มีบางอย่าง......ผิดปกติ....บทที่ 1...ความปกติที่ไม่ปกติ
|
|
==================== มีบางอย่าง...ผิดปกติ บทที่ 1.....ความปกติที่ไม่ปกติ GTW / Psycho Man =====================
บทที่ 1
คมมีด คมวาว
เป็นประกายล้อแสงไฟจากเพดาน
ชายร่างผอมสูง สวมหมวก ซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าท่าทางเอาเสียเลย เท่าที่รู้ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่พยางค์เดียว แต่รอยยิ้มของเขามันดูชั่วร้ายจนน่าขนพองสยองเกล้า ในขณะเขาตวัดลิ้นแลบเลียใบมีดไปมาอย่างวิจิตรบรรจง
-----
ภาริณีสะดุ้งตื่นกลางดึก ท่ามกลางแสงไฟสีซีดส่องจากโคมไฟบริเวณหัวเตียง หลุดจากฝันร้ายอันแสนน่ากลัวและชัดเจนราวกับความเป็นจริง อากาศในห้องเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศแต่เธอรู้สึกถึงเหงื่อเย็นยะเยียบซึมซาบตามใบหน้าและลำคอ คมมีดและรอยยิ้มจิตหลอนของคนโรคจิตยังปรากฏอยู่ในความคิดจนแทบกระโดดออกมาเป็นรูปเป็นร่างรวมทั้งความรู้สึกของคมมีดกรีดทะลวงทรวงอก มันเจ็บเสียจนสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย รู้ว่าฆาตกรโรคจิตคนนั้นไม่มีตัวตนจริงๆ ก็ยังรู้สึกใจสั่นริกระรัว
“ธานีคะ..”
เธอพลิกตัวไปหาสามีเอื้อมมือคว้าหาคนนอนอยู่ข้างๆ อย่างน้อยการมีใครสักคนนอนเป็นเพื่อนก็ทำให้การตื่นจากฝันร้ายไม่ทารุณกับความรู้สึกเกินไปนัก แต่แล้วทั้งมือและเสียงเรียกของเธอก็ชะงักค้าง
ข้างกาย บนเตียง ปราศจากร่างของธานี หญิงสาวกระพริบตาอย่างงุนงงสงสัย ดึกขนาดนี้เขาหายหัวไปไหนกันในขณะเธอกำลังต้องการใครสักคนปลอบใจ..หรือว่าลงไปชั้นล่างหาน้ำดื่มจากอาการคอแห้ง เพราะคืนนี้เขากลับจากงานเลี้ยงและจากการดื่มกับเพื่อนๆ ผลของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดอาจทำให้เขากระหายน้ำ เธอพยายามคิดแบบนี้
รอด้วยความกระวนกระวายและหัวใจสั่นระรัว มันนานเกินไปแล้วสำหรับการลงไปดื่มน้ำ หรือต่อให้ลงไปหาอะไรในตู้เย็นกินก็ไม่น่าจะนานแบบนี้ หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความปกติบางอย่าง ความผิดปกติซึ่งดูเหมือนจะปกติดีทุกอย่าง
ทนนั่งกระวนกระวายใจโดยไม่มีเหตุผลครู่ใหญ่ ในที่สุดตัดสินใจลุกขึ้น ชุดนอนเบาบางไม่เป็นปัญหากับชีวิตและการเคลื่อนที่ เพราะอยู่ในบ้านของตัวเอง เปิดประตู เดินผ่านทางเดิน ตรงไปยังบันไดลงไปชั้นล่างซึ่งห้องแรกเป็นห้องรับแขก มีเสียงซ่าจากทีวีในห้องรับแขกส่องแสงสีขาวซีดอันบ่งบอกถึงช่องรายการซึ่งเปิดทิ้งเอาไว้ไม่มีสัญญาณจากช่องใดๆ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งผิดปกติเพราะเธอและสามีไม่เคยเปิดทีวีทิ้งค้างคาปัญหาหัวใจเอาไว้แบบนี้
หรือว่าเขาลงมาดื่มน้ำและนั่งดูทีวี แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เขาไปอยู่เสียทีไหน
หญิงสาวขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจครู่หนึ่ง จึงเดินไปกดสวิทซ์ไฟเพดานให้สว่างจ้า แสงของมันจ้ากะทันหันจนทำให้รู้สึกระคายเคืองนัยน์ตาในช่วงแรก แต่พักเดียวสายตาก็เริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ และเธอเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติอีกชนิดหนึ่ง
