30
ปัญวิชช์คิดว่าจะมีโอกาสได้คุยกับนภัสรินทร์ตามลำพัง เขาจะต้องได้คำตอบและทางออกดี ๆ แต่พอเห็นร่างหญิงสาวเดินเข้าล้อบบี้มาพร้อมกับเอกสิทธิ์เขาก็อึ้ง ทั้งที่วันนี้เป็นวันทำงาน แต่เธอก็ยังมากับเขา มารถคันเดียวกัน นั่นแปลว่าทั้งคู่เพิ่มความใกล้ชิดในระดับที่ไปรับส่งกัน
เขาฝืนตัวเองทรงกายเอาไว้ รอจนเธอสบตากับเขา
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ปัญวิชช์พยายามไม่สนใจคำถามในดวงตาของเอกสิทธิ์ว่าทำไมจะยังต้องเจอเขาอีก “เราไม่มีอะไรคุยกันแล้วนะ” น้ำเสียงเธอไม่ห้วนแต่เรียบจนอ่านไม่ออก
“ผมขอเวลาแป๊บเดียว”
นภัสรินทร์มองหน้าเอกสิทธิ์ ชายหนุ่มพยักหน้า ก้าวออกไปหาปัญวิชช์ พูดเบา ๆ “ผมให้โอกาสท่านครั้งสุดท้ายแล้วนะครับ ถ้าเป็นท่านเองคงไม่ชอบใจใช่ไหมครับที่มีคนมาวุ่นวายกับคู่หมั้นตัวเอง”
สส.หนุ่มกัดฟันทนการโดนหยามเหยียด พยายามปล่อยวาง ขอเพียงให้ได้คุยกับนภัสรินทร์ เอกสิทธิ์พูดโดยสีหน้าเป็นมิตรแต่แววตากลับเชือดเฉือน นักธุรกิจหนุ่มล้วงกระเป๋าและจะเคลื่อนกายออกไป
นภัสรินทร์รู้สึกเหมือนโดนคำนั้นบาดใจไปด้วย เธอกอดอก
“มีอะไร”
“ผมอยากรู้ ทำไมรินตัดสินใจแบบนี้ รินบอกได้ไหม”
“ไม่ต้องอยากรู้หรอก” ตอบไปแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าไม่ควรใช้ประโยคนี้ เพราะมันจะแปลว่ามีเหตุผล แต่พอเธอจะตั้งหลักเพื่อหาคำพูดใหม่กลับเห็นเอกสิทธิ์ก้าวยาว ๆ กลับมา
“อ้อ ริน พี่ลืมบอกไป” เขาทำท่าคิดขึ้นได้ “พรุ่งนี้คุณฟ้าจะเอาตัวอย่างการ์ดที่ทำเสร็จแล้วมาให้ดู พี่ให้เขาไปเจอที่ออฟฟิศรินนะ สะดวกตอนไหน”
นภัสรินทร์เหลือบมองปัญวิชช์อย่างไม่ตั้งใจ แววตาชายหนุ่มไหวระริก เอกสิทธิ์จงใจกระทืบความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยการมาพูดเรื่องมงคลต่อหน้าต่อตา เธอเองก็พลอยสะท้านไปด้วย ต้องระงับสติก่อนจะตอบว่าเป็นตอนเย็น
“ถ้างั้นให้คุณฟ้าไปเจอสักห้าโมงนะ เดี๋ยวผมจะไปช่วยดูด้วย” เขาบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินออกไป
ปัญวิชช์พลันเงียบเหมือนคนจนมุม โดนศัตรูร่ายมนต์ใส่ปิดการเอื้อยเอ่ยไปครู่หนึ่ง
“ตกลงว่ามีอะไร”
พอนภัสรินทร์เรียกสติถึงได้กลับมา “ก็...อยากรู้เหตุผล รินทำเพื่ออะไรบางอย่างใช่ไหม”
หญิงสาวเหลือบตาคม ๆ “ไม่มีอะไร”
