Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 35 ติดต่อทีมงาน

ขอลงบทที่ 35 ก่อนนะครับ ส่วนบทที่ 34 จะลองลงอีกครั้งภายหลังครับ ถ้าอย่างไรรบกวนเพื่อนนักอ่านติดตามจากบล็อกอีกครั้งครับ

บทที่ 35


          หลวงอนุรักษ์วนาดรยืนนิ่งงันต่อภาพเบื้องหน้าไปชั่วขณะ สภาพศพของขุนพิพิธอารัญนอนหงายค้างอยู่ภายในห้องของทำงานของตนเอง ชายหนุ่มผู้นั้นถูกสังหารด้วยลูกกระสุนที่ถูกยิงผ่านปลายกระบอกปืนของตัวเองจนเสียชีวิต


          “เกิดอะไรขึ้น?”


               อาตม์อธิบายช้าๆ ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เศาร์มองออกว่าอีกฝ่ายยังไม่หายตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับสิงหเมฆินทร์โดยไม่คาดฝัน


           “หมายความว่า สิงหเมฆินทร์ สามารถจรดล... ก้าวข้ามเส้นแบ่งแห่งกัลปาลัย เข้ามายังที่นี่ได้?”


              ความจริงที่รับรู้ทำให้คุณหลวงหนุ่มนิ่งอั้นไปด้วยคาดไม่ถึง การจรดลนั้น ย่อมมิใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว และ ณ เวลานี้จักมีผู้ใดบ้างที่ล่วงรู้ถึงการเดินทางระหว่างสองดินแดนในครั้งนี้อีกบ้าง?


             หลวงอนุรักษ์ไขว้แขนไพล่ไปด้านหลังอันเป็นอิริยาบถอันคุ้นเคยเมื่อจำต้องใช้เวลาครุ่นคิดคำนึง


               การที่สิงหเมฆินทร์สามารถจรดลได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น มหามนตราย่อมมิใช่ความลับอีกเช่นกัน นอกจากว่า...”


           เขามอง ตัวละครอีกตัวหนึ่ง ที่ผ่านการจรดลร่วมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว


          ศลภมาณพ!


         หุ่นพยนต์วัยฉกรรจ์ ที่เกิดการแปรเปลี่ยนสภาพร่างกายเข้าสู่ห้วงปัจฉิมวัย เมื่อการก้าวข้ามประสบความสำเร็จ และนอกเหนือจากนั้น ก็คือส่วนเสี้ยวของความทรงจำที่เสมือนถูกลบเลือนออกไปจากภพภูมิเดิมที่จากมา


             นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้น จากผู้ที่เดินทางจากดินแดนแห่งจินตภพนั้น


              ถ้าเช่นนั้น ไยขุนพลแห่งโรมพิสัยจะไม่เกิดผลลัพธ์เช่นเดียวกันกับอาตม์? ถ้าอีกฝ่ายลบเลือนความทรงจำทั้งหมดลงในเวลาอันไม่นาน เมื่อการจรดลเสร็จสิ้น?”


           ชายหนุ่มลูบปลายคางของตนเอง ขณะที่ผู้เป็นบ่าวยังคุกเข่าอยู่ข้างกายรอรับคำบัญชา


              เหลือแต่เพียงว่า บัดนี้สิงหเมฆินทร์หบลหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด? บางทีอีกฝ่ายอาจจะหาที่ซ่อนกายอยู่ภายในทับสนธยาแห่งนี้ก็เป็นได้?


              ในเมื่อภายในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของปางงิ้วดำ คือผืนป่ามหึมาทอดยาวจรดพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน เขามั่นใจว่าถ้ามีเพียงสิงหเมฆินทร์เพียงผู้เดียวแล้ว อีกฝ่ายไม่น่าจะหนีห่างไปได้ไกลสักเพียงไหน


             และจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรตามมาอีกเล่า?


              ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะความประมาทของเขาแต่เพียงผู้เดียว แท้จริงเขาควรจะเก็บกัลปาลัยเล่มนั้นเอาไว้ในที่ซ่อนให้มิดชิด และไม่อาจทำให้ การจรดลดำเนินขึ้นได้ ไม่ว่าจะจากผู้ใดก็ตาม


               “จงรีบตามหาสิงหเมฆินทร์ให้พบโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะมีผู้อื่นล่วงรู้ และจัดการกับศพของขุนพิพิธให้เรียบร้อย...”


            เขาสั่งการกับอาตม์ที่เป็นฝ่ายพยักหน้ารับ


              “เราต้องรีบจัดการกับสิงหเมฆินทร์ก่อนที่มันจะคืนความทรงจำกลับมาในเวลาใดเวลาหนึ่งข้างหน้า”


            ชายชราแสดงการคำนับ แล้วจึงถอยกลับออกไปจากห้องอย่างสุภาพ และเมื่ออยู่เพียงลำพังนั้นเอง ที่ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักถึงใครอีกคนหนึ่ง ผู้ที่เขาแทบจะลืมนึกถึงไปจากความทรงจำในเวลานั้น


                  ผอบแก้ว?

**********************


             “ดิฉันสบายดี ยังไม่เป็นอะไรไปดอก คุณหลวงไม่ต้องกังวล”


               หล่อนนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอน นัยน์ตาแห้งผากผิดไปจากผอบแก้วที่เขาคุ้นเคยในอดีตราวกับเป็นคนละคน หลวงอนุรักษ์วนาดรนึกถึง คุณอบผู้ร่าเริงสนุกสนานกับการเที่ยวเตร่ยามราตรี และสโมสรต่างๆ ดรุณีผู้มองโลกเป็นสีชมพูสดใส แม้ว่าหล่อนจะเป็นเด็กสาวผู้เอาแต่ใจอยู่บ้าง เพราะเจ้าคุณพิทักษ์ผู้เป็นบิดาเลี้ยงดูมาเช่นนั้นตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่ก็ไม่ใช่ผอบแก้วในช่วงเวลาเช่นนี้


                  หญิงสาวผู้ผ่านความทุกข์ของการพลัดพรากและเหตุการณ์ไม่คาดฝันในชีวิตจนตั้งรับไม่ทัน และล้มเจ็บลง บางทีความเจ็บป่วยและจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทิฐิที่มากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้ผอบแก้วเริ่มเปลี่ยนแปลงไป


              ชายหนุ่มมิได้ล่วงรู้ไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บช้ำโทมนัสของหล่อน ที่มันดังสะท้อนครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในใจ โดยมิได้ผ่านออกมาสู่ริมฝีปาก!


                   “ฉันเกลียดคุณหลวง เป็นเพราะคุณหลวงนั่นแหละ ถึงทำให้ชีวิตของดิฉันต้องเป็นเช่นนี้!”


              สิ่งที่สะท้อนผ่านออกมาให้ชายหนุ่มได้ประจักษ์ จึงเป็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยเหมือนสวมทับไว้ด้วยหน้ากาก และนัยน์ตาอันแห้งแล้ง ท่าทางอันเงียบขรึมเย็นชาที่ปฏิบัติต่อเขามาตั้งแต่คืนแรกของวันวิวาห์ ก็ยังเป็นเช่นนั้นมิเคยเปลี่ยนแปลง


             ผอบแก้ว ไม่รู้เลยสักนิดว่า ทิฐิที่หล่อนฝังติดมันแน่นเอาไว้เช่นนั้น รังแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและคุณหลวงผู้สามี ยิ่งเลวร้ายลงไปทุกขณะ ความเจ็บปวด เจ็บแค้นที่ได้รับ หล่อนเลือกแล้วที่จะนำมาทุ่มโทษลงให้กับชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีตามกฎหมายนั้น แต่เพียงผู้เดียว โดยที่เขาเองก็หาได้รับรู้ไปด้วยไม่


                 หล่อนมิได้ปริปากบอกถึงความอัปยศที่เกิดขึ้นในคืนก่อนนั้น และเศาร์เองก็มิได้เล่าถึงสิงหเมฆินทร์ ชายหนุ่มคิดแต่เพียงว่าจะกันหญิงสาวให้พ้นไปจากปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นโดยไม่ตั้งใจ โดยไม่รู้สึกนิดว่า จะสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาผูกตนเองเอาไว้จนไม่อาจดิ้นหลุด


              “แล้วคุณชำนาญ?”


