที่วิณยื่นวางลงบนโต๊ะหินอ่อนยกขึ้นมาดูอย่างใกล้ชิด

“เพราะเรนทำให้มันมีชีวิต” รอยยิ้มจางๆ ส่งให้ก่อนก้าวเท้าลงไปยืนเต็มความสูงบนพื้นดิน

“...”

“ตกลงพรุ่งนี้วิณไปรับเรนที่บ้านตอนตีสี่นะ เตรียมชุดกันฝนไปด้วยช่วงนี้ฝนตกบ่อย” ฉันพยักหน้าให้เพื่อนสนิทที่เตรียมการนัดหมายเรียบร้อย

“...”

“แล้วจะกลับบ้านพร้อมกันไหม วิณจะไปส่ง” คนตัวสูงเลิกคิ้วถามรอคำตอบ

“วิณกลับก่อนเถอะ เรนนั่งทำงานต่ออีกแปบ เดี๋ยวพี่คิมคงมารับ” ใบหน้าคมคายพยักหน้ารับเมื่อฉันเหลียวสายตามอง ก่อนหันหลังเดินจากไป

ฉันละสายตาจากร่างสูง มองยังรูปที่เขาบอกว่ามันมีชีวิตอย่างพิจารณาอีกครั้ง มือบรรจงแต่งเติมเขียนความหมายของรูปภาพลงในกระดาษสมุดโน้ต‘ชีวิตใหม่พร้อมโบยบิน’ เพื่อนำข้อความไปสกรีนบนภาพขนาดใหญ่ อัด ล้าง ทำกรอบ ตกแต่งให้สมบูรณ์ก่อนนำส่งอาจารย์ประจำคณะวิชานิเทศศิลป์

ฉันยกรูปถ่ายชูสูงขึ้นฟ้าด้วยสองมือเหยียดจนสุดแขน ถอนใจยิ้มอย่างโล่งอกเมื่อได้รูปภาพที่ต้องการหลังจากใช้เวลาคัดเลือกไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง

“ไงเรนิตา รอนานไหม” เสียงทุ้มคุ้นเคยดังแว่วมาแต่ไกลดึงดูดความสนใจให้ร่างกายหยุดการทำงานชั่วคราวเพื่อหันมองไปยังเจ้าของเสียง ฉันส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่ดูหล่อสมาร์ทเป็นผู้ใหญ่ ใส่สูทหรูผูกเน็กไทดูดีมีระดับ เข้ากับผมดำทรงรากไทรยาวปะต้นคอ

‘คิมธารา’ วิศวกรหนุ่ม มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารของบริษัทเกี่ยวกับการออกแบบและพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล เขามีความรู้ในสาขาแพทย์ศาสตร์อยู่หลายแขนงวิชาโดยนำองค์ความรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมชีวการแพทย์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ เปิดเป็นธุรกิจดังกล่าวจนประสบความสำเร็จ

ฉันกับพี่คิมรู้จักกันเมื่อสี่ปีก่อน ช่วงนั้นเป็นนักศึกษาใหม่วัยเฟรชชี่กำลังฝึกปรือการถ่ายภาพยังไม่ชำนาญกับการที่ต้องเดินถือกล้องตัวโตไปมาเป็นเวลานานๆ และน้ำหนักของกล้องก็เอาเรื่องอยู่ไม่น้อย เมื่อเดินสำรวจรอบๆ งานนิทรรศการของคณะแพทย์ไปเรื่อยๆ จนเจอเข้ากับบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจ สั่งร่างกายให้หยุดยืนอยู่กับที่

โล่งแก้วใสที่มีร่างกายมนุษย์ผิวหนังแห้งจนติดกระดูกสีคล้ำออกน้ำตาลเข้มไร้ซึ่งวิญญาณนอนอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม บรรดานักเรียนแพทย์จะรู้จักกันดีในนาม ‘อาจารย์ใหญ่’ ผู้เปรียบดังครูซึ่งปราศจากลมหายใจที่ให้วิชาความรู้เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์

ฉันเคยสนใจเรื่องการศึกษามหากายวิภาคศาสตร์มาบ้างแต่ยังไม่เคยเห็นของจริงแบบใกล้ชิดและชัดเจนเท่าครั้งนี้ เลยไม่รอช้าจับกล้องขึ้นกดชัตเตอร์รัวถี่ทันทีด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

