Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่หก ; แดนบูชายักษ์ ติดต่อทีมงาน

เรื่องสั้นชุด Love Like Blood - รักรสเลือด

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 1
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/07/W12451148/W12451148.html

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 2
สงกะสัยจะโดนอุ้มไปแล้ว เดี๋ยวจะไปหาในคลังกระทู้ให้ครับ

เลือดหยดที่สอง กลิ่นคาวของความตาย
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12527580/W12527580.html

เลือดหยดที่สาม ทรายในหลุมดำ ฉบับไฟเขียว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12670872/W12670872.html

เลือดหยดที่สี่ ขย้ำ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12683725/W12683725.html

เลือดหยดที่ห้า คำขอร้องของตั๊กแตน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12733988/W12733988.html

-------------------------------


Love Like Blood – รักรสเลือด

เรื่องที่ 6

แดนบูชายักษ์

4

“เราว่าเค้าดูแปลกๆ นะ” หมิวกระซิบ

“แต่เราว่าเค้าก็ปกตินี่นา” บัวว่า “หมิวว่าแปลกตรงไหนเหรอ?”

“ก็แปลกตรงที่หน้าตายังกะแวมไพร์” โต้งเป็นคนให้ความเห็นแทนแฟนสาว “แต่สวยบาดใจสุดๆ”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ “มีผู้หญิงคนไหนที่แกมองว่าไม่สวยบ้างมั้ยวะ?”

“ก็เค้าสวยจริงๆ นี่หว่า” โต้งกระซิบ “โอ้ แม่นางฟ้ากลางไพรผู้ขโมยหัวใจโต้ง”

“นี่ เยอะและ เยอะและ น้อยๆ หน่อยนะ ไอ้จมูกบาน” หมิวแหวเสียงดังจนหญิงสาวนัยน์ตาคมผู้เดินนำพวกเราทะลุผืนป่าเหลียวหน้ากลับมามองด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีอะไรค่ะ คู่นี้เค้าหยอกกันเล่นเฉยๆ” บัวกล่าวพลางหัวเราะแหะๆ

หญิงสาวนัยน์ตาคมเผยยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นมีเพียงบนริมฝีปากเท่านั้น ผมไม่เห็นวี่แววของรอยยิ้มในดวงตาของเธอเลยสักนิด เมื่อเห็นเธอชำเลืองมองผม ผมจึงฉีกยิ้มตอบกลับไป หญิงสาวนัยน์ตาคมเองก็กำลังยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่กว้างขวางและจริงใจกว่าที่เธอยิ้มให้บัวอย่างไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

เมื่อเธอหันหลังกลับและเดินนำพวกเราต่อไป พวกเราก็กระซิบกระซาบคุยกันต่อ

“นี่แน่ะ ไอ้จมูกบาน ขนาดฉันมาด้วยทั้งคน ยังจะคิดเหล่หญิงอื่นอีกเรอะ” หมิวทำท่าจะเอาเรื่องแฟนหนุ่มโดยการอ้อมหลังเข้ามาหยิกแขน

“โอ๊ย เจ็บนะ แค่พูดเล่นเองจะโมโหทำไม” โต้งทำหน้าย่น ยกมือถูแขนที่ถูกหยิกด้วยความเจ็บ “นางฟ้ากลางไพรไม่สนใจฉันหรอกน่า มันต้องโน่น ไอ้เบ๊นซ์โน่น ฉันเห็นนางฟ้ากลางไพรจ้องมันตาหวานเยิ้มตั้งแต่ตอนที่เจอกันทีแรกแล้ว”

“บ้าน่า มันจะเป็นไปได้ยังไง” ผมรีบพูดอย่างตกใจขณะเห็นบัวเหลือบมองผมด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังจะบึ้งตึง “แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่สนใจหรอก นางฟ้ากลางไพรของแกไม่ใช่สเป๊กฉันโว้ย ไอ้โต้ง”

โต้งซึ่งเดินอยู่ข้างผมจัดการชงมุกให้อย่างรู้ใจ “แล้วสเป๊กแกนี่ต้องยังไงวะ?”