“แต่เมื่อกี้รินเพิ่งบอกว่ามี” ปัญวิชช์แย้ง คนปฏิเสธนิ่ง เขาคงไม่รู้ว่าเธอเองก็พยายามจะซ่อนใจไม่ให้อ่อนแอ ไม่ให้เห็นความลับที่ปิดบังว่าความรักที่มีต่อเขามันเอ่อล้นออกมาทุกวินาทีที่คุยกัน
“บอกกันได้นะริน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เรื่องทุกอย่างที่มันเปลี่ยนไป มันต้องมีสาเหตุทั้งนั้นแหล่ะ”
เธอหลบสายตาเขาจนได้ “ฉันมีเหตุผลของฉัน ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก เราจบแค่นี้ ไม่มีอะไรอีกแล้ว”
“เหตุผลอะไร” เขาถามรุกไล่ “เหมือนกับคราวอาเมศ รินก็มีเหตุผลที่ทำ วิชรู้ บอกมาเถอะ วิชเข้าใจ”
นภัสรินทร์นิ่ง ชื่อปรเมศและการตั้งคำถามเช่นนี้ของปัญวิชช์แสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจเดินหน้าชน เขาพร้อมที่จะแก้ไขเรื่องที่มันเกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ตัดสินใจไปแล้วเช่นกันว่าจะไม่หันกลับไปหาอดีตทั้งมวลอีก หญิงสาวตอบกลับเรียบ ๆ
“อย่ารื้อฟื้นอีกเลยวิช อย่าเอาชีวิตมาวุ่นวายกับริน”
พูดแล้วหันกลับเดินเข้าลิฟท์ไปอย่างรวดเร็ว ปัญวิชช์ก้าวตาม ไม่อยากจะยอมแม้เพียงเท่านี้
“ริน เดี๋ยวก่อน บอกมาเถอะนะ ผมรับได้ทุกอย่าง ผมยอมทุกอย่าง เพื่อให้กลับมาอยู่กับรินนะ”
ระหว่างลิฟท์มีประตูกระจกกั้น นภัสรินทร์รูดคีย์การ์ดผ่านเข้าไปแล้ว เธอกับเขาอยู่กันคนละฝั่ง
“แต่รินไม่พร้อมแล้ว รินจะแต่งงานกับพี่เอก จบเถอะวิช อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”
ไม่มีน้ำเสียงอาวรณ์ ไม่มีความอาลัยในแววตา ไม่มีความเสียใจในสีหน้า และร่างของเธอก็กลืนหายเข้าไปในลิฟท์ ปัญวิชช์ก้มหน้า ปวดหนึบในอก น้ำตาจะรินไหล ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ เธอก็ห่างออกไป
นภัสรินทร์ทำราวกับว่าระหว่างกันไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก่อน ไม่มีอะไรเชื่อมโยงระหว่างกันเลย
ช่วงสองสัปดาห์ต่อมาของนภัสรินทร์ก็เต็มไปด้วยงานรวมทั้งธุระส่วนตัว ถึงจะวุ่นวายแต่เธอเต็มใจจะเหนื่อย เมื่อหัวถึงหมอนนอนราบกับพื้นโลกก็หลับเป็นตาย ไม่มีอาการทุรนทุรายอยากจะหลับแต่ไม่หลับเพราะมัวแต่คิดถึงใครบางคนอีกแล้ว