จนมีนักเรียนแพทย์คนหนึ่งเดินมาลากตัวฉันออกจากงานนิทรรศการทันทีด้วยสาเหตุที่ว่าห้ามถ่ายรูปทุกกรณี ฉันยืนทะเลาะกับนักศึกษาแพทย์คนนั้นอยู่นานจน คิมธารา อ่านจากป้ายชื่อที่ติดตรงอกเสื้อกาวน์สีขาวเดินมาเคลียร์ ยุติเรื่องวิวาทจนทุกอย่างจบลงด้วยดี

และจากวันนั้นเป็นต้นมาเราก็ได้ติดต่อพูดคุยกันอีกหลายครั้ง โดยพี่คิมขอเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อต้องการความช่วยเหลือจากช่างกล้องมือสมัครเล่น ฉันเข้าใจว่ามันคงเป็นแค่ข้ออ้างแต่ยินยอมให้ด้วยความเต็มใจก็เขาหล่อเข้าตาซะขนาดนั้น

“วันนี้เราไปดินเนอร์ที่ไหนดี” สายตาเรียบเฉยมองมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

“แล้วแต่คนพาไปค่ะ ว่าแต่พี่คิมรอเรนที่รถแปบนะคะ เดี๋ยวเรนวิ่งไปเอากรอบรูปในชมรมก่อน” ชายเจ้าของชื่อคิมธาราพยักหน้ารับหันหลังกลับ เดินไปยังรถหรูที่จอดเทียบฟุตบาทไม่ไกลจากโต๊ะหินอ่อนเท่าไร

ฉันลุกยืนก้าวเท้ายาวถี่เดินไปหยิบสัมภาระเรียบร้อยจึงกลับไปยังจุดนัดหมาย ดึงประตูรถเปิดกว้าง ก้าวเท้าขึ้นนั่งยังเบาะนิ่มๆ ข้างคนขับ ความชื่นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกแต่รู้สึกสดชื่นไปกับกลิ่นของน้ำหอมในรถ

“เรียบร้อยแล้วนะ” ฉันพยักหน้าส่งยิ้มให้คนข้างๆ ที่เอ่ยถามโดยไม่ลืมดึงสายคาดเข็มขัดนิรภัยรัดโอบกายเพื่อความปลอดภัย เครื่องยนต์ถูกสตาร์ท รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออก วิ่งไปตามถนนช้าๆ จนเร่งความเร็วในระดับคงที่

“ทำงานเหนื่อยไหมค่ะวันนี้”

“ไม่หรอก ก็เรื่อยๆ นะ เป็นห่วงพี่เหรอ”

“ห่วงสิค่ะ แฟนเรนทั้งคน” ฉันอมยิ้มแก้เขินรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า

“พรุ่งนี้วันหยุดมีธุระไปไหนหรือเปล่า”

“อื้อ กำลังจะบอกพี่คิมพอดี พรุ่งนี้ชมรมถ่ายภาพจะไปน้ำตกทีลอซูกัน วิณชวนเรนไปด้วย คงไปซักสองสามวันนะคะ”

“วิณนี่ไว้ใจได้ใช่ไหม”

“...” คำถามพี่คิมทำเอาฉันนิ่งเงียบประมวลผลความหมายจำกัดคำว่า‘ไว้ใจได้ใช่ไหม’ อยู่พักใหญ่

“พี่หมายถึงช่วยดูแลเรนของพี่ได้ใช่ไหม” เสียงถอนใจเบาๆ ทำเอาคนข้างๆ หัวเราะคิกขึ้นมา

“นึกว่าพี่คิมไม่ไว้ใจวิณซะอีก เรนกับวิณรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ยังจะคิดมากอีกหรือไงเนี้ย” มือแข็งแรงข้างหนึ่งละจากพ่วงมาลัยรถยนต์เอื้อมดึงมือฉันไปกุมไว้

“พี่รักเรนนะ ถ้าพี่บอกว่าหึงผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้เรนมันก็คงไม่แปลก ไม่ว่าจะวิญหรือใครก็ตาม” สายตาเรียบเฉยมองมายังฉันส่อแววมั่นคงหนักแน่นจนใจสั่นไหวก่อนหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าตามเดิม ฉันเอื้อมอีกมือที่ไร้พันธนาการตบบนหลังมือพี่คิมเบาๆ คล้ายให้เชื่อใจซึ่งกันและกัน

“พี่คิมวางใจเรนเถอะคะ ต่อให้เจอใครดีกว่าพี่คิมเป็นร้อยเท่า เรนก็ไม่มองหรอก เว้นแต่..”