             หญิงสาวถามออกไปเรื่อยๆ เหมือนเอ่ยเรื่องดินฟ้าอากาศ โดยไม่ทันสังเกตถึงอากัปกิริยาที่หยุดชะงักงันของคนตอบ


                “ขุนพิพิธคงจะกลับพระนครไปแล้ว วันก่อนบอกกับพี่ว่ามีงานสำคัญที่ต้องย้ายกลับไปทำที่โน่น พี่เองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนักดอก”


               หล่อนพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ ท่าทางของขุนพิพิธอารัญที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง หากก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อนก็ทำให้ผอบแก้วเองรู้สึกเบื่อหน่ายกับอีกฝ่ายไม่น้อยเช่นกัน ตอนนี้แทบไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งสิ้น เรื่องเลวร้ายบัดซบที่ได้รับมา มันเปลี่ยนแปลงความคิด ความรื่นรมย์ในชีวิตให้หายเหือดไปจนหมดสิ้น


              แม้แต่ความรักที่เคยเหลืออยู่เพียงน้อยนิดต่อคุณหลวงอนุรักษ์ แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น!


              “เชิญคุณหลวงไปพักผ่อนเถอะ ดิฉันเองก็อยากจะพักผ่อนเหมือนกัน รู้สึกเพลียเหลือเกิน ตอนนี้ไม่ต้องการจะพบใครอีก”


            เขายิ้มอ่อนๆให้ยกมืออังหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย อาการเช่นนั้นยิ่งทำให้ผอบแก้วข่มความน้อยใจแค้นใจลงไปอย่างยากเย็น


                “งั้นก็นอนเสียเถอะคุณอบ เห็นทีว่าตัวยังรุมๆอยู่เหมือนกัน ส่วนพี่เองก็ว่าจะไปเอนหลังที่ห้องทำงานเสียหน่อย”


          เอ่ยเสร็จแล้ว เขาก็ชักผ้าแพรเพลาะขึ้นคลุมร่างให้กับผู้เป็นภรรยา ขณะที่หล่อนเอนกายลงบนที่นอนโดยมิได้เฉลียวใจถึงความร้อนระอุภายในทรวงของผู้เป็นภรรยา ชื่อ “ห้องทำงาน”ที่คุณหลวงเอ่ยโดยไม่ทันคาดคิด ยอกแสยงใจหญิงสาวจนต้องเบนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง


            และเมื่อหันกลับมา ผอบแก้วก็รีบหลับนัยน์ตาลง หรุบซ่อนความเจ็บปวดและเจ็บแค้นเอาไว้มิให้ฉายโชนออกมาให้เป็นพิรุธ สดับเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป และเสียงประตูห้องปิดหับเข้าหากันในที่สุด


              หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด หากก็มิได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆ คนพวกนั้นคิดแต่เพียงว่าหล่อนเป็นเพศหญิง เพศที่อ่อนแอ สามารถย่ำยีข่มเหงอย่างใดก็ได้ เอาเถิด! ผอบแก้วคนนี้แหละจะเอาคืนพวกมันให้สาสม ให้ยิ่งกว่าที่หล่อนได้ถูกกระทำมาแล้ว!


                วูบนั้น คำประพันธ์บทหนึ่งก็แว่วผ่านเข้ามาในความคิดของหญิงสาวโดยบังเอิญ หล่อนเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ตราบจนถึงในบัดนี้...