ผมตอบพลางกระชับเป้บนหลัง “ก็ต้องตัวเล็กๆ หน่อย สูงสักร้อยห้าสิบเจ็ดกำลังดี ไว้ผมยาว ใช้ยางมัดผมสีส้ม ชอบทำหน้าดุ แต่งหน้าบางๆ ใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ กับเสื้อยืดแขนยาวสีขาวสกรีนชื่อวง Alice Nine  อยู่ตรงกลาง อ้อ แล้วก็ต้อง – ”

“ – บอกว่ารักยัยบัวคนเดียวก็จบเรื่องแล้วพ่อคุณเอ๊ย” หมิวที่เดินอยู่ข้างบัวโพล่งขึ้นพร้อมกับทำท่าส่ายหัวเหมือนระอาใจเสียเต็มประดา

ผมลอบชำเลืองมองบัว เห็นเธอแอบอมยิ้มอยู่อย่างพยายามกลั้นขำ ผมจึงสบายใจขึ้น เธอเพิ่งเริ่มมีความรู้สึกที่ดีให้ผมได้ไม่นานนัก ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกนั้นให้หมดไปเพราะเรื่องไม่เป็นสาระอย่างนี้

บัวตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อสายตาของผม เธอหันไปกระซิบถามหมิวผู้เป็นเพื่อนสนิทขณะพวกเราก้าวเดินต่อไปบนถนนดินสายเล็กแคบ “เมื่อตะกี้ที่หมิวว่าผู้หญิงคนนั้นแปลกๆ อะไรหรอที่หมิวคิดว่าแปลกน่ะ?”

“ก็...เราว่าเค้าออกมาได้ถูกเวลายังไงไม่รู้ แถมยังพูดภาษาไทยได้อีก แล้วก็ยังสายตาไม่น่าไว้ใจแบบนั้นด้วย” หมิวเอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูบัวเหมือนกลัวว่าหากพูดดังไปผู้ถูกนินทาจะได้ยิน ทั้งที่เธอก็เดินนำหน้าเราไปมากพอสมควร

ผมไม่แปลกใจเลยที่หมิวจะรู้สึกอย่างนั้น เพราะผมเองก็มีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันเวลามองหน้าหญิงสาวนัยน์ตาคม

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อะไรบางอย่างในดวงตาสีดำขลับของเธอมักทำให้ผมรู้สึกว่า เธอล่วงรู้ความคิดในหัวของผมทุกอย่าง

เหมือนเธอมีพลังลี้ลับ อะไรทำนองนั้น

“คิดมากหรือเปล่าหมิว เค้าก็บอกแล้วไงว่าเดินออกมาดูรากสมุนไพรที่ปลูกเอาไว้และไม่แปลกหรอกที่แถวเขตติดไทย - มาเลย์แบบนี้ชาวบ้านจะพูดภาษาไทยได้” บัวกระซิบตอบ “อีกอย่างนะ เราก็ว่าตาเค้าสวยดีออก ไม่เห็นจะไม่น่าไว้ใจตรงไหนเลย”

“ใช่ๆ หญิงบัวพูดถูกต้องที่สุด” โต้งพูด ชะโงกอ้อมไหล่ผมไปยื่นหน้ายื่นตาใส่แฟนสาว “เธออิจฉาที่เค้าสวยกว่า แล้วก็ ‘บึ้บบั้บ’ กว่าใช่มั้ยล่ะ ยัยกระดานโต้คลื่น”

“กล้าดียังไงมาเรียกฉันกระดานโต้คลื่น ฮึ” หมิวทำปากยื่นและสะบัดหน้าไปทางอื่น “ฉันก็ไม่ได้ว่าเค้าเป็นคนไม่ดีหรือมีจุดประสงค์ร้ายอะไรกับเราหรอก แค่บอกว่ารู้สึกแปลกๆ เท่านั้น”

“เถอะน่า จะคิดมากทำไม อย่าลืมสิว่าใครจะมาทำอะไรพวกเราง่ายๆ ได้ยังไง” โต้งพูดด้วยเสียงที่จริงจังขึ้น เขายกมือตบเป้ที่นำมาสะพายไว้ด้านหน้าเหมือนต้องการให้คำยืนยันที่หนักแน่นมากขึ้น ผมรู้ว่าตรงกระเป๋าที่เขาตบ มีปืน .38 กระบอกหนึ่งนอนขดตัวอยู่ในซองเก็บอย่างสงบนิ่ง

ผมละสายตาจากกระเป๋าเป้ของโต้งไปยังด้านหลังเสื้อที่แฉะชื้นด้วยเหงื่อของหญิงสาวนัยน์ตาคม มันเปียกชื้นจนทำให้ผมเห็นรูปทรงเสื้อชั้นในที่เธอสวมรางๆ เช่นเดียวกับผ้าถุงสีเข้มที่ด้ามล่าง ผมรีบเบือนสายตากลับมาที่หญิงสาวผู้เดินอยู่ข้างกาย บัวยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก สองตาสำรวจมองสองข้างทางเดินที่เป็นป่า เหงื่อเม็ดโป้งไหลย้อยลงมาตามข้างแก้มขาวนวลของเธอ

“เหนื่อยไหมบัว?” ผมถาม

บัวชำเลืองมองผม ยิ้ม แล้วสั่นหน้า “บัวยังไหว”