“...” คนข้างๆ หันหน้ากลับมามองยังฉันอีกครั้ง เลิกคิ้วเรียวดำต้องการคำตอบ

“เว้นแต่พี่คิมไม่รักเรนแล้ว” ฉันส่งยิ้มหวานให้ จนคนข้างๆ หลุดขำเสียงอยู่ในลำคอ

“จะทำยังไงให้เลิกรักเรนดีล่ะ” คำพูดแฝงไว้ด้วยอารมณ์ดีส่งออกมาทางยิ้มละมุน

ฉันรู้สึกอุ่นอยู่ในใจกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ มันทำให้เชื่อว่าความรักของเราสองคนคงทนถาวรและอยู่ต่อไปแบบนี้ไม่ว่าจะอีกกี่ปีก็ตาม ฉันยังคงเชื่อใจและไว้ใจพี่คิมที่เขายังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง และคำพูดที่สร้างความสุขเหล่านี้ฉันจะถือว่ามันเป็นคำมั่นที่พี่คิมคงไม่มีวันเลิกรักกันไปได้ง่ายๆ    



# บทที่ 2

เคยไหม.. กับความรู้สึกดีๆ
ที่ได้รับมามันมากเกินกว่าคำว่ารู้จักกัน

ตื๊ด.. ตื๊ด.. เสียงโทรศัพท์ดัง ทำฉันตกใจตื่นพยายามลืมตาปรือมองหาเครื่องมือสื่อสารรอบกาย มือควานคว้าหาเจ้าตัวบ่อนทำลายการนอนหลับอย่างหงุดหงิดในใจไม่ใช่น้อย  

(เรน.. ตื่นได้แล้ว)

“ใครอ่ะ นี่มันกี่โมงกี่ยาม โทรมาปลุกทำบ้าอะไร!!” น้ำเสียงไม่พอใจกระแทกกรอกใส่โทรศัพท์ ทำเอาปลายสายหัวเราะชอบอกชอบใจคล้ายก่อกวนคนนอนหลับให้ตื่นได้สำเร็จ

(วิณเอง.. ตอนนี้ตีสองพอดีเพิ่งเลิกงานหน่ะ จะโทรมาถามว่าเตรียมตัวพร้อมลุยหรือยัง..) คำถามถูกตอบกลับมาครบทุกประโยคไม่ขาดไม่เกิน

“ตีสองแล้วยังไม่นอนพัก พรุ่งนี้จะไหวเหรอวิณ” ฉันลืมตาสว่างสร่างจากอาการง่วงนอนทันที เมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทยังไม่ได้หลับพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางยังจุดหมายเช้ามืดวันนี้

(สบายมาก นอนต่อเถอะตีสี่เจอกัน กู๊ดไนท์..)เสียงโทรศัพท์ถูกกดตัดสาย แต่ตอนนี้ตาฉันสว่างใสแจ๋วเป็นนกเค้าแมวเรียบร้อย ในใจค่อนแคะเพื่อนที่โทรศัพท์มาปลุกให้ตื่นขึ้นเพียงแค่ต้องการแหย่อารมณ์ให้ฉันโมโหเล่นหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ยากจะเข้าใจความคิดของเขาจริงๆ

โทรศัพท์ในมือถูกเหวี่ยงลงบนเตียงก่อนพลิกกายนอนตะแคง หันหน้าไปทางผ้าม่านห้องนอนที่มองเห็นแสงจันทร์ส่องสะท้อนกระทบหน้าต่าง ฉันพยายามข่มตาหลับอีกครั้ง ช่วงเคลิ้มๆ สติเกือบดับสนิท ความรู้สึกเหมือนมีเงาตะคุ่มๆ ในความมืดที่แสงสลัวกระทบพอให้มองเห็นเลือนราง ฉันลืมตาพยายามเพ่งมองไปยังจุดที่เห็นเงาดำๆ แต่ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากความมืดสลัว ฉันค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งเพราะความง่วงกำลังกลืนกินความรู้สึกยินยอมหลับไหลจมดิ่งสู่นิทรา