สังเกตเห็นรอยเปื้อนบางอย่างบริเวณมุมโต๊ะของชุดโซฟานั่งเล่น เป็นรอยคล้ายรอยนิ้วมือของใครบางคนประทับลงแบบไม่ตั้งใจ ลองใช้มือแตะดูแล้วยกขึ้นมาดมพิสูจน์กลิ่น
เธอไม่เคยรับรู้กลิ่นของคาวเลือดอย่างชัดเจนและตั้งใจสักครั้งในชีวิต แต่ความรู้สึกบอกว่ามันน่าจะเป็นคราบเลือด และเพิ่งเปรอะเปื้อนมุมโต๊ะไม่นาน ตอนเย็นเธอยังทำความสะอาดโต๊ะตัวนี้อยู่จนสะอาดเรียบร้อย
จำได้ว่าโซฟาน่านอน และโต๊ะชุดเก่ง ซื้อมาจากการลดราคาของห้างดัง ฟังดูเหมือนไม่ค่อยมีค่า แต่มันก็อยู่คงทนผ่านกาลเวลามาจนบัดนี้
มองไปมารอบๆบริเวณอย่างงุนงง อะไรบางอย่างเริ่มวิ่งเข้าเกาะกุมจิตใจ ความรู้สึกซึ่งส่อออกไปในทางลางร้ายมากกว่าเรื่องดี ...พยายามระงับสติอารมณ์ก่อนเดินไปยังห้องครัวด้านหลังของบ้านซึ่งประตูเปิดทิ้งเอาไว้ มีแสงสว่างสลัวๆ ซึ่งน่าจะเป็นไฟหลอดเล็กติดอยู่กับพัดลมเพดานขนาดใหญ่ หรือธานีจะอยู่ที่นั่น.. แล้วถ้าเป็นเขาจริงๆ เขาไปทำบ้าอะไรอยู่ตั้งนานสองนาน
รู้สึกเหมือนจะมีเงาไหววูบวาบอยู่ในห้องครัว หากเป็นการรู้สึกเพียงวูบเดียวและไม่ชัดเจน แต่ก็มากพอจะทำให้หัวใจเต้นระทึกหนักขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่มีเหตุผล จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากสามีของเธอ ก็ในบ้านนี้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้น..ไม่สิ..ยังมีแม่ของสามีอีกคนซึ่งเพิ่งเดินทางมาเยี่ยมและพักผ่อนนอนหลับอยู่ชั้นล่างฟากมุมอีกด้านหนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรน่าสงสัยเพราะท่านมักจะนอนแต่หัวค่ำเสมอและตื่นอีกครั้งก็ตีสี่ตีห้าตามประสาคนอายุมาก คงไม่ลุกมาหาอะไรกินกลางดึกเป็นแน่แท้
มีเสียงกุกกักดังมาจากห้องครัว แผ่วเบาแต่พอได้ยินชัดเจน ใช่แล้ว มีใครบางคนอยู่ในห้องครัวจริงๆ ภาริณีก้าวเท้าอย่างเงียบกริบตรงไปยังห้องครัว ทั้งที่ความจริงไม่ต้องเห็นจะต้องระมัดระวังการเดินถึงขนาดนั้น ก็นี่มันเป็นบ้านของเธอเอง ไม่มีเหตุผลอะไรต้องหวาดกลัว
นอกเสียจากว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทำไมเจ้าความคิดบ้าๆแบบนี้มันชอบโผล่เข้ามาในหัวสมอง มันจะมีอะไรผิดปกติไปได้อย่างไร
แต่ถ้ามันมีล่ะ
หญิงสาวสลัดหัวไปมาจนผมยาวสยายกระจาย คิดแบบนี้มันเลอะเลือนเปื้อนบ้าชัดๆ มันจะมีอะไรผิดปกติไปไม่ได้ นั่นไง...ใครบางคนยืนอยู่ในห้องครัวจริงๆ ...มองข้างหลังก็รู้ว่าเป็นธานี หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก คิดแล้วว่าต้องมาหาอะไรกินกลางดึก
แต่ว่า ทำไมยืนนิ่งแบบนั้น..แต่มีเสียงพึมพำเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างอยู่คนเดียว
ความสงสัยทำให้หญิงสาวไม่ส่งเสียงทักทายอะไรออกไป หากพยายามเดินเข้าไปทางด้านหลังอย่างเงียบๆ เงี่ยหูฟัง ใช่แล้ว เขากำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับใครบางคนจริงๆ แล้วคนๆนั้นเป็นใครกันแน่ ถึงจำเป็นขนาดต้องแอบลงมาโทรหากันดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้