“เราขอโทษนะที่พาหลงมาไกลขนาดนี้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก” บัวยังคงยิ้ม

ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอ ดวงตาที่เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ ชวนให้ผู้จ้องมองรู้สึกลุ่มหลงแทบคลั่งตายได้ไม่ยาก แล้วสายตาของผมก็เลื่อนลงมาที่จมูกเล็กๆ กับริมฝีปากกลีบบางสีชมพูที่เคยลิ้มรสหวานซ่านของมันในความมืดของโรงภาพยนตร์เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน

“อีกไม่นานก็จะถึงแล้วนะคะ ไม่ทราบว่ายังเดินกันไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวจะนั่งพักใต้ต้นไม้ก่อนก็ได้นะ” เสียงของหญิงสาวนัยน์ตาคมเป่าภาพในหัวของผมกระจัดกระจายไป

“ที่ว่าอีกไม่นานนี่ ต้องเดินต่ออีกไกลเท่าไหร่อ่ะครับ?” โต้งเป็นคนถาม

ผมดึงสายตากลับไปที่ผู้นำทางขณะเธอตอบ “เดินอีกประมาณสิบนาทีค่ะ”

“สิบนาที เอาไงวะ?” โต้งหันมาขอคำปรึกษาจากผม

ผมตอบ “ฉันน่ะไหว ลองถามพวกสาวๆ ดีกว่าว่ายังไหวหรือเปล่า”

บัวกับหมิวหันไปซุบซิบกันเบาๆ ครู่หนึ่งก็หันกลับมา พร้อมใจกันพยักหน้าบอกว่ายังเดินไหว

หลังจากเราเดินกันต่อได้ห้านาที เราก็มาเจอกับถนนเส้นที่ใหญ่ขึ้นและมันตัดผ่านป่ามาจากอีกทางและทางทั้งสองสายก็มีปลายทางเป็นที่เดียวกันคือหมู่บ้านของชาวป่าที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไป บนถนนที่เราเดินขณะนี้ราบเรียบ หน้าดินเสมอกัน ต้นไม้ไม่หนามาก แสงแดดยามบ่ายจึงสามารถส่องแสงลงมาได้ ไม่เหมือนทางที่ผ่านมาซึ่งมักจะมีเถาวัลย์เลื้อยขวางทางและอากาศก็อับทึบจนพาลทำให้ครั่นเนื้อครั่นตัวได้ง่ายๆ หากไม่มีสุขภาพที่แข็งแรงพอ

นอกจากนี้ยิ่งใกล้ถึงหมู่บ้าน พวกเราก็เริ่มพบเห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนพื้นถนนมากขึ้น ทั้งรอยล้อรถยนต์และล้อจักรยาน รอยรองเท้าแตะ รอยเท้าสัตว์จำพวกหมู หมา วัวและไก่ และขณะที่พากันเดินสูดหายใจนำอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดพลางชี้ชวนกันดูสรรพสิ่งรอบตัวนั้นเอง หมูตัวหนึ่งก็วิ่งกระดุ๊กๆ ตัดหน้าเราไป โดยมีเด็กผู้ชายสามคนวิ่งไล่จับหายเข้าไปในป่าข้างทาง

“เอ้อ หมู่บ้านนี้ไม่ใช่มุสลิมหรอกหรอครับ เห็นเลี้ยงหมูกันได้ด้วย” โต้งถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เปล่าค่ะ พวกเราไม่ใช่ชาวมุสลิม” หญิงสาวนัยน์ตาคมหันหน้ามาตอบอย่างยิ้มแย้ม “แล้วก็ไม่ใช่ชาวพุทธหรือชาวคริสต์ด้วย”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้นนับถืออะไรล่ะคะ?” หมิวโพล่งอย่างประหลาดใจ

“นับถือยักษ์ค่ะ” หญิงสาวนัยน์ตาคมกล่าว น้ำเสียงหนักแน่น “องค์ราชายักษ์เคาซาคือเทพเจ้าของพวกเรา”

หลังจากนั้นไม่กี่นาที โต้ง หมิว บัวและผม พวกเราทั้ง 4 คน ก็ย่างเท้าเข้าสู่หมู่บ้านที่บูชายักษ์เป็นเทพเจ้าของจริง

3

“เป็นไงคะ พอจะนอนได้ไหม?” หญิงสาวนัยน์ตาคมถาม

“โหย บ้านดินนี่เย็นสบายกว่าที่คิดเยอะเลยนะ” หมิวพูดขณะเธอกับบัวเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงซึ่งตั้งอยู่มุมห้องของบ้านหลังเล็กที่ผู้นำทางบอกอย่างภาคภูมิใจว่า มันเป็นบ้านที่ก่อสร้างมาจากก้อนดิน “แต่เสียดาย ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง แบบนี้ตกกลางคืนไม่ลำบากแย่เลยหรอคะ?”