กริ๊ง.. กริ๊ง.. เสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกเตือนให้ตื่นบ่งบอกเวลาตีสามครึ่ง ฉันลุกอาบน้ำปฎิบัติภาระกิจยามเช้าจนเสร็จสิ้น ออกมายืนหน้าประตูห้องด้วยชุดเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งสบายไม่อึดอัด พับแขนขึ้นสองทบ กางเกงยีนส์สีซีดขาลีบเล็กเป็นตะเกียบเพื่อความทะมัดทะแมง มือหยิบคว้ารองเท้าผ้าใบคู่โปรดที่ชั้นวางรองเท้าสวมใส่ก่อนเดินลากกระเป๋าเป้ติดล้อใบพอเหมาะออกพ้นจากห้องเพื่อลงไปยังจุดนัดพบด้านล่างหน้าคอนโดสูง ตามเวลานัดหมายตีสี่พอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน

วิณยืนรอรับอยู่เมื่อลงถึงชั้นล่างด้วยสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดเจนเป็นไปตามที่คาดคิดไว้ เขาไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเพราะเวลาอันน้อยนิดคงไม่พอให้หลับเต็มตื่น

“มาช่วยถือ” มือแข็งแรงแย่งดึงด้ามจับกระเป๋าเป้ยกหิ้วลอยจากพื้นดินราวกับมันไร้น้ำหนัก เดินนำพาฉันไปยังรถตู้สีขาวหลังคาทรงสูงคันใหญ่ตามมาตรฐานที่เห็นกันบนท้องถนนเป็นประจำจนชินตา

ประตูรถถูกดึงเปิดออกเลื่อนจนสุดราง ภายในรถมีเพื่อนๆ ในชมรมที่คุ้นเคยร่วมเดินทางประมาณสี่ถึงห้าคนจึงดูโล่งมีที่นั่งเหลือเฟือให้เลือกได้ตามใจชอบ ฉันก้าวขึ้นรถเลือกเบาะแถวหน้าสุดติดริมหน้าต่างด้านหลังคนขับ เป็นที่นั่งเหมาะเจาะที่เลือกหย่อนกายลงเพราะเกรงว่าถ้าเดินเข้าไปลึกกว่านี้จะเมารถเอาง่ายๆ ฉันไม่ค่อยถูกชะตากับการเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ ซักเท่าไร วิณก้าวตามขึ้นมาติดๆ ยกกระเป๋าเป้เดินทางวางไว้ยังเบาะแถวสองที่อยู่ด้านหลัง ร่างสูงทรุดกายลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ ฉัน ในท่าสบาย ศรีษะพิงพนักเบาะ หลับตาถอนใจไล่ความเหนื่อยล้า

“เป็นไงล่ะวิณ ทำเก่งไม่ยอมหลับยอมนอน จะรอดไหมเนี้ย” ฉันหันมองคนข้างๆ ที่หลับตานิ่งทำเป็นไม่สนใจเสียงฉันซักเท่าไร

“...”

“ก็ดีไม่ต้องคุย นอนหลับให้สบายนะ” ฉันประชดเล็กๆ ก่อนขยับกายยืดขากอดอกนั่งพิงพนักเก้าอี้มองตรงออกไปยังนอกหน้าต่างด้านข้าง รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกเดินทางจากหน้าคอนโดสูงตระหง่านตัดเข้าถนนทางหลวงเส้นหลักเพื่อมุ่งสู่จุดหมายปลายทางจังหวัดตาก

การเดินทางเริ่มได้ซักระยะคนข้างๆ ค่อยๆ เลื้อยไหลอิงแอบไหล่บอบบาง ซุกศรีษะนอนนิ่งคล้ายไหล่เป็นหมอนหนุนชั้นดี ฉันหันมองตามแรงกดที่ไหล่แล้วระบายยิ้มออกมาบางๆ นึกขำอยู่ในใจ คนอวดดีบ่นว่าไหวทำหยิ่งไม่สนใจกัน สุดท้ายก็ต้องง้อขอนอนพิงไหล่โดยไม่ขออนุญาตซักคำ มือเอื้อมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่วางพาดอยู่บนตักกางห่มคลุมกายให้คนนอนหลับเพิ่มความอบอุ่น

