ละครรักโรแมนติกสไตล์เกาหลี
เรื่องราวความรักความแค้นของชายหนุ่มอดีตนักศึกษาแพทย์ที่เรียนไม่จบ ต้องออกกลางคัน สิ้นอนาคต ซ้ำเสียสตรีอันเป็นที่รัก ให้ชายอื่น
ต้องพเนจรร่อนเร่ไปต่างแดน แต่แล้วสวรรค์กลับให้โอกาสเขากลับมาอีกครั้ง เพื่อแก้แค้นหญิงอันเป็นที่รักสุดหัวใจในอดีต
ในสถานะใหม่ มหาเศรษฐีมาเฟียผู้ลึกลับ
เขาวางแผนล่อหลอกให้เธอหลงรักในสถานะมหาเศรษฐี และจะสลัดเธอไปเช่นที่เธอเคยทำกับเขา
แต่กลับพบว่า เขามีแต่ความห่วงใยให้เธอเพราะ ปัจจุบัน เธอกลายเป็นแพทย์ ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์เต็มเปี่ยม ซ้ำก่อเรื่องวุ่นวายให้เขาเดือดร้อน ปวดหัวอยู่เสมอ
ที่สำคัญที่สุด
ถึงเขาจะรวยแค่ไหน เธอก็เชิดใส่
เขาจะทำอย่างไรกับเธอดี
อภัยให้เธอเรื่องในอดีตและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
พี่เตชิตยังรักน้องกล้วยอยู่เสมอ
หรือจะแก้แค้นเธอต่ออีกสักนิด
หมอคู่กัด โยเซฟกับโอภาส
แผนกอายุรกรรม
"คุณชาญชัยเชิญที่ห้องตรวจหมายเลข 8 ค่ะ"
นายแพทย์โอภาสพับหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านฆ่าเวลาลงบนโต๊ะ ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกคนไข้เข้าห้องตรวจ พร้อมกับเอาผ้าปิดปากปิดจมูก เพราะกำลังเป็นหวัดอยู่ ไม่อยากแถมเชื้อหวัดของตัวเองให้คนไข้ติดตัวกลับบ้านไปด้วย เมื่อบานประตูไม้เนื้อหนักสีเขียวอ่อนเพิ่งทาสีใหม่ๆ ยังได้กลิ่นสีอบอวลจางๆอยู่เลื่อนออก
คนไข้หนุ่มวัยไม่เกิน 35 ปีเดินเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ
"สวัสดีครับ" หมอทักอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้คนไข้นั่ง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสายตาสีเงิน ลอบพิจารณาผู้ป่วยที่เพื่งเข้ามาใหม่ ตามนิสัยรอบคอบถี่ถ้วนของหมอ
"ไม่สบายเป็นอะไรครับ? "
"ผมเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้งๆ ไม่มีไข้" คนไข้เล่าอาการให้หมอฟังเป็นชุดอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องรอให้หมอคอยซักทีละประโยค แถมวินิจฉัยโรคตัวเองเสร็จ
ดี ไม่ต้องเสียเวลาคุยนาน
หมอซักถามเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ยังไม่ทันอธิบายอะไร คนไข้ก็บอกต่อไปว่า
"ผมจะแต่งงานพรุ่งนี้เย็น หมอช่วยรักษายังไงก็ได้ให้หายทันก่อนวันงานก็แล้วกัน ผมไม่อยากไปสั่งขี้มูกแจกแขกแทนของชำร่วยในวันงาน"
หมอโอภาสที่กำลังจะให้คนไข้อ้าปากเพื่อตรวจดูคอเลยชะงัก
เย้ย...พูดแบบนี้แปลว่าหมอเลี้ยงไข้นี่หว่า คนไหนไม่แต่งงาน หมอก็รักษาให้หายช้าๆงั้นสิ ถ้าหมอเสกให้คนไข้หายตามใจนึกได้ หมอรักษาหวัดของตัวเองให้หายก่อนไม่ดีหรือ
แต่หมอโอภาสก็สะกดใจถามว่า "เป็นมากี่วันแล้ว"
"เป็นมาตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว" ยกนิ้วทั้ง 5 ขึ้นมาประกอบการนับ "ก็เกือบ 2 อาทิตย์ได้"
เออดี เป็นมาแล้ว สองอาทิตย์ แล้วจะให้ฉันเสกนายให้หายภายในวันเดียวนี่นะ