หรือว่า..เขากำลังโทรหาคนสำคัญ อาจจะสำคัญมากกว่าตัวเธอเสียด้วยซ้ำ ความคิดแบบนี้พอพุ่งวาบเข้ามาในสมอง อารมณ์ก็พลุ่งพล่านตามขึ้นมาทันทีเช่นกัน
“คุณคะ....”
ตัดสินใจส่งเสียงเรียกออกไปด้วยการบังคับให้เสียงเป็นปกติ “คุยกับใครอยู่หรือเปล่าคะ”
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆโต้ตอบ คงคุยกันเพลินจนลืมโลกแล้วสินะ...
“คุณคะ”
ถามย้ำไปอีก เอื้อมมือไปกระชากบ่าค่อนข้างแรง
ธานีหันมาตามแรงกระชาก สายตาของเขามองมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าแปลกใจและน่าใจหาย มือขวากำโทรศัพท์มือถือแนบหู ปากยังพูดไม่ยอมหยุด ทำเหมือนการปรากฏตัวของภรรยาไม่มีความหมายอะไร
“คุยอยู่กับใครคะ”
คราวนี้น้ำเสียงของภาริณีแทบเป็นการกรีดร้อง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ธานียังคงมองมาด้วยสายตาเวิ้งว้างว่างเปล่าเช่นเคยเหมือนอาการของคนละเมอ นั่นคือเหตุผลทำให้หญิงสาวตัดสินใจกระชากโทรศัพท์มือถือออกมาจากมือของสามีทันที แล้วรีบยกขึ้นแนบหู คอยฟังว่าอีกปลายหนึ่งของสายสนทนาเป็นใครแบบไหนกันแน่
เสียงที่ได้ยินมาจากโทรศัพท์มือถือมีเสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงลมพัด ให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างแปลกประหลาด ต่อมามีเสียงพูดฟังแล้วไม่ชัด จับใจความไม่ได้ แต่รู้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงแน่นอน
นึกแล้วไม่ผิด.....
“นี่..เธอเป็นใครกัน..ดึกดื่นขนาดนี้คุยกันเรื่องอะไร”
หญิงสาวแค่นเสียงห้วนๆถามอย่างอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป มีเสียงซ่าดังมาจากอีกด้าน มีเสียงพูดของผู้หญิงดังให้ได้ยิน แต่จับใจความไม่ได้เช่นเคย ก่อนจะตามด้วยเสียงกรีดร้องอันชวนขนหัวลุกแล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท
หญิงสาวรู้ว่าฝ่ายตรงกันข้ามตัดวางสายไปแล้ว ลองโทรเข้าไปยังหมายเลขเบร์โทรออกล่าสุดหรือหมายเลขรับสายล่าสุด ไม่มีสายใดตอบรับ มีเพียงเสียงสัญญาณสายไม่ว่างตอบกลับมาทุกครั้ง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ภาริณี ทั้งเสียใจตกใจและสับสน ธานีเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ อย่างไม่มีเค้าไม่มีวี่แววมาก่อนเลยสักนิด รู้ว่าสามีเดินขึ้นชั้นสองกลับห้องนอนไปแล้วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แบบนี้ต้องพูดกันใหรู้เรื่อง ไม่ต้องหลับต้องนอนกันล่ะคืนนี้
พอคิดได้ เท้าก็รีบก้าวตามขึ้นไปยังห้องนอน ด้วยจิตใจร้อนรุ่มเป็นไฟนรกเผาผลาญ ความสงสัยหึงหวงตามประสาผู้หญิงทำให้หัวอกแทบระเบิด
เธอไม่กลัวการจะมีปากมีเสียงกับสามีเพราะรู้ว่าธานีเป็นคนสุภาพพอที่จะไม่ใช้กำลังกับผู้หญิง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือเขาไม่ได้อยู่ในห้องนอน
เห็นจากหางตาแวบๆอยู่ว่าเดินขึ้นมาแล้ว แต่หายไปไหน ห้องอื่นๆก็ของชั้นสองก็ปิดตายไม่มีใครอยู่ ห้องน้ำก็ไม่มี แล้วหายหัวไปไหน..