แสงสว่างจากประกายแดดลอดผ่านผ้าม่านกระจกรถตู้ที่แง้มดึงปิดไว้ครึ่งบานจนรู้สึกแสบตา ฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาสู้แสงแดดจ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้สว่างเต็มที่แล้ว นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมองเป็นเวลาสิบโมงเช้า คงอีกไม่นานรถตู้ของชมรมถ่ายภาพคงเดินทางถึงอำเภอแม่สอดเพื่อพักรับประทานอาหาร ก่อนเข้าสู่เส้นทางลอยฟ้าซึ่งเป็นการเดินทางที่คดเคี้ยวไปด้วยถนนตัดผ่านเขาสลับซับซ้อนไปมา ต้องเจอเส้นทางหฤหรรษ์กว่าพันโค้งตามที่คนขับรถตู้บอกเล่าให้ฟัง แค่ได้ยินว่าโหดก็อยากหลับไม่ต้องตื่นแล้ว ฉันยังคงนั่งนิ่งๆ เพื่อให้คนข้างๆ ได้นอนหลับเอาแรงต่ออีกหน่อยถึงที่หมายเมื่อไรค่อยปลุกคงไม่สาย

เมื่อถึงจุดพักรถรับประทานอาหารกลางวัน มีฉันคนเดียวที่ไม่ลงจากรถเนื่องจากกังวลกับเส้นทางการขึ้นเขาที่ต้องฝ่าฟันโค้งอีกเป็นพันเลี้ยว ฉันแกะขนมที่วิณเตรียมไว้ให้รองท้องนิดหน่อยก่อนหายาแก้เมารถทุกชนิดที่สามารถรับประทานได้กลืนกินเข้าไปหมดทุกขนาน ยาที่ใช้ดมใช้ทาก็ถือพกติดไม้ติดมือเอาไว้ใกล้ๆ ตัว พยายามข่มตาให้หลับโดยเร็วที่สุด

“นี่เรน ยังไม่ทันออกรถก็หน้าซีดจะเป็นลมแล้วเหรอ” น้ำเสียงออกแนวเยาะเย้ยจนฉันต้องเหลือบตาเขม่นมองคนข้างๆ ที่ส่งยิ้มกวนๆ ใส่ ก่อนหันกลับมาหลับตาต่อ

“...”

“แน่ใจเหรอว่าจะไม่กินข้าวก่อนกว่าจะถึงจุดกางเต้นท์อีกเกือบสี่ชั่วโมงเลยนะ” ฉันส่ายหน้าให้วิณโดยไม่คิดจะปริปากพูดอะไรออกไปให้เสียพลังงาน รถตู้เริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง และเหมือนสวรรค์เป็นใจฤทธิ์ยาหลายขนานที่จัดการเข้าไปมีปฏิกิริยาด่วนจี๋ทำให้ฉันหลับไปโดยปริยายไม่ต้องมานั่งเผชิญกับความทรมานเพราะเมารถ

ไหล่บอบบางโดนสะกิดเบาๆ จนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ฉันค่อยๆ ขยับเคลื่อนตัวด้วยอาการวิงเวียนเล็กน้อยจนพบว่านอนอยู่บนตักคนข้างๆ ร่างกายถูกมือแข็งแรงดึงขึ้นมาช้าๆ

“ถึงแล้ว.. ตื่นๆ ขาวิณชาหมดแล้ว ตัวก็เล็กทำไมหนักเป็นบ้า” ฉันหันซ้ายแลขวาไม่สนใจเสียงคนบ่น มองออกไปนอกหน้าต่างรถตู้เห็นป้ายใหญ่มีตัวอักษรกำกับไว้ว่า ‘เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผาง น้ำตกทีลอซู’ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ถูกจัดอันดับว่าสวยงามและยิ่งใหญ่ติดลำดับหนึ่งในหกของโลกตามข้อมูลที่ได้รับมาจากเหล่าบรรดาตากล้องทั้งหลาย