“ก็ไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะ ส่วนใหญ่ที่หมู่บ้านเราถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ไม่ค่อยมีใครออกมานอกบ้านเท่าไหร่” หญิงสาวนัยน์ตาคมพูด รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้าของเธอ แต่นอกจากเวลาที่เธอมองผมแล้ว ในดวงตาของเธอก็ค่อนข้างเป็นประกายที่แวววาวด้วยความเย็นชาที่ลึกลับเหลือเกิน

“นั่นสินะ อากาศก็ดี บรรยากาศก็โรแมนติก ไม่ต้องบอกก็เดาได้แล้วว่าชาวบ้านแถวนี้พอตกค่ำเค้าจะทำอะไรกัน” โต้งที่ยืนพิงประตูโพล่งขึ้นขำๆ หลังยกขวดน้ำดื่มกระดกลงคอดับความกระหาย

“แกนี่นะ ในหัวมีแต่เรื่องพรรค์นี้หรือยังไง” หมิวแหวใส่แฟนหนุ่มก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เดินตรงมาที่หญิงสาวนัยน์ตาคมและพูด “อยู่ได้สบายเลยค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากจริงๆ นะคะสำหรับความช่วยเหลือ ถ้าไม่เจอคุณล่ะก็ ป่านนี้พวกเราคงหลงป่าไปไกลแล้ว”

“ใช่ค่ะ พวกเราเป็นหนี้คุณจริงๆ จนตอนนี้ยังไม่รู้ชื่อคุณเลย” บัวพูด ลุกขึ้นจากเตียงเดินมายืนข้างเพื่อนสนิท

“ฉันชื่อซานติกค่ะ” หญิงสาวนัยน์ตาคมตอบ

พวกเราแนะนำตัวกันคร่าวๆ นอกจากซานติกจะได้รู้ว่าโต้ง หมิว บัวและผมมาที่นี่ในฐานะนักศึกษาหลงป่าแล้ว พวกเราก็ยังได้ทราบว่าเธอเคยข้ามเขตชายแดนไปร่ำเรียนที่ฝั่งไทยจนได้วิชาความรู้ด้านต่างๆ รวมถึงภาษาไทยและอังกฤษกลับมาเป็นครูสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านเพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น

“ดีจังเลยนะครับ ผมก็ยังว่าอยู่ คุณซานติกไม่เหมือนคนที่อยู่ในป่าในดงเลย” ผมพูด ที่จริงแล้วตั้งแต่โต้งตั้งข้อสังเกตว่าหญิงสาวนัยน์ตาคมให้ความสนใจผมเป็นพิเศษ ผมก็ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเธอให้บัวขุ่นใจ แต่เห็นว่าหากเอาแต่เงียบกริบไม่พูดเสียบ้าง มันก็ออกจะน่าเกลียดเกินไปหน่อย

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ว่าตอนนี้พร้อมจะไปดูบ้านพักของฝ่ายชายกันหรือยังคะ?” ซานติกถาม

“พร้อมแล้วครับ” โต้งตอบ ส่วนผมผงกศีรษะ

“งั้นก็ตามมาค่ะ อยู่ห่างจากบ้านนี้ไปไม่เท่าไหร่เอง” ซานติกพูด เดินผ่านกลางระหว่างโต้งกับผมออกไปจากประตู ผมกับโต้งพยักหน้าให้หมิวกับบัวก็เดินตามเธอไป แต่เดินห่างประตูออกมาไม่ถึงสิบก้าว หูก็ได้ยินเสียงหมิวตะโกนเรียกว่า

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณซานติก”

ผู้ถูกเรียกชื่อหยุดชะงัก เธอยกมือป้องแดดและเหลียวมองกลับไป

หมิวก้าวตามมาและถาม “ไม่ทราบว่าคนที่นี่เค้าอาบน้ำกันที่ไหนหรอคะ? เหนียวตัวไปหมดแล้ว อยากอาบน้ำสักหน่อยน่ะค่ะ”

ซานติกคลี่ยิ้ม “ทุกคนอาบกันที่ลำธารหลังหมู่บ้านค่ะ เดี๋ยวส่งคุณโต้งกับคุณเบ๊นซ์ที่บ้านพักเสร็จ ฉันจะกลับมาพาคุณไปก็แล้วกันนะคะ”

“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ” หมิวยิ้มร่าอย่างดีใจ ซานติกตอบว่าอย่าเกรงใจ แล้วเราก็เดินออกมาเมื่อหมิวหมุนตัวกลับและหายเข้าไปหลังประตูบ้านพักของเธอ

