ยามบ่ายของวันนั้นอาทิตย์นั้นราแสงลงมากแล้ว รถยนต์สีเมทาลิกงาช้างคันงามค่อยชะลอตัวลงจอด หน้ารั้วสีน้ำตาลของบ้านหลังน้อยที่อยู่ท้ายซอย หลังจากขับลัดเลาะเข้ามาทางลัดอย่างชำนาญทาง ตรีภูมิกระโดดลงจากรถเป็นคนแรก แล้วร้องถามคนในรถ
"บ้านเลขที่นี้ ใช่เลยว่ะ! มาถูกหลังจริงๆ ด้วย เจ้าภูฯ เคยมาหรือไง เส้นนี้ซอยเล็กซอยน้อยออกเต็ม" คนถูกถามเพิ่งก้าวลงเบาะหน้าพร้อมๆ กับวิมุตติที่เป็นผู้ขับ
"ไม่เคย...." เจ้าภูวิษะตอบออกไปแต่เมื่อเห็นหนุ่มร่างท้วมทำหน้าฉงนจึงรีบพูดต่อ
"แต่เคยผ่านเส้นนี้น่ะ คิดว่าไม่ผิดหรอก"
"จำทางแม่นจริงๆ เลยเจ้า ขนาดไม่ค่อยได้มากรุงเทพฯ นะเนี่ย"
"ก็นายน่ะถ้าไม่นั่งหลับก็นั่งคุยมาตลอดทาง จะไปจำอะไรได้ล่ะ" วิมุตติระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมาอย่างขบขัน ปัดความความสงสัยของเพื่อนรักออกไป ก่อนจะตรงไปกดออดที่ข้างรั้ว
"แหม...ไอ้เจ้าได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะ"
เสียงบ่นกระปอดกระแปดของตรีภูมินั้น ยิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองหัวเราะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ทั้งสามสนทนากันไปได้ครู่หนึ่งคนในบ้านก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ
"สวัสดีจ้ะ มากันเร็วจังคิดว่าจะหลงทางเสียแล้วนะนี่" ยุพาพักตร์ยิ้มทักมาแต่ไกล
"สวัสดีครับคุณแม่ รบกวนหน่อยนะครับ น้องฟ้าเป็นยังไงบ้างครับ?"
"ก็หายตกใจแล้วล่ะ แต่ยังเป็นไข้อยู่นิดหน่อยแม่เลยให้หยุดเรียน" หญิงวัยกลางคนตอบพลางหันไปมองชายหนุ่มหน้าตาดีอีกสองคนที่มากับตรีภูมิ
"แล้วนี่...เพื่อนที่'มหาลัยหรือจ๊ะ?" หล่อนเข้าใจว่าอย่างนั้น
"อ้อ....นี่ไอ้เจ้า...เอ้ย วิมุตติ เจ้าของไร่ที่เราไปรับน้องกันครับ แล้วมันก็เป็นอาจารย์ของน้องฟ้าด้วย"
"เหรอจ๊ะ" ยุพาพักตร์รับไหว้ชายหนุ่มแทบไม่ทัน นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะเขาไว้ผมยาวเคลียไหล่ แลดูไม่เรียบร้อยเหมือนคนเป็นอาจารย์ทั่วๆ ไป
"จริงๆ ก็รุ่นเดียวกันครับ แต่มันฉลาดเลยจบไปก่อน จบแล้วก็มาสอนที่คณะวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนไกลเลยครับ"
ตรีภูมิพูดติดตลกก่อนจะผายมือไปยังชายหนุ่มคนสุดท้าย ยุพาพักตร์มองเขาแล้วรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าอาจารย์ผมยาวคนแรก เขาหน้าตาดีผิวขาวนวลอย่างคนเมืองเหนือ แม้จะไว้ผมยาวแต่มัดผูกเรียบร้อยไม่ดูสกปรกรกรุงรัง แต่สิ่งที่หล่อนติดใจคือดวงตารียาวคู่นั้น มันทอแสงประหลาดและจ้องมองหล่อนไม่วางตา
"นี่ไงครับ...เจ้าภูวิษะ"