คราวนี้ภาริณียืนงงเป็นไก่ตาแตก ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเขาจะไปหลบไปแอบอยู่ที่อื่น เพราะธานีไม่ใช่คนแบบนั้น ชีวิตการแต่งงานหลายปีทำให้รู้นิสัยหลายอย่างของเขาดี สามีของเธอไม่ใช่คนหนีปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจะพร้อมเผชิญหน้าเสมอ
มีบางอย่างผิดปกติ
ต้องลงไปตรวจดูชั้นล่างอีกครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่คิดได้ในตอนนี้ ชั้นบนไม่มีก็เหลือชั้นล่าง หากหลังการตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่าทุกหนทุกแห่งปราศจากร่องรอยของสามี เขาหายสาบสูญไปราวกับกลายเป็นอากาศธาตุไปเสียแล้ว จะเหลือที่ไม่ได้ตรวจค้นก็พวกลิ้นชักตามโต๊ะซึ่งธานีคงไม่บ้าพอจะเข้าไปหลบซ่อนและเธอก็ไม่ได้โง่พอที่จะลองเปิดลิ้นชักออกมาดู
เหลือห้องของแม่สามี ห้องเดียวเท่านั้น หรือเขาจะหลบไปอ้อนฟ้องแม่!! เป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้สักนิด แต่ก็ไม่มีทางเลือก
หญิงสาวเปิดฉากเคาะประตูเรียกอย่างไม่เกรงใจ
นานแสนนานในความรู้สึก หญิงสูงอายุรูปร่างค่อนข้างท้วมในชุดนอนลายดอกจึงเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้างุนงงแกมตกใจกับการเรียกเคาะประตูอย่างกับคนบ้าของลูกสะใภ้
“ธานี..ธานี......”
หญิงสาวพูดอธิบายอะไรไม่ได้นอกจากคำพูดสองสามคำซึ่งฟังแล้วไม่ได้ใจความอะไร นอกจากการถูกมองอย่างสงสัย จนต้องทำให้ระงับสติอารมณ์ลงอย่างลำบากยากเย็นเพื่ออธิบายสิ่งที่ได้พบได้เห็นมาหยกๆ
“ธานีเขาอยู่....อยู่ในห้องครัวค่ะคุณแม่”
แทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อพูดออกไปแล้วจะถูกมองหน้าด้วยสายตาของคนปกติกำลังมองคนเริ่มไม่ปกติ สีหน้าเริ่มสงบลงทีละน้อยของแม่สามีทำให้หญิงสาวต้องจ้องมองกลับไปอย่างแปลกใจบ้าง
“เธอพูดอะไรของเธอ”
เสียงของหญิงชราเอ่ยถามอย่างช้าๆขณะจ้องหน้าเขม็งยืนอยู่หน้าห้องโดยไม่ยอมเปิดทางให้เข้าไปหลบภัย
“หนูบอกว่าหนูเห็นธานี..หนูเห็นจริงๆนะคะ”
อีกฝ่ายฟังแล้วถอนใจยาว ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบต่อไปว่า
“เธอบอกว่าเธอเห็นธานี”
“ใช่ค่ะ เห็นกับสองตาของหนูเลย” น้ำเสียงของภาริณีเริ่มห้วนสั้นอย่างมีอารมณ์ขุ่นเคืองเพราะในความคิดของเธอคิดว่านี่เรื่องคอขาดบาดตาย ยังมาถามเหมือนไม่รู้สึกไม่รู้สมราวกับว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น โดยลืมไปว่าตัวเองยังไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไรสักนิด
“รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่”
“อะไรกันคะแม่ พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร”
