บทที่ 1
ท่ามกลางท้องฟ้าสดใสเหนือท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เครื่องบินสองเครื่องยนต์ของการบินไทยสายการบินแห่งชาติลำหนึ่งค่อยๆ กางลูกล้อออก แล้วลดเพดานบินลงแตะรันเวย์อย่างนิ่มนวล
สิบนาทีต่อมาประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้าของอาคารสนามบินก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้ช่วงเวลานี้จะย่างเข้าสู่ปลายฤดูหนาวแล้ว อีกทั้งยังเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดราชการ แต่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็ยังมาเยือนจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยกันอย่างเนืองแน่น อีกทั้งผู้ที่มาทำธุระต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายก็มีจำนวนไม่น้อย
ปริวรรตเป็นหนึ่งในนั้น
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ถอดเสื้อคลุมเหวี่ยงขึ้นพาดบ่า เดินลากกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมผ่านประตูมาสู่ภายในอาคาร เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมกดปุ่ม แต่แล้วก็กลับลดมือลงเมื่อเหลือบไปเห็นชายวัยห้าสิบเศษยืนตัวตรงห่างไปไม่กี่ก้าว
น้าจอน มารอนานหรือยังครับนี่
ก่อนเครื่องลงครู่เดียวครับ คุณปลิว
น้ำเสียงอ่อนโยนจากปากซึ่งมีรอยยิ้มของ น้าจอน ขัดกับดวงตาซึ่งฉายแววเศร้าสร้อยออกมาอย่างชัดเจน เขาขยับตัวเอื้อมมือเพื่อรับกระเป๋าเดินทางจากชายหนุ่ม ทว่าถูกปฏิเสธอย่างแข็งขัน
ไม่เป็นไรครับ ผมลากไปเองได้
นายจอนไม่เซ้าซี้แต่อย่างใดด้วยรู้นิสัยกันดี เขาหมุนตัวเดินนำชายหนุ่มซึ่งเปรียบเสมือนเจ้านายอีกคนหนึ่งออกจากอาคารไปยังลานจอดรถ
ปริวรรตเดินตามไปเงียบๆ จวบจนขึ้นไปนั่งบนรถเก๋งแบบตรวจการขับเคลื่อนสี่ล้อซึ่งนายจอนขับมารับจึงได้เปิดปากพูดอีกครั้ง
คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ น้าจอน
แววตาของคนถูกถามเศร้าสร้อยกว่าเดิม เขาถอนหายใจก่อนตอบ
ก็เหมือนกับที่ผมโทรไปบอกคุณปลิวนั่นแหละครับ ไม่ดีขึ้นเลย
ปริวรรตไม่ถามอะไรอีก ชายหนุ่มเอนหลังพิงเบาะ มองผ่านฟิล์มกรองแสงชนิดใสออกไปนอกรถซึ่งกำลังแล่นออกจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมาเชียงรายครั้งสุดท้ายเมื่อไร น่าจะร่วมๆ ปีเลยทีเดียว และถ้าหมายถึงตัวเมืองเชียงราย ก็จะต้องบวกเวลาไปมากกว่านั้น เพราะเมื่อออกจากสนามบินมาถึงถนนสายหลักแล้ว แทนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมือง ก็กลับเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือก่อนเข้าสู่เส้นทางสายตะวันตกเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังบ้านท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
บิดาของเขาย้ายถิ่นฐานจากเมืองหลวงไปอยู่ที่นั่นครบสามปีแล้ว