"ฉีดยาเลยหมอ วันนี้ฉีดหนึ่งเข็ม พรุ่งนี้ฉีดอีกหนึ่งเข็ม เย็นก็หายทันพอดี" คนไข้แนะนำและคาดการณ์เสร็จสรรพ
หลังการตรวจตามขั้นตอน อ้าปากดูคอ ใช้หูฟังตรวจ
หมอก็พยักหน้าให้ผู้ช่วยพาคนไข้ออกไปฉีดยาไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงปากเปียกปากแฉะอธิบายว่าไม่จำเป็นต้องฉีดยาร้อก ท่าทางจะถึงเวลาหายแล้วด้วยซ้ำหรือไม่ก็กินยาลดน้ำมูกอย่างเดียวก็พอ
คนไข้บางคนหากฝังใจกับการฉีดยา คิดว่าหายเร็วขึ้นก็เพราะยาฉีด
มาทีไร ขอหมอฉีดทุกครั้ง หมอไปขัดเข้า อาจจะอารมณ์บ่อจอย เผลอๆพาลเปลี่ยนหมอไปเสียเลย
เสียเวลาอธิบายด้วยความหวังดี กลับต้องมานั่งกินแกลบแทน แถมบางครั้งอาจโดนด่าฟรี ไม่คุ้ม
หลังจากคนไข้คนแรกออกไป หมอโอภาสก็นั่งไล่บี้ยุงในห้องตรวจ ได้มาอีก 2-3 ตัว ก่อนที่คนไข้คนต่อไปจะเข้ามา
ผู้เข้ามาใหม่เป็นชายวัยกลางคน ผิวสีน้ำตาลดำ หน้าตาผิวพรรณบอกเชื้อแขกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในมือถือแฟ้มเอกสารหนาปึก
พอลงนั่งก็ยื่นแฟ้มให้หมอพร้อมกับส่งภาษาที่หมอโอภาสแยกไม่ออกว่าเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงแขก หรือภาษาแขก สำเนียงอังกฤษกันแน่ ทั้งที่พยายามกางหูบานเป็นจานดาวเทียมฟังแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เมื่อเห็นหมอโอภาสทำท่าไม่เข้าใจ ใบ้รับประทาน คนไข้ก็เปลี่ยนมาใช้ภาษาที่หมอโอภาสเข้าใจได้ในทันที
"ฉันมีโรคประจำตัวหลายอย่างนะนาย โรคหัวใจก็มี"
เออ พูดไทยก็ได้ แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่ทีแรก จะอนุรักษ์ภาษาบรรพบุรุษของนายไปถึงไหน นี่มาหาหมอนะเฟ้ย ถ้าหมอไม่เข้าใจ สั่งยาผิด จะเกิดอะไรขึ้น?
"เคยทำอะไรมาตั้งเยอะ กินยาก็เยอะแยะ หมอลองอ่านดูในนี้เอาเอง"
แล้วไอ้ที่ว่าเยอะแยะนี่ บอกมาสักอย่างสองอย่างไม่ได้หรือไง ทำไมจะต้องให้ฉันนั่งอ่านประวัตินายเกือบ 20 หน้าด้วยฟะ ภาษาไทยก็พูดได้ ท่าทางน่าจะอยู่เมืองไทยมานานแล้วด้วย
คิดแล้ว หมอก็ถอนหายใจ ชำเลืองดูประวัติยาวเหยียด หนาปึกนั้นแล้ว ก็อยากจะให้ผู้ช่วยเอาพาราเทมาให้กินทั้งขวดเสียเดี๋ยวนั้น ตัวหนังสือกะยึกกะยึยเป็นภาษาอินเดีย ภาษาอังกฤษปะปนกันไปหมด แถมชื่อยา ก็ไม่เคยเห็น ซ้ำร้ายบางตัวเป็นภาษาแขกล้วนๆ เดาไม่ถูกว่ายาอะไรบ้าง แต่ก็กัดฟันมั่วๆเอา อ่านจนหมดเกือบทุกหน้า ใช้เวลาปาเข้าไป 15 นาที แล้วก็ส่งแฟ้มคืนให้ กัดฟัน ถามว่า
"ไม่สบายเป็นอะไรครับ"
" ริดสีดวงทวาร"
ฮ้า แล้วให้ฉันอ่านประวัตินายตั้งยาว ทำหอกอะไร
แค่หันก้นให้กูส่องทวารก็พอแล้ว
ชะรอยคนไข้จะรู้ใจหมอ จึงอธิบายว่า
"หมอจะได้รู้ว่าผมมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เวลาสั่งยาจะได้ระวังๆหน่อย มี ผลข้างเคียงกับยาเก่าของผมหรือเปล่า"
เออ ก็จริง หมอจะรักษาคนไข้ได้ดี ต้องรู้จักคนไข้ให้ลึกซึ้งใช่ปะ
เฮ้อ เหนื่อย
เป็นหมอสมองแท้ๆ แต่ต้องมาส่องดูดคนไข้ ข้างนอกคัดกรองคนไข้ยังไงวะ