เมื่อไหร่ที่เผลอใจ วูบเดียวเท่านั้น น้ำตาก็รื้น ยามได้ช่วงเวลาที่มีอยู่เพียงคนเดียว ความคิดจะแล่นลอยไปหาภาพดี ๆ บางฉากบางตอนในอดีต สายตาเว้าวอน รอยยิ้มกวนแบบเด็ก ๆ ภาพที่ชายหนุ่มใส่ชุดคลุมอาบน้ำสีชมพู หนหนึ่งเธอเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเจอชุดสีม่วงที่ปัญวิชช์ซื้อให้ ลมหายใจขาดห้วงจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เธอถึงกับต้องปิดบานประตูเพื่อตั้งสติ ตำหนิตนเองที่หวั่นไหวและสงสารหัวใจ เธอไม่เคยอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน
เอกสิทธิ์โทรมาบอกว่าการ์ดแต่งงานเสร็จเรียบร้อย จะมารับเธอวันนี้และจะต่อด้วยการไปลองชุดแต่งงาน เพราะนับจากวันนี้จะเหลือแค่ไม่ถึงเดือนแล้วสำหรับวันงาน
นภัสรินทร์ดีใจตอนที่ส่องกระจกแล้วพบว่าสีหน้าไม่อิดโรย จะได้ไม่เป็นที่สังเกตและต้องมาตอบคำถามของว่าที่เจ้าบ่าว แม้ว่าคืนที่ผ่านเธอจะหลับไปพร้อมกับฝันที่ไม่ดีสักเท่าไหร่
เจ้าหน้าที่ธุรการเหลือบมอง หางตานภัสรินทร์เห็นตอนที่เดินออกมาพร้อมเอกสิทธิ์ว่าอีกฝ่ายหันไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน แต่เธอไม่ใส่ใจ คงไม่มีแค่เธอหรอกที่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน น่าแปลก เธอเองก็ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมามากมายแล้ว จะมากังวลทำไมกับภาพเปลี่ยนผู้ชายที่เดินควง นี่คงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเธออ่อนไหวไม่เหมือนเดิมแล้วจริง ๆ
รถแล่นไปสักพัก เอกสิทธิ์ก็พูดขึ้น
“ริน พี่จะเชิญท่านทรงพลด้วยนะ”
นภัสรินทร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ได้ยินชื่อคนจากครอบครัวนี้ ใจไหวเล็ก ๆ “ท่านจะมาเหรอคะ”
“มาสิ เดี๋ยวคอยดูได้เลย” เอกสิทธิ์ว่ายิ้ม ๆ สบตาเธอ “แต่ตอนแจกการ์ดรินไม่ต้องไปหรอกนะ พี่ไปเอง รินทำตัวให้ยุ่งไว้ก็แล้วกัน” เขาหมุนพวงมาลัยหักเลี้ยว
“หรือว่าอยากจะไปด้วย”
เป็นอีกครั้งที่นภัสรินทร์ยอมให้คะแนนผู้ชายคนนี้ เขาอ่านใจเธอออก รู้เรื่องของเธอเป็นอย่างดีและไม่บีบบังคับ หญิงสาวส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“ขอบคุณค่ะ”
ที่ร้านตัดเสื้อ นภัสรินทร์ลองชุดแต่งงาน พยายามรวบรวมสมาธิให้อยู่กับเรื่องตรงหน้า ชุดที่แทบจะเรียกได้ว่าหลับตาเลือกมาเป็นชุดเกาะอกสีทองปักดิ้นลายดอกไม้ กระโปรงทรงสุ่มแต่งด้วยดอกไม้สีทองมีผ้าแก้วฉลุลายซ้อนอยู่ด้านในสไตล์เจ้าหญิง ช่างตัดเย็บช่วยแต่งให้ ปากก็พูดชมตลอดว่าว่าที่เจ้าสาวสวยมาก
“ชุดนี้ถ้าเวลาทำผมไม่ต้องรวบหมดก็ได้นะคะ ปล่อยปลายลอนไว้แบบนี้จะรับกับไลน์กระโปรงค่ะ คุณรินหุ่นดีไม่ต้องกลัวว่าจะดูตันเลยค่ะ”