“เธอคงเครียดเกินไป” น้ำเสียงของหญิงชรามีแววเห็นใจ “ เราก็รู้กันอยู่แล้วธานีเขาตายไปแล้ว”
“คุณแม่พูดบ้าอะไร”
ภาริณีเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง สมองเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย หรือว่าแม่สามีของเธอจะเป็นบ้าหรือเป็นโรคประสาทไปแล้ว
“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ดีนะคะ..ตายตอนไหน...เขายังไม่ตายนะคะ คุณแม่เอาอะไรมาพูดอัปมงคล เมื่อครู่นี้หนูยังเห็นเขาอยู่ในห้องครัว และกำลังพูดโทรศัทพ์อยู่ด้วย นี่ไงคะ โทรศัพท์ของเขา”
ว่าพลางยื่นโทรศัพท์มือถือซึ่งยังคงกำแน่นในมือให้ดู
“ไม่เชื่อก็ลองดูข้อมูลการโทรสิคะ”
หญิงชราขมวดคิ้ว รับโทรศัพท์ไปตรวจดูอย่างคนใจเย็นครู่หนึ่งก่อนส่งโทรศัพท์กลับคืนมาให้พลางถามว่า
“รู้ไหมว่าเขาโทรหาใคร”
“ไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิง พูดจาไม่รู้เรื่อง”
“ฉันว่าเธอนั่นล่ะไม่รู้เรื่อง ลองตรวจดูเบอร์โทรเข้าโทรออกล่าสุดสิ ว่าเป็นเบอร์โทรของใคร”
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งนั้นโดยดี แต่แล้วก็ยืนนิ่งอึ้งไปด้วยความแปลกใจและไม่เข้าใจสุดขีด
เบอร์โทรออกล่าสุด ไม่นานมานี่เอง เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของเธอเอง! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน..
มันต้องมีบางอย่างผิดปกติ! ความผิดปกติซึ่งหาคำอธิบายไม่ได้แม้แต่คำเดียว
หญิงชรามองหน้าไม่พูดอะไรอีก ลากแขนของลูกสะใภ้เข้าไปนั่งระงับสติอารมณ์ให้นั่งบนเตียงนอน หันมาบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปว่า
“เธอรอที่นี่ ฉันจะไปหาอะไรบางอย่างมาให้เธอดู”
“อะไรคะแม่”
ร้องถามตามหลังไป แต่สายไปเสียแล้ว เจ้าของห้องเดินหายออกจากห้องไปก่อน หรือไม่อาจได้ยินเสียงถาม หรืออาจไม่อยากตอบอะไรในตอนนี้
......ซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างไร้เรี่ยวแรงทั้งกายและใจ มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันไม่ใช่ความฝันแน่นอน แต่มันคืออะไร หรือว่าจะประสาทหลอนไปเอง
ไม่...หญิงสาวคิดอย่างแน่ใจ เธอไม่ได้ประสาทหลอน ในชีวิตไม่เคยเข้าสถาบันโรคทางจิตที่ไหนทั้งนั้น ถ้าจะมีปัญหาก็ต้องหมายถึงว่าเธอปกติดีมากเกินไปต่างหาก
หรือว่าปกติมากเกินไป..จะเป็นไปได้ไหม..ปกติมากเกินไปจนไม่ปกติ เลยเห็นอะไรแปลกๆแบบนั้น
หญิงชราหายหน้าไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะออกไปทำอะไร หรือว่าออกไปโทรเรียกรถโรงพยาบาลเพื่อนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลประสาท..หรือจะออกไปหายาระงับประสาท ไม่ว่าจะไปหาอะไรก็ตาม หญิงสาวมีเวลามากพอจะสำรวจห้องนอนของแม่สามี