  ไฟแรงแสงร้อนล้ำ              
ย่อมแพ้น้ำเป็นนิจมา
เหล็กแข็งและแกร่งกล้า      
ยังพาอ่อนเมื่อร้อนไฟ

  ลมโบกสะบัดแรง              
ต้นไม้แข็งย่อมโค่นไป
ชายเรืองฤทธิไกร              
ย่อมจะพ่ายอิสตรี*

           *********************


                 ภายหลังจัดการกับ “ศพ”ของขุนพิพิธอารัญจนเรียบร้อยแล้ว อาตม์ก็พยายามสืบค้นหาตัวสิงหเมฆินทร์ทั่วทุกแห่งในบริเวณรอบๆทับสนธยาและแนวป่าโดยรอบอาณาเขตแห่งนี้ แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยการหลบหนีออกไปแม้แต่น้อย ชายชราคิดว่า อีกฝ่ายน่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งภายในบริเวณเคหาสน์หลังใหญ่โตมโหฬารของทับสนธยานั่นเอง


               แสงตะวันยามบ่ายเริ่มฉายแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ พยับแดดเคลื่อนเข้าทาบทับผนังศิลาที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างสูงตระหง่านกลางลำเนาไพร เกิดเป็นพื้นสีเหลืองจางสลับเงาหม่นสลัว สมนามแห่งทับสนธยาที่เขาเพิ่งเข้าใจความหมาย


                มิใช่สนธยากาล หากหมายถึงเรือนอันเป็นตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างสองฟากฝั่งของปัจจุบันภพและจินตภพ!


                 เมื่อคนรับใช้ในสภาพบุรุษสูงวัยเดินสำรวจในบริเวณส่วนต่างๆที่ลึกลับซับซ้อนไม่ต่างกับเป็นเขาวงกต แต่ในที่สุดก็คว้าน้ำเหลว ไม่มีร่องรอยใดๆของสิงหเมฆินทร์อยู่เลยสักที่เดียว ราวกับมันสามารถล่องหนกำบังกายจากการค้นหา


                นอกเสียจากว่า...


                สายตามองเยื้องขึ้นไปยังฝั่งหอคอยทั้งสองด้านที่คู่ขนานกันคนละปีกตึก ถ้าความทรงจำของอีกฝ่ายยังเหลืออีกบ้างสักเพียงเล็กน้อย อาตม์คิดว่า สิ่งนั้นก็คือการหาทางกลับไปยังดินแดนที่จากมา และจุดเดียวที่สิงหเมฆินทร์น่าจะรอคอยโอกาสเพื่อกลับไปก็คือ ตำแหน่งเดียวกับที่มันปรากฏกายขึ้นนั่นเอง


                ห้องทำงานของคุณหลวงอนุรักษ์นั่นเอง!


               ชายเฒ่าไม่รีรอที่จะตรงดิ่งกลับขึ้นไปยังห้องชั้นบนสุดของหอคอยฝั่งใต้ในทันที


          ******************


               เศาร์กลับเข้ามายังห้องอันเคยคุ้น ทุกอย่างภายในห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วด้วยฝีมือของอาตม์ หรือศลภมาณพในโลกแห่งจินตภพ ชายหนุ่มเอนกายลงกับเก้าอี้หวายด้านหนึ่งแล้วหลับนัยน์ตาลง เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่พระนคร


                 เขาจัดการกับภารกิจต่างๆที่นั่นจนเสร็จสิ้น แล้วรีบจับรถไฟกลับมา ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่รู้จักกัน ขับรถมาส่งที่ปางงิวดำในตอนรุ่งสางพอดี


             ทุกอย่างควรจะจบสิ้นลงอย่างสวยงาม เศาร์คิดว่าในฐานะของสามีที่ดี เขาควรจะตัดใจจากสิ่งที่เป็นโลกความฝันในกัลปาลัยนั้นให้หมดสิ้น ยิ่งเวลาผ่านไป หัวใจของตนเองก็เริ่มเอนเอียงผ่านเข้าสู่ภพฝันนั้นจนยากถ่ายถอน ทุกครั้งยามหลับตาฝัน ภาพของมณีเรขาก็ปรากฏขึ้นเสมือนนางอยู่เคียงข้างตลอดชั่วลมหายใจของตนเอง


            โดยไม่เคยมีสตรีใดทดแทนหรือลบเลือนออกไปได้เลยแม้สักเสี้ยววินาที


              แม้จะพยายามเตือนสติตนเองเอาไว้ตลอดเวลาว่าสิ่งนั้นหาใช่ความจีรังยั่งยืน นอกจากเป็นเพียงจินตนาการที่ฝันหาเท่านั้น


              ผอบแก้วต่างหากคือภาระหน้าที่สำคัญที่เขาต้องรับผิดชอบ


               ความรับผิดชอบที่สำคัญเหนือยิ่งกว่าความรัก!