คนไข้สมองทุกทีเคยมีมากมายล้นหลามจนแทบจะเหยีบกันตาย แต่วันนี้หายหมด
วันนี้ดวงกูสงสัยจะตก ไม่รู้ก้าวเท้าไหนออกมาจากบ้าน
ส่งมาแต่ละคน หนีบประวัติมาด้วยเป็นฟ่อน อีกคนก็เห็นหมอเป็นเทวดา เป่าเพี้ยง โรคหายได้ดั่งใจ
หลังจากตรวจและกำลังสั่งยา หมอโอภาสบังเอิญเหลือบเห็นว่า ที่ชื่อหมอโอภาสในใบยามีรอยขีดฆ่าทิ้ง แล้วปั๊มใหม่เป็นชื่อหมอโอภาสทับไปอีกที
เมื่อพยายามส่องดูว่าชื่อหมอเดิมเป็นใคร ก็เห็นว่าเป็นหมอโยเซฟ
คราวนี้หมอโอภาสก็ตาสว่าง
หันไปถามผู้ช่วยทันที
"ทำไมเปลี่ยนคนไข้คนนี้มาให้หมอ?"
ผู้ช่วยทำท่าอ้ำๆอึ้งๆ ก่อนจะตอบว่า "หมอโยคนไข้เยอะ เขาเลยไม่อยากรอนาน เลยบอกว่า...เอ่อ เอาหมอคนไหนก็ได้ ที่ไม่ค่อยมีคนไข้ ไม่ต้องเก่งก็ได้ แค่ริดสีดวง"
หมอโอภาสชักเริ่มลมออกหู
"อ้าวแล้วทีแรกทำไมส่งเข้าห้องหมอโยล่ะ"
"ทีแรกคนไข้เจาะจงเอง บอกที่โต๊ะบัตรว่าต้องการหมอเก่งๆ หมอห่วยๆไม่มีคนไข้ไม่เอา ก็เลยได้คิวหมอโย"
สาด ใครวะ หาว่ากูเป็นหมอห่วย
"หมอโยมีคนไข้มากขนาดไหนกัน"
"หนูเห็นคิวหน้าห้องเปลี่ยนไป 3 แผ่นแล้วค่ะ"
"ฮ้า! " หมอโอภาสอุทาน
เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ออกตรวจพร้อมกัน หมอโอภาสนั่งไล่บี้ยุง กับบีบสิวจนหน้าจะกลายเป็นหลุมอุกกาบาตอยู่แล้ว คิวตรวจคนไข้ยังไม่ถึงครึ่งหน้า แต่หมอโยเปลี่ยนแผ่นใหม่ไปแล้ว 3
วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะกูดวงตกเอง ไอ้โยมันก็ต้องมีตัวช่วย
18.45 น. เลยเวลาออกตรวจของหมออายุรกรรมช่วงบ่ายไปแล้ว แต่คิวหน้าห้องตรวจของนายแพทย์โยเซฟก็ยังยาวเป็นหางว่าว
รายชื่อคนไข้ใหม่รอเข้าตรวจยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ในขณะที่คนไข้และญาติที่นั่งรออยู่นาน เริ่มออกอาการกระสับกระส่าย บางคนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ประหนึ่งว่าการหมั่นดูเวลาบ่อยๆ จะสามารถเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นได้กระนั้น
บางคนก็ลุกขึ้นเดินไปมาแก้เมื่อย หรืออาจจะแก้เซ็งด้วย หรือไม่ก็ลุกขึ้นชะโงกดูคิวหน้าห้องว่าเมื่อไหร่จะถึงชื่อตัวเองเสียที และมีบางคนถึงกับถามพยาบาลประจำเคาน์เตอร์หน้าห้องแพทย์ตรงๆว่า วันนี้จะได้ตรวจหรือเปล่า ต้องรออีกนานแค่ไหน
"คุณสำราญ ลูกพ่อสำเริง ขอเชิญที่ห้องตรวจหมายเลข 5 ค่ะ"
เสียงพยาบาลขานชื่อคนไข้รายต่อไป หากครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง เพราะมีคนไข้ลุกขึ้นแสดงตัวจะเข้าห้องตรวจพร้อมกันทีเดียวสองคน เป็นคนไข้ต่างวัยต่างเพศกันสองคน คะเนจากอายุแล้ว พอจะเป็นแม่ลูกกันได้สบาย
"คนไหนคุณสำราญคะ?" พยาบาลถาม มองสลับไปมาระหว่างหนุ่มใหญ่วัยไม่เกิน 50 ปี กับคุณป้าที่น่าจะแก่กว่าไม่เกินสองรอบ
"ผมเอง" หนุ่มใหญ่อ่อนวัยกว่ารีบยกมือขึ้นแสดงตัว
"เรียกผิดหรือเปล่า?" คุณป้าสูงวัยรีบท้วงเสียงดัง จากนั้นก็ร่ายยาวเหตุผลตามมาเป็นชุด "คนที่เพิ่งออกไป คิวที่ 68 แต่ฉันคิวที่ 69 ก็ต้องฉันก่อน..."