เส้นทางที่ทอดนำไปสู่บ้านพักของผมกับโต้งตัดผ่านลานกว้างที่มีไก่เดินเพ่นพ่านและเกลื่อนด้วยขี้ไก่เต็มไปหมด ผมเห็นเด็กชายวัยประมาณหก – เจ็ดขวบขี่จักรยานคันเก่ามาจากอีกด้านหนึ่งของถนน แต่พอเขาเห็นผมกับโต้งเท่านั้น เด็กชายก็หยุดรถและตีวงเลี้ยวกลับทันที

“วันนี้ชาวบ้านไปไหนกันหมดครับ ตั้งแต่เข้ามาก็ไม่ค่อยเจอใครเลย” โต้งถามอย่างชวนคุยขณะบ้านดินหลังหนึ่งปรากฏในสายตาเคียงข้างต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างขวางชนิดที่หลังคาของบ้านนั้น แทบไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

“ชาวบ้านเข้าป่าไปเตรียมงานฉลองน่ะค่ะ” ซานติกตอบ เมื่อเหลียวมาเห็นโต้งทำหน้างง เธอจึงขยายความ “วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเฉลิมฉลองประจำปีที่หมู่บ้านเราจัดถวายให้องค์ราชายักษ์เคาซาค่ะ จะมีการล่าสัตว์ป่ามาเป็นเครื่องสังเวย ถ้าไม่รีบ จะอยู่ดูก็ได้นะคะ”

“โอ๊ย ไม่รีบหรอกครับ อยากจะขออยู่ที่นี่สักเดือนด้วยซ้ำไป” โต้งพูดอย่างกระตือรือร้น ผมจับน้ำเสียงของเขาได้ว่าโต้งหมายความตามที่พูดจริงๆ

ซานติกหัวเราะเล็กน้อยและไม่พูดอะไรต่อ เธอเดินนำพวกเราเข้าไปในบ้านดินข้างต้นไม้ สายลมเย็นสบายโชยพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาขับไล่หยดเหงื่อและความเหน็ดเหนื่อย ในบ้านดินมีเพียงหนึ่งห้องนอนกับเตียงสองเตียงเหมือนบ้านพักของหมิวกับบัว นอกจากเตียงไม้สองหลังแล้ว เฟอร์นิเจอร์ในนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

เมื่อได้รับคำยืนยันว่าบ้านดินหลังนี้เป็นที่พอใจของเรามาก ซานติกก็ขอตัวกลับไปเพื่อพาหมิวไปที่ลำธารหลังหมู่บ้าน ทันทีที่ได้อยู่กันอย่างเป็นส่วนตัว ผมกับโต้งก็วางกระเป๋าเป้ลงบนหัวเตียงของตัวเองก่อนที่เราจะถอดเสื้อยืดตัวนอกออกและนอนแผ่หลาอย่างหมดสภาพอยู่บนเตียง

“เฮ้อ ในที่สุดก็หนีรอดมาจนได้” โต้งพูดด้วยความโล่งใจพร้อมกับยืดแขนยืดขาบิดขี้เกียจ เขาเหลือบมองผมที่นอนอยู่บนเตียงด้านตรงข้ามและพูด “เพราะแกพาพวกเราหลงทางแท้ๆ พวกเราถึงได้มาเจอแหล่งซ่อนตัวที่ดีที่สุดในโลกอย่างนี้ โชคดีจริงๆ ว่ะ”

“แกคิดจะหลบอยู่ที่นี่จริงหรอวะ?” ผมถาม ยันตัวลุกขึ้นนั่ง

“ก็จริงดิ” โต้งตอบ ยกขานอนไขว่ห้างและมองผมอย่างสุขใจ “จะมีที่ไหนเหมาะหลบตำรวจเท่านี้อีก พวกนั้นคงไม่คิดหรอกว่าเราจะหนีข้ามพรมแดนมาได้ไวยังกะจรวดแบบนี้ รึว่าแกมีที่ซ่อนที่มันดีกว่านี้? ก็ไม่มี เห็นมั้ยล่ะ ฉันว่าเราอาจจะขอพวกชาวบ้านอยู่ได้สักพักใหญ่ทีเดียว อ้างว่าเห็นพวกเด็กๆ แล้วสงสารเลยอยู่ช่วยซานติกสอนหนังสือก็ได้ แค่ท่องเอบีซีหรือให้จำสูตรคูณมันไม่ใช่เรื่องยากเลยนี่”

“แต่แกลืมไปหรือเปล่าว่าซานติกสอนเด็กเป็นภาษาท้องถิ่น เค้าไม่ได้สอนด้วยภาษาไทยโว้ย” ผมพูด

