|
4. ฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซน : จากเดนมาร์กถึงสยาม
ฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซน (Hans Marqvard Jensen หรือ Hans Markward Jensen) เป็นใคร มาจากไหน ในเอกสารของไทยเท่าที่หาได้ ก็มีที่มาที่ไปไม่มากมายนัก ที่มากที่สุดก็เพียงแต่บอกได้ว่า เกิดที่เดนมาร์ก เมื่อ ค.ศ. 1878 หรือ พ.ศ. 2421 เมื่อจบการศึกษาสามัญแล้ว ได้ไปเป็นทหาร และได้รับการชักชวนจากนายพันโทพระยาวาสุเทพให้มารับราชการในสยาม แต่เมื่อลองค้นจากชื่อภาษาอังกฤษของเขาแล้ว ฉันก็ได้พบบทความที่เกี่ยวกับเขาโดยตรง และในบทความนี้เอง ประวัติและที่มาของ ร.อ. เจนเซนก็ดูจะชัดเจนและจับต้องได้ยิ่งขึ้น
ในวารสาร ScandAsia ฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 ได้นำประวัติความเป็นมาของนายตำรวจชาวเดนมาร์กผู้นี้ และสิ่งหนึ่งในบทนำของบทความนี้ ที่ฉันชอบเป็นการส่วนตัว คือ ข้อความที่ผู้เขียน คือ Flemming Winther Nielsen เขียนไว้ในบทความ The Dane Who Save the North ว่า
“ชาวต่างชาติหรือฝรั่งที่อยู่มานาน และผู้มาใหม่มีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อของเขาและพูดถึงเขา หลายคนส่ายหน้า และบางครั้งก็ยักไหล่ว่าไม่รู้จัก ลองจินตนาการดูว่า เขาโดดเดี่ยวและถึงแก่ความตายในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ด้วยอายุเพียงแค่ยี่สิบสี่ปีเท่านั้น คำบอกเล่าเกี่ยวกับเขาส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐานของการคาดเดาและทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย แต่ผู้เขียนจะนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฮันส์และชีวิตของเขา... เพราะเขาสมควรที่จะได้รับสิ่งนี้”
ใช่... He deserves it
ฉันคิดอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับใครอีกหลายคนที่มีเพียงชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์ แล้วจางหายไปในกาลเวลา ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
เมื่ออ่านบทความของนีลเซนแล้ว ฉันก็อดยิ้มด้วยความทึ่งไม่ได้ว่า นี่เขาไปค้นคว้ามาได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ แต่ถ้าพูดอีกที คนที่เก่งพอ ๆ กันกับคนค้นก็คือคนที่เก็บเอกสารหลักฐานเหล่านี้เอาไว้ด้วย เพราะแง่มุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีใครเอาใจใส่ ในบางครั้งก็เป็นแง่มุมที่น่าค้นหาอยู่ไม่น้อย ด้วยบางมุมที่แสนจะธรรมดา อย่างเขาชอบอะไร มีงานอดิเรกอะไร ใช้ข้าวของแบบไหน ก็เป็นภาพสะท้อนการใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นได้อย่างหนึ่ง และแน่นอนว่า บางครั้ง เราก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปว่าเขากินอยู่อย่างไรบ้างเช่นกัน
“ต้นเดือนพฤศจิกายน ปี 1902 ห่อพัสดุเล็ก ๆ ถูกส่งจากเมืองโอเดนส์ ประเทศเดนมาร์ก สู่สยาม โดยทางเรือของบริษัทอีสต์เอเชียติก... แต่ ร.อ. เจนเซนผู้รับนั้นตายเสียแล้ว ห่อพัสดุนั้นจึงถูกส่งต่อไปยังกงสุลเดนมาร์กเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน เมื่อเปิดออก ภายในมีกระป๋องโกโก้ 6 กระป๋อง และรองเท้าบู๊ตหนังคู่ใหม่หนึ่งคู่... แต่คนที่โปรดปรานเครื่องดื่มชนิดนี้และคนที่จำเป็นต้องใช้รองเท้าคู่นั้นไม่เคยได้รับ”
น่าเสียดายที่พัสดุนั้น ส่งคลาดเวลากันกับช่วงเวลาที่ผู้มีชื่อรับของนั้นยังมีชีวิตอยู่เพียงเดือนเดียว