            ระหว่างการเดินทางไป-กลับ พระนครนั่นแหละ ที่เขาเริ่มมีสติในการครุ่นคิดคำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม ถึงเวลาแล้วกระมังที่จะตัดใจจากมณีเรขาโดยสมบูรณ์ เศาร์คิดว่าจะต้องทำลายกัลปาลัย ไม่ให้สิ่งนั้นเหลือเอาไว้สำหรับการจรดลอีกแล้วโดยสมบูรณ์


              แล้วเก็บภาพแห่งมณีเรขานั้นเอาไว้ในหัวใจแต่เพียงลำพัง...


              ตลอดไป!

  เมื่อรักนี้ ไม่อาจ ปรารถนา
ให้กานดา อยู่เคียง แค่เพียงฝัน
จำหลักไว้ ในภวังค์ อย่างนิรันดร์
เพียงแค่นั้น ก็ยินดี ที่พบพาน

  จักเก็บความ ทรงจำ อันล้ำค่า
คู่ชีวา จวบชีพลับ ดับอวสาน
นามมณี เรขา มาจรดจาร
ตราบลมปราณ แห่งชีวิต ปลิดสิ้นลง...



          ไม่ว่าผอบแก้วจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็เลือกแล้วที่จะดูแลหล่อนในฐานะของสามีที่ต้องให้ความคุ้มครองและความสุขแก่ผู้เป็นภรรยา และความรัก... สิ่งที่เขามอบให้แก่มณีเรขา เศาร์ก็หวังว่ามันจะบังเกิดขึ้นกับผอบแก้วในวันใดวันหนึ่งของอนาคต...



                การจรดลครั้งสุดท้ายควรจะเกิดขึ้นได้เสียที เพื่อการอำลาจาก โดยมิหวนคืนกลับ หัวใจของชายหนุ่มสะท้อนไหวกับความคิดนั้น และอำนาจของความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีนั้นเองที่รั้งตรึงให้เขาต้องยอมรับกับมันโดยดุษณี



           คืนนี้แหละที่เขาจักจำจรดล เป็นครั้งสุดท้าย!


             และจากนั้น ก็จะขอลืมเลือนกัลปาลัยไปจากชีวิตตลอดกาล...


            ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงเงาทาบทับอยู่เหนือศีรษะของตนเอง และเมื่อสายตารับสภาพได้พอดี ก็มองเห็นร่างของสิงหเมฆินทร์กำลังยืนเงื้อมทะมึนอยู่เบื้องหน้า!


           “สิงหเมฆินทร์!!”


          เมื่อนั้นเองเสียงร้องตะโกนจากด้านหน้าของอาตม์ก็ดังแทรกเข้ามา ในจังหวะที่เศาร์รีบผุดกายลุกขึ้นในทันที


              แต่ก็ยังช้ากว่า ร่างสูงใหญ่ของสิงหเมฆินทร์ที่ตรงปรี่เข้ามา โดยเขาไม่อาจทันตั้งตัวรับได้ทัน...

           *********************


             ร่างนั้นโผทะยานตรงลิ่วเข้ามาทรุดกายลงแทบเท้าของคุณหลวงหนุ่มที่ผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เอนนอนในจังหวะนั้นพอดี เสียงร้องกระเส่าสั่นด้วยความหวาดหวั่นดังขึ้น ผิดจากความคาดหมาย


            “ท่าน... ท่าน ได้โปรดช่วยข้าด้วย”


                เมื่อนั้นเอง ร่างนั้นก็เงยใบหน้าขึ้น เขามองเห็นรอยพาดผ่านคล้ายไฟไหม้จนเกิดเป็นแถบดำปรากฏบนใบหน้าของมันชัดเจน เหมือนอีกฝ่ายเผชิญกับความร้อนระอุที่แผดเผาผิวหน้าอย่างรุนแรงจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งจนบังเกิดเป็นรอยแผลไหม้เกรียมปรากฏบนใบหน้าอันควรจะคมคายดังที่เขาเคยเห็น นัยน์ตาคู่นั้นเงยขึ้นด้วยอาการวิงวอนน่าเวทนานัก


            “ข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ช่วยข้าด้วย ได้โปรด...”