ทุกคนจัดแจงขนของสัมภาระที่นำมาพาลงจากรถ เมื่อก้าวเท้าเหยียบลงพื้นดินแบบงงๆ ฉันบิดไล่ความเมื่อยล้าออกจากร่างกายก่อนหันกลับไปดึงกระเป๋าเป้จากมือวิณที่ยื่นส่งให้ ยกขึ้นสะพายไว้ด้านหลังเพื่อความคล่องตัว บรรดาผู้ร่วมเดินทางทั้งหลายต่างช่วยกันแบ่งสรรสัมภาระกระเตงกระเป๋าคนละใบสองใบ ทั้งเสบียงอาหาร ขวดน้ำดื่ม ขาตั้งกล้อง พะรุงพะรัง

“เรนช่วยถือไหมวิณ”

“ไม่ต้องหรอกวิณไหว เดินตามมาดีๆ เหอะ ทางมันลื่น”

พวกเราทั้งหมดเดินตามทางไปยังจุดพักกางเต้นท์ ฉันพยายามเก็บบรรยากาศความสดชื่นไว้ให้เต็มปอดระหว่างทางเดิน เมื่อถึงลานโล่งกว้างทุกคนต่างแยกย้ายหาที่ทางตั้งเต้นท์เพื่อพักผ่อนก่อนรับประทานอาหารมื้อเย็น เต้นท์ของฉันถูกกางอยู่ติดกับวิณ ส่วนคนอื่นๆ ปลีกวิเวกห่างออกไปคนละมุมด้วยความที่เป็นชายทั้งหมดจึงไม่ค่อยเรื่องมากและไม่ต้องคอยห่วงใยเป็นพิเศษเหมือนผู้หญิง วิณเลยจำเป็นต้องขลุกอยู่ใกล้ๆ ฉันที่เป็นหญิงสาวคนเดียวตลอดทริปนี้

เมื่อพักกันจนหายเหนื่อย เติมพลังงานให้ร่างกายเป็นที่เรียบร้อย ต่างคนต่างแยกย้าย บ้างก็เข้าที่พักนอนเก็บแรง บ้างก็สำรวจรอบบริเวณตั้งกล้องถ่ายบันทึกวีดีโอภาพ ส่วนฉันกับวิณพากันเดินออกมาไกลจากที่พักเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศ ระหว่างทางเดินฉันมองสำรวจธรรมชาติโดยรอบ ที่แห่งนี้เป็นลักษณะป่าดงดิบชื้น อุดมสมบูรณ์ไปด้วยดอกไม้ป่าสีสันสวยงามตามฤดูกาล มีกลิ่นป่าไอดินอบอวลไปทั่วตามก้าวเดิน ทำให้ตากล้องมืออาชีพอย่างวิณต้องชักภาพถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกตลอดทาง

น้ำตกทีลอซูเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับความนิยมที่มีผู้คนเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจเพื่ออิ่มเอมไปกับธรรมชาติ โดยสิ่งที่น่าสนใจไม่ได้มีเฉพาะน้ำตกสวยงามและมีขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น กิจกรรมที่ได้รับความนิยมของที่นี่ยังมีล่องแก่งเรือยางแม่กลอง ล่องแพไม้ไผ่ เพื่อเดินทางสู่น้ำตกอีกด้วย ซึ่งพวกเราคงได้เดินทางกันในวันพรุ่งนี้ตามกำหนดการที่วิณบอกไว้ระหว่างเราเดินเข้าป่าด้วยกัน

“ร่มรื่นเนอะ อากาศดีจัง” ฉันยกกล้องที่ติดเลนส์ไวด์เพื่อถ่ายธรรมชาติโดยเฉพาะ กดชัตเตอร์ถ่ายและมองดูผลงาน วิณก้มหน้ามองยังภาพถ่ายแล้วแสยะยิ้มมุมปาก เหล่มองหน้าฉันด้วยห่างตาเรียวยาว ยกมือขึ้นเคาะหน้าผากด้วยสันนิ้วหลังมือ

“...”

“โอ๊ย!! เขกหัวเรนทำไมเล่า”

“สอนไม่เคยจำ จะเก็บภาพอย่าใจร้อนสิ ต้องใจเย็นๆ จะให้สอนกี่รอบห๊ะ” น้ำเสียงดุเล็กๆ ยกกล้องที่มีสายคล้องคอขึ้นส่องมายังฉันแล้วกดชัตเตอร์ แชะ.. วิณจับภาพอย่างจงใจถ่าย ดูไม่รีบร้อนตามที่บอกไว้ แต่ฉันยังไม่ทันตั้งท่า ใบหน้าเหวอๆ ก็ลงไปอยู่ในกล้องของเขาเป็นที่เรียบร้อย

“...”