ในห้องจัดข้าวของแบบเรียบง่ายสมถะ ตู้เสื้อผ้าแบบติดผนัง โต๊ะเล็กๆ วางสิ่งของจุกจิกข้างหัวเตียง มีกรอบรูปและแจกันสมัยเก่าแต่ปราศจากดอกไม้ คงเป็นเพราะเจ้าของยุ่งกับงานบ้านทั้งวันจนไม่มีเวลาหาดอกไม้มาประดับ
มีกรอบรูปวางอยู่ข้างๆแจกัน หญิงสาวรู้สึกไม่คุ้นในความรู้สึก แต่ก็ไม่แปลกเพราะเธอเองไม่ได้แวะมาดูแลห้องนี้บ่อยนัก เป็นการให้เกียรติตามสมควรกับเจ้าของห้องในการไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับห้องหรือสิ่งของประจำตัวของคนอื่น หยิบกรอบรูปมาดูอย่างไม่ตั้งใจมากนัก เป็นภาพถ่ายเก่าๆ ของครอบครัว ไล่มาจากทางซ้ายมือมาทางขวามือก็มีเธอ ธานี แม่สามีโอบกอดอยู่กับพ่อสามีซึ่งยืนทางขวามือสุดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ว่าแต่ภาพนี้ถ่ายตั้งแต่ช่วงใดของเวลาแห่งชีวิต ทำไมจำไม่ได้เอาเสียเลย เวลาผ่านไป หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าแม่สามีหายไปนานเกินความจำเป็นแล้ว
บ้านทั้งหลังตอนนี้ดูเงียบกริบ ไฟห้องนั่งเล่นด้านนอกยังเปิดสว่าง ทำให้รู้สึกไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรนัก ภาริณีเดินออกมาจากห้องอย่างแผ่วเบา มองรอบตัวก็ไม่เจอใครเลยสักคน คุณแม่สามีตัวดีก็พลอยอันตรธานหายไปด้วย
ลองเดินสำรวจชั้นล่างอีกรอบด้วยอาการของคนใกล้ประสาทเสีย แน่นอนว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นเลยสักคน ประตูหน้าบ้านหลังบ้านล้อคกุญแจจากด้านใน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีใครหลบออกจากบ้านในค่ำคืนนี้
ตัดสินใจขึ้นมาชั้นสอง กลับเข้าห้องนอนอย่างโผเผเซโซ หากพอโผล่เข้าไปในห้องนอนก็ต้องขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ธานีนอนหลับอย่างสบายบนเตียง หลับอย่างสุขโขสโมสรในขณะเธอเดินวนเวียนไปมาเหมือนคนบ้าทั่วบ้าน!!
“ธานี...!”
กรีดเสียงสุดเสียงจนเขาผวาตื่นขึ้นมาหน้าตาตื่น มองมาด้วยสีหน้าท่าทางตกใจและงุนงง
“ณี..คุณไปทำอะไรตรงนั้น”
เสียงทุ้มห้าวของชายหนุ่มถามขึ้นอย่างร้อนรน คิดหาเหตุผลไม่ออกว่าทำไมภรรยาตัวเองถึงมีท่าทางแปลกๆ
“ฉันสิต้องเป็นฝ่ายถามคุณ”
หญิงสาวย้อนอย่างคนอารมณ์โกรธ น้อยใจ เสียใจผสมผสานปนเปกันไปหมด เดินตรงมานั่งขอบเตียงจ้องหน้าถามว่า
“คุณลงไปห้องครัวโทรหาใคร”
“ผมน่ะเหรอ”
ธานีมีสีหน้าท่าทางแปลกใจเต็มที่ “ลงไปตอนไหนกัน ผมนอนหลับอยู่ในห้องนี้เพราะความเมาจากงานเลี้ยงคุณก็รู้ แล้วจะลงไปข้างล่างทำไม เพิ่งตื่นก็ตอนคุณร้องกรี๊ดอยู่หน้าห้องนี่ล่ะ”
“แล้วมือถือนี่..”