สิ้นคำแนะนำยุพาพักตร์เผลอยกมือขึ้นทาบหน้าอก แล้วนิ่งตะลึงไปชั่วครู่จนกระทั่งชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ทักทายหล่อนถึงจะรู้สึกตัว หญิงวัยกลางคนบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบ่งบอกว่าเขาคนนี้ไม่ธรรมดา และมีผลต่อชีวิตของลูกสาวหล่อนด้วย
"คุณแม่ครับ...คุณแม่ เป็นอะไรไปครับเหม่อเชียว"
ถ้าหากหล่อนยังเป็นสาวกว่านี้ หนุ่มหน้าทะเล้นคงเข้าไปใจไปว่า ยุพาพักตร์คงหลงรูปไปเหมือนบรรดาสาวๆ รุ่นน้องของเขาเป็นแน่
"จ้ะๆ ขอโทษทีเข้ามาข้างในกันดีกว่าจ้ะ" หล่อนเชื้อเชิญแล้วเดินนำเข้าไป
"บ้านนี้แม่อยู่กับฟ้าสองคนเอง พ่อของฟ้าเขาแยกไปมีครอบครัวใหม่นานแล้ว" ทั้งสามพยักหน้าไม่กล้าถามต่อแต่ปล่อยให้หล่อนเป็นฝ่ายเล่าเอง
"แม่มีฟ้าคนเดียว ก็เลยถนอมเขามากหน่อย ฟ้าเลยออกจะอ่อนสังคมไปบ้าง"
"ไม่หรอกครับก็เห็นเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดีนะครับ" หนุ่มร่างท้วมตอบไปตามที่เห็น และคิดว่ามารดาของรุ่นน้องกังวลมากเกินไป
"นั่งก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่หาน้ำหาท่าให้กิน"
ไม่นานนักหล่อนก็ยกน้ำมาเสิร์ฟ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาฝั่งตรงกันข้าม มิได้ไปเรียกเคียงฟ้าลงมา หรือพาพวกเขาไปเยี่ยมลูกสาวหล่อน อย่างที่เอ่ยปากชักชวนมา
"ฟ้ายังหลับอยู่เลย ถ้ายังไงเราคุยกันก่อนดีไหม? อีกสักพักฟ้าคงตื่น"
ยุพาพักตร์เริ่มประโยค วิมุตติฟังแล้วก็ลอบสบตากับนาคเจ้า ว่าคงถูกหญิงวัยกลางคนซักถามหลายเรื่องแน่ๆ ดีที่พวกเขาซักซ้อมกันมาก่อนแล้ว
"เจ้าเป็นอาจารย์ แล้วเจ้าภูฯ ล่ะจ๊ะ?" หล่อนถือวิสาสะเรียกพวกเขาตามอย่างตรีภูมิไปแล้ว
"ผมทำงานกับทางบ้านที่เชียงใหม่ครับ" คนถูกถามตอบด้วยความปกติ
"ทำอะไรหรือ?"
"เมื่อก่อนต้นตระกูลทำป่าไม้แต่เมื่อทางการยกเลิกสัมปทานไป ก็เลยปรับเปลี่ยนมาเป็นทำสวนกล้วยไม้ส่งตลาดต่างประเทศแทนครับ" ยุพาพักตร์พยักหน้ารับ
"คล้ายๆ บ้านแกเลยเนอะไอ้เจ้า" หนุ่มร่างท้วมตั้งข้อสังเกตขึ้นมา แต่คนถูกถามทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่
"หือ?...ก็แบบนี้แหละชาวป่าชาวดอย อาชีพก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติทั้งนั้นแหละ"
ในสายตามารดาเคียงฟ้านั้นวิมุตติตอบเรียบๆ อย่างถ่อมตัว เพราะฐานะของเขานั้นเท่าที่ทราบจากลูกสาวนั้น อยู่ในขั้นผู้มีอันจะกินและน่าจะสืบเชื้อสายมาจากเจ้าทางเหนือด้วยซ้ำ
"ได้ยินมาว่าระหว่างที่ฟ้าไปพักที่ไร่ ไปทำซุ่มซ่ามอะไรไว้กับเจ้าภูวิษะแม่ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ"
"แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอย่าคิดมากเลยคุณยุพาพักตร์"