โต้งเลิกคิ้วขึ้นสูง ยกขาที่ไขว่ห้างลง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่งเกาหัว “เออ เนอะ ลืมคิดไปว่ะ แบบนี้ก็ต้องหาข้ออ้างอื่นอีกอ่ะดิ” หยุดพูดเพื่อถอนหายใจและเอื้อมมือไปเปิดกระเป๋าเป้ หยิบเสื้อกล้ามตัวหนึ่งขึ้นมาสวม “ช่างเหอะ ยังมีเวลาคิดอีกสองสามวัน ตอนนี้ไปตักตวงความสุขก่อนดีกว่า ฝากกระเป๋าด้วยนะ”

“จะไปไหนเฮ้ย” ผมถามเมื่อเห็นโต้งลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปที่ประตู

“ไปลำธาร” โต้งหยุดอยู่ที่ประตูและหันมาตอบผมด้วยใบหน้ามีเลศนัย “จะไปช่วยขัดหลังให้คุณนาย”

ผมรู้ว่าเวลาอารมณ์ดี โต้งจะเรียกหมิวว่าคุณนายเสมอ “ไปถูกเรอะ เดี๋ยวก็หลงตายห่านหรอก”

“โธ่ แม่นางฟ้ากลางไพรบอกว่าลำธารอยู่หลังหมู่บ้านนี่เอง เดินๆ ไปเดี๋ยวก็เจอเองแหละ” โต้งหัวเราะอย่างนึกขำ “แล้วถ้าเกิดหลงทางนะ ฉันก็ตะโกนเรียกให้คนช่วยไง อยู่ใกล้หมู่บ้านคนแค่นี้ จะกลัวหลงทำไมวะ”

โต้งส่ายหัวให้กับความหวาดระแวงไม่เข้าเรื่องของผม แล้วเขาก็เดินออกไปจากประตู

ผมถอนหายใจ ชำเลืองมองไปที่กระเป๋าเป้ของโต้งบนหัวเตียงด้านตรงข้าม เป้ที่มีทั้งปืนและเงินสดเกือบสี่แสนบาท เงินเหล่านั้นเป็นรายได้จากการขายยาเสพติดครั้งสุดท้าย ก่อนที่พวกเราจะต้องเตลิดหนีมาเพราะโดนตำรวจบุกจับกุมอย่างไม่คาดฝัน

สถานที่ส่งยาคือลานจอดรถของปั้มน้ำมัน ขณะเกิดการบุกจับกุม โต้งใช้ปืนของเขายิงสู้ตำรวจเพื่อหลบหนี พวกเราทำได้สำเร็จเพราะโชคดีที่ตอนเกิดเหตุนั้นค่อนข้างที่จะชุลมุนเอามากๆ ฝ่ายลูกค้าที่มาซื้อยาจากเราเองก็สู้ตำรวจยิบตาเหมือนกัน กระสุนปลิวว่อนเหมือนเม็ดถั่วที่ถูกสาดทั้งถาด พวกเราหนีขึ้นรถและขับตะบึงอย่างไม่กลัวว่ารถจะคว่ำตาย

ทุกอย่างเหมือนในหนังประเภทผู้ร้ายหนีตำรวจประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ คนที่ทำอาชีพเช่นนี้ย่อมมีป้ายทะเบียนรถหลายใบไว้สำหรับ ‘สับขาหลอก’ พวกตำรวจอยู่แล้ว โต้งจัดการเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถ แล้วขับตรงไปจังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นที่ตั้งของบ้านญาติและเป็นคนที่ชักชวนให้โต้งและพวกเราก้าวเท้าเข้าสู่วงการค้ายานรกเมื่อหกเดือนก่อน

แล้วในค่ำวันนั้น พวกเราก็ได้ทราบจากข่าวโทรทัศน์ว่า มีตำรวจนายหนึ่งถูกคมกระสุนของโต้งเจาะเข้าบริเวณปอดบาดเจ็บสาหัส พวกเราล้วนทราบดีว่าการยิงตำรวจบาดเจ็บเพียงนายเดียว ก็ไม่ต่างจากการตบหน้านายตำรวจทั้งประเทศ พวกเขาจะต้องพลิกแผ่นดินหาเราจนเจอแน่ๆ

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจว่าจะอยู่ในประเทศไทยอีกต่อไปไม่ได้ ผมบอกโต้ง หมิวและบัวว่ามีคนรู้จักอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย อาจจะขออาศัย ‘หลบร้อน’ ได้สักพักหนึ่ง พวกเราจึงใช้รถกระบะของญาติโต้งเดินทางกันกลางดึกในคืนนั้นทันที