หญิงสาวยื่นโทรศัพท์มือถือในมือส่งให้ อีกฝ่ายมองหน้าแบบไม่เข้าใจ จนต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ฉันเห็นคุณยืนโทรศัพท์อยู่ในห้องครัว แล้วคุณก็หายไป นี่ไงหลักฐาน ฉันเก็บมันขึ้นมาจากห้องครัว ถ้าคุณไม่ลงไปแล้วโทรศัพท์ลงไปอยู่ห้องครัวได้ยังไง แล้วมนุษย์หรือผีตนใดอยู่ในห้องครัวตอนนั้น”
“ใจเย็นๆที่รัก” ธนาพยายามทำเสียงปลอบใจเต็มที ใช้มือโอบไหล่ลูบหัวไปมาอย่างปลอบโยนแต่หญิงสาวใช้มือปัดออกอย่างแรง ก่อนเค้นเสียงถามอีกว่า “บอกมานะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“คนไหน”
“คนที่คุณโทรหาเธอ”
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร แล้วเบอร์โทรที่คุณว่าเป็นเบอร์ของใคร คุณลองโทรกลับไปเช็คดูก็ได้นี่”
พูดจบก็ยื่นมือถือกลับให้ ลูกไม้ตายย้อนกลับทำให้ภาริณีอึ้งไปทันที ก้มตรวจดูข้อมูลการโทรล่าสุดก็พบว่ามันเป็นเบอร์โทรของเธอเอง แล้วจะใช้เป็นหลักฐานพยานวัตถุได้อย่างไรกัน แต่เธอก็เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพบเห็นอย่างไม่มีข้อสงสัยอะไรทั้งนั้น
“คุณคงฝันไป...”
ธานีโอบไหล่ของเธออีกอย่างระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อยกับภรรยาเจ้าอารมณ์คนนี้
ฝันไปอย่างนั้นหรือ ต่อให้ตายเธอก็ไม่มีวันเชื่อ อย่างน้อยเธอก็แน่ใจว่าไม่ได้บ้าพอที่จะแยกว่าอะไรฝันอะไรจริงไม่ออก ถ้าเป็นความฝันป่านนี้คงต้องสะดุ้งตื่นไปแล้ว หากแต่ว่ายังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่
“ฉันแน่ใจว่าไม่ได้ฝันไปค่ะ”
ยังไม่ยอมจมมุมง่ายๆ ยังมีพยานบุคคลอีกคนหนึ่งสามารถนำมาอ้างอิงได้
“ไม่เชื่อคุณก็ลองลงไปถามคุณแม่ดู ฉันเพิ่งคุยกับคุณแม่ก่อนจะเดินขึ้นมานี่”
“คุณพูดอะไร..” คราวนี้ธานีเป็นฝ่ายหันมาจ้องหน้าอย่างแปลกใจสงสัย “คุณแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย ท่าทางคุณจะละเมอเพ้อฝันไปแล้วจริงๆ”
“คุณเล่นตลกบ้าอะไรของคุณคะ” ภาริณีถลันลุกพรวดพรวดขึ้นมายืนมองจ้องอย่างเหลืออด ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ก็ฉันเพิ่งคุยกับคุณแม่เมื่อครู่นี่เอง ไม่เชื่อคุณลงไปดูถามดูก็ได้”
ธานีจ้องมองหน้าภรรยาเนิ่นนานอย่างเงียบงัน ท่าทางของเขาสงบลงทีละน้อย สายตาเริ่มมีแววกังวลเห็นใจ
“ก็ได้..เราจะลงไปถามคุณแม่ดูก็ได้”
ว่าพลางลุกขึ้น พยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้ตามหลังไปก่อนก้าวเดินนำหน้าออกจากห้องอย่างเงียบๆ
แสงไฟจากห้องครัวและห้องรับแขกยังคงเปิดสว่าง แต่ทีวีปิดไม่มีเสียงซ่าไม่มีแสงสว่างจากหน้าจอ จะต้องมีใครสักคนมาปิด และคนๆนั้นไม่ใช่เธอแน่นอน หญิงสาวขบคิดอย่างหวาดระแวง แต่ไม่ปริปาก อาจมีใครกำลังพยายามเล่นตลกกับเธออยู่ก็เป็นได้