นภัสรินทร์ได้แต่ยิ้มบางตอบ คนพูดจึงหันไปบอกผู้ช่วยว่าให้ตามว่าที่เจ้าบ่าวมาดูได้เลย ชายหนุ่มก้าวเข้ามา คำแรกที่พูดก็ไม่ต่างกับช่างเย็บทั้งสองคน
“สวยจังเลยริน”
หญิงสาวเห็นปัญวิชช์กำลังชมเธอ เธอตกใจ ปัญวิชช์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง สีหน้าเขาปลาบปลื้มที่เห็นเธอในชุดเจ้าสาว เธอไม่ได้ยินคำชมของช่างแต่งตัวที่กำลังชื่นชมต่อผลงานตัวเอง
“ริน”
จนกะพริบตาอีกครั้งผู้ชายตรงหน้ากลายเป็นเอกสิทธิ์ และอาการตกใจในดวงตาเขาทำให้รู้ว่าน้ำตาเธอไหลริน เขายิ้มกว้าง หัวเราะอย่างเอ็นดู
“อุ้ยดูสิคะ คุณรินคงตื้นตันมาก”
นภัสรินทร์ยกมือปาด แต่เอกสิทธิ์เร็วกว่าใช้ผ้าเช็ดหน้าซับให้ คนในร้านกรี๊ดกร๊าดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พากันอิจฉากิริยาน่ารักของคู่รัก
“ขอโทษค่ะ” เธอบอกเสียงเบา ทำไมยังลืมไม่ได้ซะทีนะ ยังตัดภาพปัญวิชช์ออกไปไม่ได้แบบนี้ก็เหมือนว่าเธอถูกลงโทษอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก” ชายหนุ่มสบตา “รินสวยมากเลย สวยจริง ๆ”
เมื่อชื่อปัญวิชช์ลั่นอยู่ในสมองเช่นนี้ น้ำตาเธอจะไหลอีกครั้ง เธอเลือกเอกสิทธิ์แล้ว คนตรงหน้าคือเอกสิทธิ์ ไม่มีทางเป็นปัญวิชช์ไปได้ ไม่มีทางตลอดกาลแล้ว
“วิชแม่เองนะ”
วิลาสินียืนอยู่กับคนรับใช้หน้าเรือนริมสระบัว เป็นหน้าที่ประจำที่คนรับใช้จะยกถาดอาหารมาให้เนื่องจากคนเป็นนายไม่ออกจากเรือนนี้ไปที่ห้องใหญ่ ทรงพลจึงสั่งให้ดูแลเรื่องอาหารการกินให้หลานชาย แต่ผลที่ได้ไม่เต็มร้อยนักเพราะอาหารพร่องไปเล็กน้อย บางมื้อมีแค่น้ำที่ลดลง
แต่วันนี้มีคุณผู้หญิงสะใภ้คนโตของบ้านมาด้วยจึงอุ่นใจและเอาใจช่วยให้ชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงความทุกข์ได้ดูแลตัวเองบ้าง
“วิช ออกมากินข้าวหน่อยไหมลูก แม่เป็นห่วง” เธอเว้นจังหวะเผื่อการตอบรับ แต่ยังเงียบจึงพูดต่อ “อย่างน้อยเปิดประตูให้แม่หน่อย แม่อยากเห็นหน้าวิช” ผู้เป็นแม่เองก็พลอยเศร้าสร้อยไปด้วย “เปิดประตูหน่อยนะลูก แม่ไม่กวนนานหรอก”
ไม่มีเสียงตอบรับอยู่นาน แต่ในที่สุดประตูเปิดออกมา สาวใช้สะดุ้งโหยง ด้วยเพราะแรงเปิดประตูและตาโหลที่จับจ้องมาก่อนที่ชายหนุ่มจะหันหน้าไปทางอื่น วิลาสินีรู้ใจ
“เอามานี่มา ฉันถือเอง เธอไปทำงานต่อเถอะ”