พวกเราลัดเลาะผ่านจังหวัดต่างๆ ลงสู่ภาคใต้ของประเทศไทยและจับรถไฟจากปาดังเบซาร์ของสงขลา ข้ามไปสู่ปาดังเบซาร์ของรัฐเปอร์ลิสแห่งมาเลเซียในตอนรุ่งสาง อากาศของเดือนสิงหาคมเริ่มมีเค้าลางของฤดูฝน ผมพาอีกสามคนขึ้นแท็กซี่ไปคังการ์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐและเดินทางต่อไปที่รัฐเคดาห์ที่เป็นรัฐข้างเคียงและเป็นที่ๆ คนรู้จักของผมตั้งรกรากอยู่ในภูเขา

ผมป้อนข้อมูลให้โต้ง หมิวและบัวทราบว่าคนรู้จักของผมผู้นั้นดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านในหมู้บ้านที่ชื่อว่ายาห์อะรา หมู่บ้านที่เป็นแดนเกษตรกรรมแหล่งสำคัญลำดับต้นๆ ของรัฐและผู้นำชุมชนก็มีอิทธิพลมากพอสมควร

แต่โชคร้ายที่ไม่ได้ติดต่อกันนาน เบอร์โทรศัพท์ของเขาผมจึงทำหายไปแล้ว แต่ผมก็ให้ความมั่นใจกับทั้งสามคนว่าผมจำเส้นทางไปสู่หมู่บ้านนั้นได้ดี ผมพาโต้ง หมิวและบัวลงแท็กซี่ที่ชายป่าแห่งหนึ่งและนำทุกคนเข้ามาในป่าตอนสิบเอ็ดโมงของเช้าวันนี้

และผมก็ทำให้พวกเขาต้องหลงป่า เดินวนไปวนมาอย่างสะเปะสะปะนานนับชั่วโมง พวกเราหาทางไปข้างหน้าไม่เจอ จะถอยหลังก็กลับไปไม่ถูก ซานติกโผล่เข้ามาในตอนนั้นพอดี เธอแนะให้พวกเรามาพักที่หมู่บ้านของเธอก่อน เพราะหากจะเดินทางย้อนกลับออกจากป่า ก็ต้องใช้เวลานานมาก คงมืดค่ำก่อนที่เราจะถึงชายป่าด้วยซ้ำ

โต้งเป็นคนแรกที่ออกความเห็นอย่างเห็นพ้อง พวกเราอีกสามคนจึงไม่มีใครขัดข้อง เราใช้เวลาเดินเท้าอีกชั่วโมงเศษก็มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้

ผมสูดหายใจลึก สลายความคิดต่างๆ ในหัวออกไป ยุงตัวหนึ่งโผลงมาเกาะบนแขน มันฝังปากของมันลงมาบนผิวหนัง ผมตวัดมือตบลงไปโดยแรง ยุงตัวนั้นบี้แบนอยู่ใต้ฝ่ามือ เลือดหย่อมเล็กๆ ของมัน(ที่จริงคือเลือดผมไม่ใช่หรือ?) แตกกระจายอยู่บนแขน ผมใช้นิ้วโป้งปาดออกไปและเช็ดเลือดกับซากยุงบนเสื้อยืดที่ถอดวางอยู่บนเตียง

พลัน ผมก็ได้ยินเสียงบ่นอุบมาจากประตู

“ที่นี่พวกยุงพวกแมลงเยอะจังเลย ถ้าพี่แบมมาด้วยคงชอบใจตาย”

ผมหันไปยังต้นเสียง บัวเดินเกาแขนแกรกๆ เข้ามา ผมทราบว่าพี่แบมที่เธอพูดถึงคือพี่สาวของเธอที่เป็นนักสัตววิทยา รู้สึกจะศึกษาพวกแมลงหรืออะไรทำนองนั้นเป็นพิเศษ ผมยิ้มให้บัว บัวยิ้มให้ผมก่อนชำเลืองมองรอบๆ ห้องนอนอย่างสำรวจตรวจตราและเดินมาทรุดนั่งข้างผมบนเตียงไม้

“เรานึกว่าจะบัวจะไปอาบน้ำกับหมิวซะอีก” ผมพูด หันมองใบหน้าด้านข้างของเธอ

บัวตอบ “ทีแรกว่าจะตามไปเหมือนกัน แต่เห็นโต้งตามไปแล้ว เลยไม่ไปดีกว่า”

ผมกับเธอหัวเราะให้กันเล็กน้อยอย่างรู้ความใน อากาศในห้องที่เย็นสบายเมื่อครู่ กลับร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างถนัดใจเมื่อมีบัวนั่งอยู่ข้างกาย ผมก้มมองหน้าอกที่มีขนขึ้นดกหนาของตัวเอง ก็นึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ใส่เสื้อ ผมกลืนน้ำลาย ยืดตัวนั่งหลังตรง มือที่วางอยู่ข้างกายขยับเลื่อนไปแตะบนหลังมือของบัวโดยไม่รู้ตัว