พยาบาลอ้าปากจะอธิบาย แต่คุณป้าวัยเกือบจะ 70 ยกมือขึ้นโบกตัดบท เป็นเชิงให้ฉันพูดจบก่อน "แซงคิวกันได้ยังไง คนนั้น..." นางชี้ไปที่คู่แข่งที่เพิ่งจะเข้าห้องตรวจไป "คิวตั้ง 72 แต่ทำไมเรียกก่อน ฉันก็มีเงินจ่ายนะ ไม่ได้มาตรวจฟรี ไม่ใช่คนไข้สังคมสงเคราะห์ อย่ามาเล่นเส้นเล่นสายกันในโรงพยาบาลนะ มันหมดสมัยแล้ว"
คนพูดคงจะเป็นคนไข้ขาประจำ จึงรู้ว่าที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้มีระบบสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือคนไข้ยากไร้ด้วย
"คุณป้าคะ...คือว่า..."
พยาบาลพยายามจะพูดแซงอีกครั้ง แต่คุณป้ายังไม่เปิดโอกาสให้ สำหรับโรงพยาบาลเอกชน ลูกค้าหรือคนไข้ต้องมาก่อนเสมอ อย่าเผลอไปแย่งลูกค้าพูดเป็นอันขาด ประเดี๋ยวจะโดนเขียนรายงาน ไม่รู้ตัว
คุณป้าจึงสบโอกาสบ่นระบายอารมณ์หงุดหงิดต่อไป "แล้วนี่ จะให้รออีกนานแค่ไหน ข้าวก็ยังไม่ได้กิน โรคกระเพาะถามหา โรงพยาบาลต้องรับผิดชอบรักษาให้ฟรีด้วยนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอม"
"คุณป้าคะ" พยาบาลที่รอให้คนป่วยพูดจบ เพิ่งจะหาช่องว่างพูดแทรกขึ้นมาได้บ้าง
"คือว่าคิวของคุณป้าถึงก่อนก็จริง แต่ว่าผลตรวจเลือดคุณป้า ยังไม่เรียบร้อย คุณหมอสั่งตรวจไปหลายตัว.."
หล่อนพลิกดูใบเจาะเลือดของคนไข้ พลางนับนิ้วประกอบ "ทั้งหมดมี 28 ตัว เลยต้องรอผลนานหน่อย"
"โห!" คุณป้าอุทาน ตั้ง 28 อย่าง มิน่าถึงโดนดูดเลือดไปตั้ง 2-3 ขวด ยังกับจะเอาไปบริจาค แล้วนี่กว่าจะถึงเวลาตรวจ ฉันมิเพลีย หมดแรงไปก่อนหรือ คูณป้าถามเชิงประชด เดี๋ยวก็ต้องเข้าไปขอยาบำรุงหมอเพิ่มอีก...นี่เป็นวิธีหาเงินเข้าโรงพยาบาลอีกอย่างหนึ่งหรือเปล่า? คนป่วยเลยถือโอกาสระบายอารมณ์ที่ต้องนั่งรอนานๆ ด้วยการกระแนะกระแหนโรงพยาบาลไปในตัว แล้วนี่ เอาไปตรวจอะไรตั้งมากมายล่ะ
ลงท้ายด้วยคำถามที่พยาบาลได้แต่ส่ายหน้า ตอบแทนหมอคนสั่งไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์แนะนำว่า "เข้าไป คุณป้าก็ลองถามหมอเอาเองนะคะ"
"นี่คุณพยาบาล ผลเลือดผม มาหรือยัง" คนไข้อีกคนลุกขึ้นมาถามบ้าง
"คุณชื่ออะไรคะ?"