แม้จะไม่ได้บอกว่าใครเป็นผู้ส่ง แต่เป็นที่แน่นอนว่า พัสดุจากเมืองโอเดนส์ดังกล่าวเป็นของที่ทางครอบครัวของเขาส่งมาให้จากบ้านเกิดเมืองนอนของเขา และสำหรับคนเป็นผู้หญิงอย่างฉัน ก็พอจะคาดเดาจากข้อมูลดังกล่าวได้ว่า คนที่รู้ดีว่าเราชอบอะไร เอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน และจำได้แม้กระทั่งว่าเขาใส่รองเท้าเบอร์ไหน อย่างไรถึงจะพอดี คงจะมีแต่แม่เท่านั้น
นอกจากเรื่องของพัสดุที่ส่งมาแล้วไม่เคยไปถึงมือผู้รับ... จากการค้นคว้าของนักข่าวชาวเดนมาร์กมีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวและการศึกษาของเขาอย่างละเอียดพอสมควรด้วย
ฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซน เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน ปี 1878 ที่เขต Vindegade เมือง Odense ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของเดนมาร์ก และเป็นบ้านเกิดของนักเขียนเทพนิยายอย่างฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซนด้วย
บิดาของฮันส์ซึ่งมีอาชีพที่จดแจ้งไว้ในทะเบียนราษฎร์ว่าเป็นช่างไม้ ชื่อราสมุส เจนเซน (Rasmus Jensen) มารดาชื่อ มารี เจนเซน (Marie Jensen) เป็นแม่บ้าน มีพี่สาวหนึ่งคนไม่ปรากฏชื่อ กับแม่บ้านอีกหนึ่งคน และมีฟาร์มอยู่ในเขตชานเมืองด้วยอีกแห่งหนึ่ง
เดิมทีนั้น ฮันส์ไม่ได้เริ่มต้นศึกษาวิชาทหารเสียทีเดียว เพราะเขาเรียนมาด้านการเป็นสมุห์บัญชี แต่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร และได้สังกัด The Royal Life Guards (Den Kongelige Livgarde) กองทหารรักษาพระองค์ที่โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก จากนั้น จึงเข้าศึกษาในสถาบันทางการทหาร และติดยศร้อยตรีเมื่อปี 1989 จนกระทั่งปี 1900 จึงได้ย้ายมารับราชการในกรมตำรวจภูธรสยาม
ไม่มีใครรู้ว่า อะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำงานไกลถึงเพียงนี้...
ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินของครอบครัว มีเพียงข้อเท็จจริงว่า เขายังไม่ได้แต่งงาน และบิดาเพิ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้าที่เขาจะตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย เพราะฉะนั้น ญาติที่เหลืออยู่ที่เดนมาร์กจึงมีเพียงพี่สาวและมารดา
ข้อสันนิษฐานหนึ่งที่เป็นไปได้ ก็อาจเป็นเพราะโอกาสก้าวหน้าในการทำงานของชาวเดนมาร์กในกรมหรือกองทหารของไทยในสมัยนั้นมีอยู่ค่อนข้างสูง และชาวเดนมาร์ก ซึ่งเป็นประเทศเป็นกลาง ไม่มีวัตถุประสงค์หรือข้อขัดแย้งในเรื่องการล่าอาณานิคม ที่เข้ารับราชการในสยามก็ต่างอยู่ในระดับของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น กุสตาฟ เชา หรือนายพันโทพระยาวาสุเทพ เจ้ากรมตำรวจภูธร เป็นต้น
สำหรับฉันแล้ว การตัดสินใจเดินทางไปในที่ที่ไม่เคยไป เพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งยังไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรของเขานั้น ฉันคิดว่า ฉันพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เพราะฉันก็เคยมีช่วงเวลาที่จะต้องตัดสินใจไปเรียนต่อในต่างประเทศ แม้จะไม่เสี่ยงภัย แต่ก็ต้องคิดมากพอสมควร
การไปเรียนต่อในเมืองที่มีคนไทยไม่เกินห้าสิบคน ทั้งมหาวิทยาลัยมีนักเรียนไทยอยู่ประมาณยี่สิบคน และฉันเป็นคนไทยคนเดียวในคณะ ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเลย... เทียบกันแล้ว ก็คงไม่ต่างจากเขามากสักเท่าไหร่