             นี่ไม่ใช่ท่าทางอันเปี่ยมด้วยอหังการของนักรบแห่งโรมพิสัย ผู้เป็นนายเหนือกองทัพหุ่นพยนต์อันเกรียงไกรในโลกแห่งจินตภพอีกต่อไป


                 บัดนี้จอมราชันย์สิงหเมฆินทร์แห่งโรมพิสัย ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว


            แม้แต่ความทรงจำของตัวเอง!
********************


         ผอบแก้วย่องขึ้นมายังห้องทำงานส่วนตัวของผู้เป็นสามีด้วยฝีเท้าเบากริบ... แสงที่ส่องผ่านลงมาจากด้านบนหอคอย ทำให้รู้ว่าเขายังอยู่ที่นั่น และไม่ว่าหนังสือมหัศจรรย์เล่มนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม หล่อนรู้แล้วว่ามันเป็นช่องทางสำคัญที่นำพา บุรุษผู้โหดเหี้ยมนามสิงหเมฆินทร์ออกมาด้วย


            คนที่ทำลายความฝันทุกอย่างของหล่อนจนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี!


              ทีละก้าว  ทีละก้าว ตราบจนเมื่อหล่อนมาหยุดอยู่ที่บานประตูหน้าห้องแห่งนั้น มีรอยแยกของประตูที่แง้มค้างเอาไว้ ผู้ที่อยู่ภายในนั้นทั้งสามคน คงไม่คาดคิดว่า จะมีผู้ใดสะกดรอยตามขึ้นมาถึงบริเวณอันรโหฐานแห่งนี้อีกเป็นคนที่สี่!


            แต่เมื่อมีความกล้าเกิดขึ้นแล้ว ผอบแก้วก็ข่มความหวาดหวั่นอันเป็นปกติวิสัยของตัวเองออกจนหมดสิ้น วันนี้ คืนนี้ ที่จะได้รู้ความจริงทั้งหมดเสียที!


          แล้วเสียงของคุณหลวงอนุรักษ์ก็ดังขึ้นก่อนในความเงียบงัน หล่อนขยับใบหน้าให้เลื่อนตรงมายังรอยแง้มนั้นเพื่อมองลอดผ่านเข้าไปได้อย่างชัดเจน


          “ฉันจะต้องเดินทางเข้าไปในจินตภพนั้นอีกครั้ง”


          “แล้ว สิงหเมฆินทร์เล่าขอรับ? คุณหลวงสั่งให้กระผมคอยดูแลมันเอาไว้ โดยไม่ให้ล่วงรู้ถึงคุณอบ แล้วเราจะเก็บงำความลับนี้ไปได้อีกนานสักเท่าใดกัน?”


           

                      คุณหลวงมองร่างอีกฝ่ายที่ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างหลวมๆบนเสากึ่งกลางห้อง ท่าทางของมันสะลึมสะลือ เหมือนคนที่ไร้สติสัมปชัญญะใดๆทั้งสิ้น


             “คงไม่นานนักหรอก แต่แรกฉันก็ตั้งใจว่าจะเป็นการจรดลครั้งสุดท้ายแล้ว แต่เมื่อสิงหเมฆินทร์ข้ามเส้นแบ่งของโลกแห่งจินตภพเข้ามาได้ ฉันจำเป็นต้องย้อนกลับเข้าไปตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นเสียก่อน แล้วภายหลังจากนั้น...”