"ติ้งต่อง"
"นามสกุลอะไรคะ?" พยาบาลถามอีก
"ในนี้มีคนชื่อติ้งต่องหลายคนหรือไงหมอ?" คนถามกระชากเสียง แสดงว่าอารมณ์ชักเริ่มไม่โสภาแล้วพยาบาลหน้าจ๋อยไม่กล้าถามต่ออีก รีบก้มหน้าก้มตาคีย์ชื่อคนไข้เข้าไปในเครื่องคอม สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า
"ได้เกือบครบแล้วค่ะ เหลือไทรอยด์ตัวเดียว อีกประมาณ 15 นาทีค่ะ"
"แล้วของป้าล่ะ" คุณป้าคนเก่าถามขึ้นมาบ้าง
พยาบาลจิ้มคีย์บอร์ดกุ๊กกิ๊กกุ๊กกั๊ก แล้วก็บอกข่าวดีให้คุณป้า
"ได้พอดี ผลเลือดมาถึงสดๆร้อนๆเลย"
พยาบาลรีบกดคำสั่งให้พิมพ์ผลเลือดออกมา
"คุณหมอให้คุณสำราญไปฉีดยาก่อน ฉีดยาแล้วให้รับยากลับบ้านได้"
พยาบาลผู้ช่วยหมอโยเซฟพาคนไข้ที่เข้าห้องตรวจไปเมื่อครู่ออกมาและสั่งงานให้พยาบาลที่เคาน์เตอร์พาคนไข้ไปห้องฉีดยา
"รอเกือบสองชั่วโมง ตรวจไม่ถึง 5 นาที"
เสียงคนไข้ชื่อสำราญ บ่นพึมพำงึมงำออกมาจากห้องตรวจ ก่อนจะเดินตามพยาบาลออกไป ทั้งที่คำสนทนาแย่งคิวกันเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหายไปในอากาศ คนที่เป็นต้นเหตุให้คุณป้าลุกขึ้นมาโวย ก็ตรวจเสร็จเรียบร้อย
คุณป้าได้ยินแว่วๆ แต่ไม่สนใจอะไร เพราะกำลังดีใจที่การรอคอยอันแสนยาวนานได้สิ้นสุดลงเสียที
ถึงจะหงุดหงิดหลายเรื่อง หากครั้นเข้ามาในห้องตรวจ เห็นหน้าคุณหมอผู้แสนใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือสวัสดีคุณป้าก่อน คุณป้าก็พูด ถาม บ่นอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งกรอกตาไปมา
ก็ดูเถอะ ป้านั่งรอคุณหมออยู่ข้างนอกแค่สองชั่วโมง แต่คุณหมอเองก็นั่งตรวจอยู่ในนี้ ไม่ได้ลุกไปไหนมาไหนเลย อย่างน้อยก็ตลอดเวลาที่ป้ามา ก็ไม่เห็นหมอเดินออกจากห้อง หน้าตาของหมอยังสดชื่น ไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดแม้แต่นิดเดียว
พยาบาลผู้ช่วยหมอโยเซฟแอบเบือนหน้าไปเบ้ปาก
ทีอยู่ข้างนอก บ่นจนพยาบาลขี้หูร่วงกราว แต่พอเข้ามา เห็นหน้าหมอกลับจ้องเอาจ้องเอา ทำตาหวานหยาดเยิ้ม
หมอโยเซฟรูปหล่อ ปากหวานคงได้แม่ยกเพิ่มมาอีกคน
"เป็นไงครับคุณป้า สบายดีหรือเปล่า?" หมอเปิดฉากถามแบบรวดรัด หวังว่าคำตอบที่ได้จะเป็น สบายดีค่ะ
หมอจะได้รีบสั่งยาและเรียกคนไข้คนอื่นเข้ามาตรวจต่อ แต่คุณป้ากลับบอกว่า
"ป้ารู้สึกเหนื่อยๆ หายใจขัดๆ"
หมอโยเซฟรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ใจเย็นถามว่า
"เป็นมานานหรือยัง"
"เป็นมาตั้งแต่ตาอ้นลูกยายเมี้ยนเมียตาอึดน้องชายป้า ป่วยเป็นมะเร็งปอดนั่นแหละค่ะ หมอบอกว่ามันจะอยู่ได้ไม่เกิน 8 เดือน ช่วงนี้ก็เพลีย ข้าวปลาก็กินไม่ลง จะเดินไปไหนมาไหน ก็ต้องมีคนคอยพยุง....