ถ้าไม่ไปก็เท่ากับว่าฉันทิ้งโอกาสที่อยู่ใกล้แค่มือเอื้อม แต่การไปที่ว่าก็อาจเท่ากับต้องให้ใครบางคนรออยู่ข้างหลัง แต่เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างเหมาะสม และมีบางสิ่งบอกว่า ถึงเวลาแล้ว เมื่อนั้นการตัดสินใจว่า ‘ต้องไป’ คือ การตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเกินไปข้างหน้าโดยไม่เปลี่ยนใจอีก
ท้ายที่สุด คำพูดที่บอกตัวเองว่า ‘ยังไงก็ต้องไป’ คือคำตอบที่กำหนดชะตาตัวเองและเป็นเหตุผลของการตัดสินใจก้าวข้ามไปสู่โลกอีกใบหนึ่งที่เราเกือบไม่รู้จักเลยอย่างแท้จริง เพื่อทำอะไรสักอย่างที่เราควรจะทำ... เท่านี้เองจริง ๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือ คำอนุญาตจากคนในครอบครัว... ขอแค่คำว่า ‘ทำเลย’ หรือ ‘ไปเลย’ แค่นี้ การตัดสินใจที่เคยยากเย็นมากมายก็กลายเป็นง่ายดายขึ้นมาทันที
ทั้งนี้ เหตุผลของฉันกับเหตุผลของเขาอาจไม่เหมือนกันเลยก็ได้
ไม่ว่าจะจากเดนมาร์กมาด้วยเหตุผลใด ปลายเดือนธันวาคม ปี 1900 ร.ต. ฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซน ก็เดินทางมาถึงสยาม และรับราชการในกรมตำรวจภูธร ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนายพันโทกุสตาฟ เชา โดยติดยศนายร้อยโท แล้วไปประจำการที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นแห่งแรก ขณะอายุยี่สิบสองปี และโยกย้ายไปในจังหวัดต่าง ๆ ตั้งแต่ปราจีนบุรี อยุธยา มาจนกระทั่งมาประจำการที่จังหวัดเชียงใหม่ในตำแหน่งครูฝึกตำรวจภูธร ในช่วงต้นปี 1902
ในส่วนของการใช้ชีวิตนั้น เฟลมมิง วินเธอร์ นีลเซน ผู้เขียนบทความและค้นคว้าเกี่ยวกับ ร.อ. เจนเซนได้บรรยายถึงสมบัติส่วนตัวที่เขานำติดตัวไปในการรับราชการแต่ละแห่งว่ามีอะไรอยู่บ้าง ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากสิ่งของส่วนตัวของแต่ละคนก็สามารถสะท้อนลักษณะการใช้ชีวิตและความสนใจของบุคคลนั้นได้อยู่เหมือนกัน
ส่วนใหญ่แล้ว ข้าวของของเขามีเฉพาะของใช้จำเป็นเท่านั้น เช่น มุ้ง เต็นท์ กล่องใส่ของสำหรับเดินทาง โต๊ะไม้แบบเรียบ ๆ ที่นอน เตาแบบพกพา สเปอร์ติดรองเท้า เครื่องครัวที่จำเป็น เป็นต้น แต่จะมีบางอย่างที่พิเศษอยู่บ้าง ก็เช่น พระพุทธรูป หนังสือแผนที่แอตลาส กล่องบุหรี่ กล่องซิการ์ และรูปถ่ายที่เข้ากรอบไว้แล้วสิบรูป ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นภาพถ่ายครอบครัวที่เดนมาร์ก
เมื่อพิจารณาแต่ละรายการแล้ว... ‘สมบัติ’ ของฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซน เรียกได้ว่า ‘เรียบง่าย’ และ ‘ธรรมดา’ มากทีเดียว แทบจะไม่มีทรัพย์สินมีค่าในด้านของราคาเลย...
ในช่วงกลางค่อนไปทางปลายปี 1902 นั้นเองที่มีเหตุจลาจลสำคัญอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในมณฑลพายัพ โดยเฉพาะทางลำปาง พะเยา และแพร่ และเหตุการณ์นี้เองที่ ร.อ. ฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซนได้รับคำสั่งให้ไปดูแลสถานการณ์ที่ลำปาง
เสี้ยวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับผลงานสำคัญของนายตำรวจไทย เชื้อชาติเดนมาร์กผู้นี้ได้เริ่มต้นขึ้นและถูกจารึกไว้ที่นั่น...
================= (จบตอนต้น) ================
ภาพ ร.อ. ฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซน จากวารสาร ScandAsia Denmark - December 2009 (January 19, 2010)
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 15:51:50
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 15:48:29
จากคุณ |
:
ปิยะรักษ์
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ต.ค. 55 15:08:11
|
|
|
|
|