บัวไม่ได้ขยับมือหนี เราหันมองตากัน ภาพในโรงภาพยนตร์ผุดวาบกลับเข้ามาอีกครั้ง จูบแรกระหว่างเรา ตอนนั้นมันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเกิดขึ้นในที่มืด ประกอบกับอารมณ์หนังพาไป ผมจำได้ว่าตัวเองไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นอย่างหื่นกระหายมากเท่านี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างผิดแผกแตกต่างไปแล้ว ผมรู้ดีว่าผมไม่อาจรักษาผู้หญิงอย่างเธอไว้ข้างกายผมตลอดไป ผมจ้องมองใบหน้าของเธอ สองแก้มของบัวแดงระเรื่อ กลิ่นกายสาวที่คละเคล้าด้วยกลิ่นเหงื่อโชยมาแตะจมูก เราทั้งสองคนเอนกายเข้าใกล้กัน แม้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าผมไม่ควรทำอย่างนี้ แต่ผมห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว

ทันใดนั้นเอง โต้งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“ไอ้เบ๊นซ์! บัว! แย่แล้ว! แย่แล้วโว้ย!” เขาละล่ำละลักขณะผมกับบัวรีบผละออกจากกันอย่างตกใจ

“มีอะไรวะ?” ผมถาม ผุดกายลุกขึ้นยืน

“หมิวหายตัวไป โดนใครทำร้ายก็ไม่รู้!” โต้งพูด บดกรามกรอดแล้วพุ่งไปที่เตียงของตัวเอง คว้าเป้ รูดซิปเปิดและหยิบปืนลูกโม่สีเงินวับออกมาบรรจุกระสุนอย่างร้อนรน

“เฮ่ย อะไรกันวะ ใจเย็นก่อนสิ” ผมพูด คว้าเสื้อที่เปื้อนซากยุงมาใส่

บัวส่งเสียงถามจากด้านหลังผม “โต้งบอกว่าหมิวโดนใครทำร้ายหรอ? มันเกิดอะไรขึ้น?”

“ตามเรามา เดี๋ยวก็รู้” โต้งเหลียวหน้ามาตอบ สลัดลูกโม่เข้าที่เมื่อบรรจุกระสุนเสร็จ เขาถือปืนในมือหนึ่ง ใช้อีกมือตวัดเป้สะพายไหล่และเดินนำผมกับบัวออกไปอย่างรีบร้อน

ผมกับบัวเดินตามโต้งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงห้านาทีก็ได้ยินเสียงสายน้ำไหล ระหว่างทางบ้านดินทั้งสองฝากข้างยังคงรกร้าง หากไม่ปิดประตูหน้าต่าง ก็มีเพียงสัตว์เลี้ยงเช่นหมูกับไก่เท่านั้นที่เดินพาเหรดสวนกันไปมา ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ให้เราเห็นสักคน

“ระวังตัวกันด้วยนะ บางทีพวกมันอาจจะยังซ่อนตัวอยู่แถวนี้” โต้งหันมากระซิบ นิ้วสอดเข้าโกร่งไกอย่างพร้อมยิงทุกขณะเมื่อเดินเลี้ยวพ้นดงไม้และก้าวเข้าสู่พื้นที่ชายน้ำริมลำธารซึ่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้ ก้อนหินและตะไคร่น้ำ  

โต้งพาเราเดินไปหยุดที่ริมลำธาร มีต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ตรงนั้น มันสูงประมาณสองเมตร กิ่งก้านสาขากิ่งหนึ่งมีเสื้อผ้าของหมิวพาดอยู่ สายบรากำลังไหวตามแรงลมที่โชยพัดมา เธอคงแขวนเสื้อผ้าไว้ก่อนจะลงไปอาบน้ำที่ลำธาร

แต่สิ่งที่ตรึงให้สายตาของผมชะงักค้างไม่ใช่บราหรือกางเกงในสีพาสเทลเหล่านั้น หากแต่เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้ตรงหน้าพวกเราทั้ง 3 คนในขณะนี้ รอยเลือดสีแดงสดที่ถูกลากเป็นทางยาวหายลับเข้าไปในป่าข้างลำธาร

เลือดที่ไหลออกมามีจำนวนเยอะมาก ชนิดที่หากเจ้าของเลือดยังไม่ตาย ก็คงต้องอยู่ในภาวะบาดเจ็บสาหัสอย่างที่สุดแน่นอน

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 17:34:54




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com