แดดยามบ่ายสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อปริวรรตเดินทางใกล้ถึงจุดหมาย ฟ้าใสๆ ปลายฤดูหนาวกลับกลายเป็นถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม จนกระทั่งบรรยากาศรอบๆ มืดมัวราวกับย่างเข้าสู่เวลาสนธยา
เอ... ฝนหลงฤดูหรือไงนี่
นายจอนจับพวงมาลัยรถยนต์แน่นพลางชะโงกตัวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
นั่นน่ะสิครับน้าจอน จู่ๆ ก็ครึ้มมาเสียอย่างนั้น ปริวรรตพูดอย่างคาดไม่ถึง เสื้อคลุมที่เตรียมมาก็เพื่อกันหนาว ไม่ใช่กันฝน วันก่อนๆ ไม่ได้เป็นอย่างนี้เหรอครับ
นายจอนส่ายหน้า
นอกจากจะไม่มีฝนแล้ว อากาศยังทำท่าจะหนาวลงอีกด้วยครับ เห็นทางการบอกว่าปีนี้จะหนาวนานไม่ใช่หรือครับ คุณปลิว
สงสัยจะไม่แม่นเสียแล้ว ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ บางครั้งลมฟ้าอากาศเมืองไทยก็แปรปรวนจนหน่วยงานผู้พยากรณ์เสียรังวัดบ่อยๆ
ฟ้ามืดลงจนนายจอนต้องเปิดไฟหน้ารถ หากจนแล้วจนรอดฝนก็ยังไม่ตกลงมา แสงไฟสาดจ้าลงบนถนนลาดยาง สิ่งที่น่าแปลกอีกประการหนึ่งก็คือ นับตั้งแต่แสงแดดหมดไป ยังไม่มีรถยนต์หรือยานพาหนะใดๆ สวนมาเลยสักคัน ราวกับว่าถนนทั้งสายมีเพียงรถที่ปริวรรตนั่งอยู่นี้คันเดียวเท่านั้น
อ้าว... ทำไมไม่เลี้ยวล่ะครับ
ปริวรรตถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่านายจอนขับรถเลยทางเข้าบ้านของบิดา ซึ่งนายจอนก็ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงสงสัยไม่แพ้กัน
คุณท่านไม่ได้บอกคุณปลิวหรือครับว่าได้แบ่งขายที่ดินตรงนี้ไปแล้ว
ชายหนุ่มกระจ่างแจ้งในสิ่งที่ถาม หากสิ่งที่รู้ใหม่สร้างความงุนงงกว่าเดิมหลายเท่า
พ่อไม่ได้บอกอะไรผมเลย
นายจอนเหลือบตามามองด้วยความแปลกใจก่อนกล่าว
คุณท่านแบ่งขายให้คุณรุ้งครับ
คุณรุ้ง... ปริวรรตทวนคำแล้วพูดเบาๆ คลับคล้ายกับเปรยต่อตนเอง ชื่ออย่างกับผู้หญิง
ก็ผู้หญิงนะสิครับ นายจอนหัวเราะ คงไม่มีผู้ชายคนไหนชื่อรุ้งพรายกระมังครับ
รุ้งพราย... ชายหนุ่มทวนคำของคนเล่าอีกหน ชื่อแปลกดีแฮะ
ไม่เฉพาะชื่อหรอกครับ นายจอนพูดได้แค่นั้นก็ชะงักแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที คุณปลิวมาเที่ยวนี้ จะอยู่ที่นี่สักกี่วันครับ
ปริวรรตไม่ตอบ จิตใจเขายังจดจ่ออยู่ที่สตรีผู้มาซื้อที่ดินจากบิดา
ทำไมคุณพ่อถึงขาย ปกติเห็นหวงออกจะตาย หรือว่ากำไรดี
เอ... อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณท่านไม่ได้บอก ผมก็ไม่กล้าถาม
รถยนต์แล่นมาถึงจุดหมายพอดี ปริวรรตจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นายจอนหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวา จากถนนลาดยางลงสู่ถนนโรยหินคลุกซึ่งทอดยาวผ่านสวนส้มขนาดเล็กๆ ไม่กี่สิบไร่ที่อยู่ด้านหน้า พอพ้นแนวต้นส้ม เรือนไม้ทรงไทยล้านนาก็ปรากฏเด่นอยู่ในสายตา โดยมีภูเขาสูงยาวเหยียดเป็นฉากหลัง
ปริวรรตเปิดประตู ยังไม่ทันก้าวลงจากรถเขาก็ต้องชะงักเมื่อฟ้าที่ครึ้มฝนสว่างวาบด้วยแสงอสนี พร้อมๆ กับเสียงฟาดลงสนั่นหวั่นไหว
เปรี้ยง!