             คล้ายน้ำเสียงอันเคยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว อ่อนเนิบช้าลงอย่างประหลาด


             “บางที... ฉันอาจจะพาเขากลับไปยังดินแดนที่จากมา ที่นี่ย่อมไม่ใช่โลกของสิงหเมฆินทร์ เขาไม่ควรจะอยู่ที่นี่ แต่ฉันต้องการความแน่ใจว่าการจรดลครั้งที่สอง จะไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่เขา”


                “นายท่านยังห่วงกังวลกับมัน ทั้งที่มันก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนายท่านมาตั้งแต่แรก”


              เศาร์ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาคมกล้ากลับฉายแววเศร้าหม่นลึก


                “ไม่ใช่ดอก อาตม์... ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการกำหนดลงไปแต่แรกแล้ว สิงหเมฆินทร์ถูกเจตจำนงมาให้เป็นเช่นนั้น เขาย่อมมีชีวิตและการดำเนินไปภายใต้กรอบของโลกแห่งจินตภพเช่นนั้น เพียงแต่ ณ เวลานี้ ที่แห่งนี้ เขาพลัดหลุดเข้ามาอย่างผิดจากที่ควรจะเป็น”


               มือที่สัมผัสบานประตูไม้ของผอบแก้วสั่นเทาจนแทบควบคุมมิได้ เขายังเก็บ ไอ้ศัตรู ตัวร้ายนั้นเอาไว้... นอกจากความเจ็บแค้นแน่นไปทั้งทรวงอกแล้ว ผอบแก้ว ก็ยังให้ฉงนใจยิ่งนัก


              ฤานางในฝัน ที่เคยหวาดระแวงมานั้น จะอยู่ภายใน หนังสือเล่มนั้น เช่นเดียวกับที่ไอ้สิงหเมฆินทร์หลุดผ่านออกมา?


                  ในความหม่นมัวของเหตุการณ์อันเป็นมลทินแก่ชีวิต อนุสติที่ดิ่งลงเจียนวูบดับระหว่างที่มันกำลังสำเริงสำราญกับเรือนกายของหล่อน ไม่ต่างกับรากษสผู้เสพย์ภักษาและเลือดเนื้อของเหยื่ออย่างเอมโอชนั้น หล่อนได้ยินเสียงมันรำพึงชื่อหนึ่งออกมา พร้อมกับคำรามยามเอ่ยถึงชื่อของคุณหลวงในเวลาไล่เลี่ยกัน


               มณีเรขา!


                 นางผู้นั้น แม้ว่าจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ก็จริง หากมีตัวตนอยู่ในจินตนาการของเขา และที่สำคัญที่สุด มันสามารถแย่งความรัก และทุกอย่างไปจากหล่อนจนไม่เหลือไว้สักเศษเสี้ยว...


             มณีเรขา นางผู้อยู่ในหัวใจของเศาร์ตลอดเวลา!!


               และบัดนี้ บุรุษผู้เป็นสามีโดยชอบธรรมของหล่อน ก็กำลังจะเดินทางเข้าไปหามัน อีกครั้ง โดยทิ้งชายโฉดชั่ว ผู้สร้างราคีคาวเอาไว้ให้กับหล่อนที่นี่


             เศาร์ไม่เคยรักผอบแก้วเลย เขาทำทุกอย่างเพื่อสตรีผู้นั้น...


              ภาพการ “จรดล” บังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาต่อมา หล่อนมองเห็นทุกอย่างเต็มสายตา รวมถึง “กัลปาลัย” ที่คนพวกนั้นเรียกขาน ผอบแก้วรู้ว่าถึงเวลาแล้ว ที่หล่อนจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองกลับคืน


         หากยังไม่ทันที่หญิงสาวจะขยับกาย ร่างที่ถูกพันธนาการก็กระชากเส้นเชือกที่มัดเอาไว้เป็นปมหลวมให้หลุดสะบั้นออกจากกัน ก่อนจะลิ่วทะยานตามร่างของเศาร์ที่กลืนหายเข้าไปในสมุดเล่มนั้นทันที


                โดยที่อาตม์ได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่เบื้องหน้า มิอาจแก้ไขสิ่งใดได้ทัน...

*************************
             
* จากเรื่อง ทินมาลี หรือ หรือ  A Heifer of the Dawn  ถ่ายทอดเป็นสยามพากย์โดย แสงทอง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 15:21:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com