“ค่ะ” อีกฝ่ายรีบส่งให้ “เดี๋ยวหนูขอไปดูแขกคุณท่านก่อน แล้วสักพักจะมาเก็บจานให้นะคะ”
“แขก? ใครมา” เสียงแหบนั้นถามแทรกเข้ามา สาวใช้ห่อไหล่
“ไม่มีอะไรหรอก วิชกินข้าวเถอะลูก” วิลาสินีพยายามตัดบท แต่ดูเหมือนว่าสัญชาตญาณที่ระทมทุกข์ของชายหนุ่มจะเฉียบไว สิ่งที่เธอไม่ต้องการให้รู้เขาก็อ่านออก
“ใครมาเหรอแม่” ปัญวิชช์ต้องการคำตอบให้ได้ เพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คำว่าผู้มาเยือนมันสะกิดรอยแผล ชายหนุ่มก้าวยาว ๆ ออกไปยังทิศทางที่สามารถมองไปเห็นลานจอดรถ
“วิช” วิลาสินีวางถาดข้าวบนโต๊ะตัวเล็กแล้วรีบเดินตาม พอลูกชายชะงักและยืนทื่อก็รู้ทันที
ภาพที่เห็นคือ เอกสิทธิ์เดินออกจากบ้านใหญ่ ตรงไปที่รถ แสดงว่านักธุรกิจหนุ่มคือแขกคนที่พูดถึง ในอกปัญวิชช์ร้อนวาบ หันขวับ
“เขามาทำอะไร”
วิลาสินีไม่ต้องการให้ปัญวิชช์รับรู้การมาของเอกสิทธิ์อยู่แล้ว เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคือคู่แข่งหัวใจ แต่เมื่อโดนคำถามระยะประชิดเช่นนี้ ถ้าไม่ตอบลูกชายคงไม่ยอมให้จบ
“เอกสิทธิ์เอาการ์ดแต่งงานมาให้ปู่”
สิ้นคำ ปัญวิชช์นิ่งเหมือนโดนสาป หัวใจเขาหลุดจากขั้ว เส้นสายใยที่คิดว่าจะยังมีอยู่ระหว่างเขากับนภัสรินทร์ขาดสะบั้นยิ่งกว่าโดนเครื่องประหารกิโยติน ไม่เหลืออะไรให้ไขว่คว้าแล้ว เอกสิทธิ์ประกาศความเป็นเจ้าของ เอกสิทธิ์...สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่มีต่อผู้หญิงที่ตนรัก ขอบตาปัญวิชช์ร้อนดั่งไฟ
“วิช”
วิลาสินีแตะแขน เพราะเห็นลูกชายยืนตัวแข็ง ก่อนที่เขาจะหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว จ้ำพรวด ๆ ไปที่เรือนเล็กริมสระบัวอย่างเดิม ผู้เป็นแม่รีบก้าวตามพลางร้องเรียก
“วิช เดี๋ยวก่อนลูก วิช”
ปัญวิชช์เดินไปถึงเรือนเล็ก ก่อนจะปิดประตูเขายังมีสติบอกกับแม่เบา ๆ “ผมขออยู่คนเดียว”
“วิช อย่าทำแบบนี้”
วิลาสินีทันได้เห็นน้ำตาที่อาบแก้มลูกชาย หัวใจเธอเจียนจะขาดไปด้วย “วิช...”
ร้องเรียกอีกหลายหนประตูก็ไม่เปิดอีก เธอมองมาที่ถาดข้าว ตำหนิตนเอง อย่างน้อยก็น่าจะวางไว้ในห้องเขาจะได้ไม่ต้องเปิดประตูออกมาถ้าไม่ต้องการให้ใครเห็น ท้ายสุดก็ได้แต่หวังว่าลูกชายจะนึกถึงจิตใจผู้เป็นแม่ไม่ทำร้ายตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงทำร้ายเธอด้วยเช่นกัน
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ต.ค. 55 08:59:40
|
|
|
|