นายจอนถึงกับสะดุ้งเฮือก แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เล่นซะตกอกตกใจหมด ผับผ่าเถอะ
ปริวรรตซึ่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่เช่นกัน แต่พอได้ยินคำพูดของนายจอนเขาก็หัวเราะเบาๆ
กลัวเสียงฟ้าร้องด้วยหรือครับ น้าจอน
คนตกใจหัวเราะแหะ แหะ แก้ตัวอ้อมแอ้ม
ไม่ได้กลัวหรอกครับ แต่จู่ๆ มันผ่าลงมานี่สิ แหม... จะตกก็ไม่ตกลงมาเสียที ตั้งท่าอยู่นั่นแหละ
อย่าเพิ่งตกเลยครับ รอให้ผมขึ้นเรือนก่อนดีกว่า
คำพูดของปริวรรตทำให้นายจอนนึกขึ้นได้ เขารีบเดินไปท้ายรถเพื่อเปิดและหยิบกระเป๋าเดินทางของชายหนุ่ม ทว่าไม่ทันผู้เป็นเจ้าของเหมือนเคย ยังไม่ทันจะปิดท้ายรถ ปริวรรตก็เดินถือกระเป๋าลิ่วๆ ไปถึงเชิงบันไดแล้ว
ปริวรรตถอดรองเท้าถุงเท้า ขณะที่คว้าขันจ้วงน้ำในโอ่งดินใบเล็กๆ เพื่อล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน สายตาของเขาก็มองลอดเข้าไปในใต้ถุนเรือน จักรยานสองคันจอดเคียงคู่กันอยู่บนพื้นดินอัดแน่น คันหนึ่งเป็นจักรยานใช้งานทั่วไปธรรมดาๆ ด้านหน้ามีตะกร้าไว้ใส่ของ บิดาของเขาซื้อคันนี้ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ใหม่ๆ โดยให้เหตุผลว่า
เอาไว้ขี่เข้าสวน ออกกำลังกายไปในตัว
ปริวรรตเห็นด้วยในเหตุผล แต่ไม่เห็นด้วยกับชนิดของจักรยาน พื้นดินแถบนี้เป็นที่ราบเชิงเขาซึ่งจะไม่ราบเรียบเสียทีเดียว มีสูงๆ ต่ำๆ ขึ้นเนินลงเนินสลับกัน หากขี่จักรยานธรรมดาๆ จะเปลืองแรงคนวัยหกสิบปีมากเกินไป เขาจึงไปซื้อจักรยานชนิดที่มีหลายเกียร์เพื่อผ่อนแรงมาให้บิดาใช้แทน หากเท่าที่ดูจากสภาพของจักรยานทั้งสองคันในตอนนี้แล้ว คันเดิมน่าจะถูกใช้งานมากกว่า
พ่อไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ไม่เห็นแกจะต้องทิ้งงานทางโน้นมาเลย
คนนั่งเก้าอี้โยกบนชานเรือนกล่าวกับปริวรรตซึ่งเพิ่งก้าวพ้นบันไดขึ้นมา แม้วาจาเจ้าของบ้านจะเป็นอย่างนั้น หากสีหน้าและแววตาแสดงความยินดีออกมาชัด ที่เห็นลูกชายมาหา
สองสามวันบริษัทคงไม่เจ๊งหรอกครับ
ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยกมือไหว้ แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นกระดานใกล้ๆ
เจ้าจอนละสิที่โทรไปรายงาน นายประพันธ์ส่ายหน้ายิ้มๆ ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้บอก ไม่มีเชื่อฟังกันเลย อยากรู้นักว่ามันรักใครกันแน่ ระหว่างแกกับพ่อ
น้าจอนเขาก็ต้องรักคุณพ่อมากกว่าสิครับ ปริวรรตหัวเราะเบาๆ ไม่งั้นจะโทรไปบอกผมทำไมว่าคุณพ่อไม่สบาย
อย่ามาพูดเลย มันก็พวกเดียวกับแกนั่นแหละ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ทำเป็นกระต่ายตื่นตูม แกดูสิ พ่อยังแข็งแรงอยู่แท้ๆ
ปริวรรตมองบิดาบังเกิดเกล้า ซึ่งนั่งโยกเก้าอี้ไปมาพยายามทำตัวให้ แข็งแรง ตามคำพูด หากชายหนุ่มรู้ดีว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเย็นวานนายจอนละล่ำละลักโทรไปหาเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
คุณปลิวครับ คุณท่านเป็นลม หกล้ม
เขาใจหายวาบ สำหรับคนวัยหกสิบปี การหกล้มเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าเขาพอเบาใจได้บ้างเมื่อรู้ต่อมาว่า นายจอนที่อยู่ใกล้ๆ พยุงตัวไว้ได้ทัน
ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแม่อายครับ หมอให้นอนดูอาการสักคืน แต่คุณท่านไม่ยอม
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปริวรรตจำได้ ตั้งแต่เขาเป็นเด็ก ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นบิดายอมไปหาหมอง่ายๆ ยิ่งเป็นการนอนที่โรงพยาบาลอย่างคราวนี้ด้วยแล้วละก็ เห็นทีจะไม่มีทาง ไม่ว่าจะขอร้องหรือบังคับก็ตาม
--- มีต่อ --->
จากคุณ |
:
นายตั๋ม เจ้าสำราญ (คั่วกลิ้ง)
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ต.ค. 55 10:04:42
|
|
|
|