เจ้าภูวิษะตอบหล่อนมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางเสมอกัน ไม่อ่อนน้อมเหมือนเด็กพูดกับผู้ใหญ่ ยุพาพักตร์ได้แต่จับตามองอย่างเงียบๆ แต่ไม่ได้พูดออกไป หญิงวัยกลางคนพอจะเข้าใจว่าทำไมบุตรสาวของหล่อนไม่ค่อยชอบเขา คงเป็นเพราะท่าทางถือยศถือศักดิ์ตามฐานันดรที่กำเนิดนั่นเอง
"แม่ขอถามอะไรหน่อยนะคะเจ้าภูฯ มันอาจจะฟังดูแปลกๆ สักหน่อย" ว่าแล้วจึงเริ่มคำถามขึ้นมา
"สองสามวันมานี่ เจ้าได้พบฟ้าบ้างหรือเปล่าคะ?" เจ้าภูวิษะนิ่งเงียบไม่ได้ตอบในทันใด มีแต่ตรีภูมิเท่านั้นที่ล่อกแล่กมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที แล้วตัดสินใจตอบแทน
"คุณแม่ครับเจ้าเขาเพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ วันนี้ แล้วเราก็พากันมาพบคุณแม่เลย"
"แม่รู้ค่ะ เพียแต่อยากให้แน่ใจสักหน่อย เจ้าคงได้ยินเรื่องทั้งหมดจากภูมิแล้วใช่ไหมคะ?"
"ครับ" ชายหนุ่มเชื้อเจ้าพยักหน้ารับอย่างเรียบง่าย
"มันอาจจะเป็นคำถามที่ทำให้ไม่สบายใจสักหน่อย แต่หัวอกคนเป็นแม่น่ะก็เป็นห่วงน้องฟ้า เขาช็อกกับเรื่องนี้มากถึงกับจับไข้เลย"
"เอาเป็นว่า....เราสัญญา ไม่มีทางที่เคียงฟ้าจะเป็นอันตรายเพราะเราเด็ดขาด!!" เขาไม่ได้ตอบตรงคำถามนัก แต่คำสัญญานั่นกลับทำให้มารดาของหญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอันมาก
".....ขอบใจจ้ะ" หล่อนนิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะตอบรับได้
"เดี๋ยวแม่ขอตัวไปดูน้องหน่อยนะ ถ้าฟ้าตื่นแล้วจะเรียกลงมาพี่ๆ อุตส่าห์มาเยี่ยมทั้งที" ยุพาพักตร์กำลังจะขยับลุก แต่เจ้าภูวิษะเอ่ยปากห้ามเสียก่อน
"อย่ารบกวนคนป่วยดีกว่าครับ พวกเรากำลังจะกลับกันแล้ว ที่มาก็เพื่อให้คุณยุพาพักตร์สบายใจ และถ้าเคียงฟ้าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วเราก็เบาใจ ขอบคุณที่ให้การต้อนรับ" กล่าวจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทำให้คณะที่มาด้วยพากันลุกตาม และขอตัวกลับกันเป็นทิวแถว
"ขอบใจที่อุตส่าห์มานะจ๊ะ" หล่อนกล่าวตอนที่เดินออกมาส่งที่หน้าประตูบ้าน และรอจนรถสีงาช้างคันนั้นแล่นไปไกลแล้วจึงขึ้นไปดูบุตรสาวบนห้อง
"ใครมาเหรอคะแม่? ฟ้าได้ยินเสียงรถ" ร่างบางเพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานนัก ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่มาก แต่ดูดีกว่าเมื่อคืนก่อนนัก
"อ้าว? ฟ้าตื่นแล้วเหรอ? มาตื่นเอาตอนพี่ๆ เขากลับกันพอดี"
"พี่? ใครเหรอคะ?"
"พี่ตรีไงลูก เขามาเยี่ยม" หญิงสาวร้องอ๋อแล้วยิ้มขึ้นมา ก่อนจะหุบยิ้มลงในทันใดเมื่อได้ยินชื่อคนถัดมา
"เขาพาเจ้าภูวิษะ กับ อ.วิมุตติ มาด้วย"
"เจ้าภูวิษะมาหรือคะ?" หัวใจของหล่อนเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบละล่ำละลักถามมารดา