หน้าห้องของคุณแม่สามีปิดเอาไว้ เธอจำได้ว่าตอนเดินออกไปไม่ได้ปิดประตู แสดงว่าเจ้าของห้องกลับมาแล้ว หญิงสาวยกมือทำท่าจะเคาะประตู แต่สามีดึงประตูเปิดออกมาเสียก่อน แล้วเอื้อมมือไปเปิดสวิทซ์ไฟ
ห้องสว่างพรึ่บขึ้น บนเตียงว่างเปล่า ผ้าปูที่นอนตึงเปรี๊ยะเหมือนไม่มีคนเคยนอนอยู่บนเตียง
“เห็นไหม...ไม่มีใครอยู่ที่นี่”
ธานีหันมาเลิกคิ้วพูดเหมือนเป็นเชิงถาม
ใบหน้าของภาริณีซีดเผือดลงทันที ไม่ใช่เพราะความกลัว หากเป็นความไม่เข้าใจมากกว่า เป็นไปไม่ได้ว่าจะมีใครมาปรับเปลี่ยนสภาพห้องได้เร็วขนาดนี้ เพราะตอนเข้ามาครั้งแรกยังพบว่าเป็นห้องซึ่งมีสภาพเหมือนมีคนมาพักมา นอนอยู่ตามปกติ
กรอบรูปยังวางบนโต๊ะหัวเตียง หยิบมาดูอย่างมึนงง แล้วยิ่งทำให้งงมากหนักเข้าไปอีก บุคคลในภาพถ่ายหายไปหนึ่งคน ไม่มีภาพของเธออยู่ในภาพถ่ายนั้น ทั้งที่จำได้สนิทใจว่าดูครั้งแรกมีภาพของเธออยู่ด้วย
เสียงของธานีเหมือนแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล
“คุณแม่อยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้มาเยี่ยมเราหลายเดือน ล้ว ห้องนี้ไม่มีใครอยู่ เธอต้องละเมอหรือฝันไปอย่างแน่นอน”
พูดจบเขาก็ใช้มือแตะข้อศอกเบาๆเป็นเชิงให้กลับออกไป หญิงสาวพึมพำบอกขอตัวอยู่ต่อสักครู่ ชายหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ก็ยอมล่าถอยออกไปก่อนแต่โดยดี รู้ว่าเธอต้องการอยู่กับตัวเองระยะหนึ่ง
ทำไมธานีบอกว่าคุณแม่ไม่ได้มาเยี่ยมนานแล้ว เธอยังจำได้ดีถึงเรื่องซึ่งคุณแม่สามีทำประจำทุกวัน ท่านจะตื่นเช้าก่อนทุกคนในบ้าน จัดการทำอาหารไว้บริการคนอื่นๆ วันวานยังออกไปหาซื้ออาหารสดอาหารแห้งมาเก็บไว้ในบ้านด้วยกันแท้ๆ แบบนี้ใครจะไปเชื่อได้ลง
ทุกวันธานี จะเป็นคนตื่นนอนเป็นคนที่สอง มานั่งกินอาหารเช้าซึ่งคุณแม่เตรียมไว้ให้ทุกเช้าวันหยุดสุดสัปกาห์ที่แล้วยังพาเธอและแม่ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันทั้งสามคน ชีวิตมีความสุขตามอัตภาพและอย่างควรจะเป็น แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนไปในรูปแบบอันสุดคาดคะเน และอย่างน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาทีละน้อย
ลองหยิกตัวเองดู รู้สึกเจ็บ เพียงต้องการยืนยันว่าตอนนี้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ความฝัน ความทรงจำอันงดงามน่าประทับใจในอดีตผ่านมาหลายเรื่องยังคงแจ่มชัด
รู้สึกใครบางคนก้าวผ่านประตูเข้ามาในห้อง หันขวับไปมอง แล้วเเบิกตากว้างร้องเสียงดัง
“แม่....หายไปไหนมาตั้งนาน”
โปรดติดตาม ตอนต่อไป
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 55 22:33:21
จากคุณ |
:
Psycho man
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ต.ค. 55 22:32:13
|
|
|
|