หมอพิจารณาดูคนไข้ ก็เห็นอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์ราวกับหยั่นหว่อหยุ่นก็ไม่ปาน
แถมตอนเดินเข้ามาในห้อง ก็แทบจะบินถลาเข้าอยู่แล้ว
ผมยังเห็นคุณป้าแข็งแรงทะมัดทะแมงอยู่นะครับ ไม่เห็นมีอาการอ่อนเพลีย กินข้าวไม่ลงเลย
หมอแอบหยอดคำหวานไปด้วย พลางขยับตัวถอยหลังเล็กน้อย พอไม่ให้ผิดสังเกต เพื่อหลบน้ำหมากที่กระเด็นลงมาเป็นดวงบนโต๊ะ ก่อนวงสีแดงนั้นจะย้ายมาแปะบนเสื้อกาวน์สีขาวของหมอ ทำให้เสียลุค
คุณป้ารีบโบกมือปฏิเสธ ที่กินข้าวไม่ลงนั่น หมายถึงตาอ้น ลูกยายเมี้ยน เมียตาอึดต่างหาก
อ้าว
หมอนึกเขม่นในใจ แต่ยังเก็บอารมณ์ได้อยู่ กลืนน้ำลายลงคอ สะกดกลั้นคำพูดหยาบคายที่จะทำให้รายได้หดหาย กัดฟันถามใหม่
แล้วตัวป้าเองล่ะครับ เน้นเสียงคำว่า ป้าเอง ให้ชัดๆ เหนื่อยตั้งแต่เมื่อไหร่?
ยังไม่ทันที่คุณป้าจะตอบว่าอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเพียงครั้งเดียวก่อนที่พยาบาลคนหนึ่งจะพรวดพราดเข้ามา หน้าตาตื่นรายงานว่า
"หมอ คนไข้ที่หมอสั่งฉีดยาเมื่อกี้ ไปเป็นลมที่หน้าห้องน้ำ ตอนนี้เข็นไปอีอาร์แล้ว"
"คนไหน?"
หมอถาม คนไข้หมอเยอะจะตาย วันนี้หมอสั่งฉีดยาคนไข้ตั้งหลายคน ใครจะไปจำได้
"คุณสำราญที่เพิ่งออกจากห้องไป" พยาบาลขยายความให้ชัดเจนขึ้นมาอีก
หมอโยเซฟรับรายงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอาการตื่นตระหนกแต่อย่างใด พลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
"ให้หมอที่อีอาร์ดูไปก่อนแล้วกันครับ ผมยังไม่ว่างเลย" หมอชี้ไปที่แฟ้มประวัติคนไข้กองโต เป็นนัยว่าคนไข้มีเยอะขนาดนี้ จะเอาเวลาที่ไหนออกไปดูคนไข้ที่แค่เป็นลม
คุณป้านึกชมหมอในใจ หมอช่างควบคุมสติได้ดีแท้ หน้าตาเรียบเฉย สุภาพตลอด 24 ชั่วโมง หมอคงเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยๆ จึงยังใจเย็นอยู่ได้ สั่งการพยาบาลอย่างมั่นใจ ไม่มีทีท่าลุกลี้ลุกลนแม้แต่น้อย
หากพยาบาลยังไม่ทันจะก้าวออกจากห้องไปปฏิบัติตามคำสั่งหมอ เสียงโทรศัพท์ในห้องตรวจก็ดังกังวานขึ้นมาเสียก่อน
กริ๊งๆๆๆ
ผู้ช่วยหมอรับสาย เพียงครู่เดียว ก็ละล่ำละลักรายงานหมอด้วยสีหน้าตระหนกตกใจว่า
"หมอคะ ที่อีอาร์โทรมาบอกว่าคุณสำราญแอเรสไปแล้ว กำลังซีพีอาร์อยู่!"
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 17:40:13
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 12:46:03
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 10:22:56
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 09:59:24
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 09:40:07
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 09:26:34
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 09:08:31