“เห็นไหมล่ะ จากคนขี้เหล่กลายเป็นนางฟ้าไปแล้ว” กล้องถูกยื่นส่งให้ดูภาพที่หน้าจอ เสียงประสานหัวเราะขำขันสนุกสนาน

เราใช้เวลาอยู่กับการถ่ายภาพจนลืมความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะบรรยากาศทำให้เรามีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่หลงรักเป็นชีวิตจิตใจ พื้นที่ป่าทึบมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทำให้ดูมืดไวกว่าปกติ แสงสว่างเริ่มอ่อนแรงลงรับรู้ได้ว่าใกล้ค่ำเต็มที วิณชวนหันหลังเดินกลับ เมื่อมาถึงที่พักฉันจึงขอแยกเข้าเต้นท์ไปทำภาระกิจส่วนตัว

บรรยากาศยามค่ำคืนของป่าเขาเริ่มเข้าสู่ความเงียบสงบ มีบางจังหวะที่แมลงตัวเล็กส่งเสียงร้องประสานกันดังอยู่ไกลๆ ฉันนอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในเต้นท์ที่พัก มือหยิบกล้องขึ้นมาเปิดดูภาพถ่ายเลื่อนเปลี่ยนภาพต่อภาพ ปรายหางตามองเห็นบางสิ่งบางอย่างนอกเต้นท์ ดึงดูดความสนใจให้หันไปมอง ฉันพยายามเพ่งสายตาดูให้ชัดเจนจนเห็นเป็นเงาคล้ายร่างคนรางๆ ยืนอยู่ด้านนอก แล้วจู่ๆ เงานั้นก็หายวับไป ใจกระตุกตกใจ...

“กรี๊ดดดดดด!!” เสียงกรีดร้องส่งออกมาจากลำคอโดยอัตโนมัติ

“มีอะไรครับเรน!”

“ใครเป็นอะไร! เสียงอะไร!” เหล่าบรรดาตากล้องในชมรมทั้งหลายวิ่งออกจากที่พักตัวเองตรงมายังเต้นท์ที่ฉันนอนคว่ำหน้าเอาผ้าคลุมศรีษะไว้แน่น

“เรนเห็นอะไรไม่รู้ มันแวบหายไปได้ด้วย” น้ำเสียงสั่นระรัว อู้อี้ พยายามอธิบายถึงสิ่งที่เห็นให้คนรอบข้างฟังโดยไม่กล้าเปิดหน้าขึ้นมองไปยังนอกเต้นท์

“ไอ้วิณมันแกล้งหรือเปล่า ว่าแต่มันหายหัวไปไหน” เสียงเอะอะรอบบริเวณทำให้ฉันพยายามตั้งสติคิดถึงเพื่อนสนิท พร้อมยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าเขาเป็นคนแกล้งหลอกผีฉันเต็มที่ ความตื่นตระหนกค่อยๆ หายไป ผ้าคลุมศรีษะถูกดึงออกอย่างช้าๆ สายตาหันมองไปนอกเต้นท์อีกครั้ง เพื่อนร่วมชมรมทุกคนเปลี่ยนประเด็นตามหาวิณแทน

ฉันค่อยๆ พาร่างกายคลานออกมาจากเต้นท์เพื่อมองหาเพื่อนสนิทไปรอบๆ บริเวณที่พัก เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ทุกคนที่เดินตามหาดูร้อนรนชอบกล ฉันเริ่มอยู่ไม่สุขก้าวท้าวยาวเดินดูตรงโน้นทีตรงนี้ทีแต่ก็ไร้วี่แววคนที่ตามหา จนในใจเริ่มรู้สึกไม่ดีตะหงิดๆ กลัวจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับวิณ สองเท้าก้าวเดินเวียนไปวนมาอยู่รอบๆ ที่พัก รอคอยอย่างใจจดจ่อเมื่อรู้ว่าเพื่อนสองคนกำลังออกตามหาคนหายในระยะไกลขึ้น ส่วนคนอื่นๆ ยังคงอยู่เป็นเพื่อนฉันพร้อมโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ดูแลเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าขอความช่วยเหลือเพื่อให้ออกตามหาอีกแรง

จากคุณ : มาโซคิส
เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 04:27:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com