Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โกกิลาเยี่ยมรุ่ง บทแรก ติดต่อทีมงาน

ใกล้งานสัปดาห์หนังสือเข้าไปทุกทีแล้ว...
ก่อนจะต่อด้วยล่องกัลปาลัย ในวันนี้ เลยขอถือโอกาสนำบทแรกของ โกกิลาเยี่ยมรุ่ง มาลงไว้เป็นที่ระลึกให้เพื่อนนักอ่านได้ลองชิมลางดูก่อนนะครับ
       แต่เรื่องนี้ต้องขออภัยที่ไม่ได้ลงต่อส่วนที่เหลือ เพราะมีการแก้ไขต้นฉบับจากไฟล์ค่อนข้างมากเลยครับ และพอดีไม่ได้บันทึกเก็บไว้

        ฝากนิยายอิงหลักธรรมสมัยพุทธกาลเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ

ปล. สำหรับเพื่อนนักอ่านที่จะไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ผมแจ้งกับทางสำนักพิมพ์ไปว่าจะมาที่บู๊ตใน วันเสาร์ ที่ 20 นี้ครับ ช่วงบ่ายๆ แต่ เท่าที่ทราบโกกิลาเยี่ยมรุ่ง น่าจะออกวางแผง ประมาณ กลางสัปดาห์ครับ อย่างไรก็แวะทักทายกันบ้างนะครับ

ส่วนภาพปก ถ้าได้รับแล้วจะรีบนำมาลงให้ชมกันเลยครับ
                     *******************

        ข้าพเจ้าได้สดับมาดั่งนี้

           ...ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหาร เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี แห่งพระนครสาวัตถี...


บทที่ 1


       ณ กาลบุพพัณหสมัย ยามแสงเหลือบสีชมพูอ่อนแห่งอุษาโยคฉายขึ้นจับขอบฟ้าเบื้องบูรพทิศแล้วกราดรัศมีอันอ่อนโยนจากผืนโพยมลงมาโลมไล้แผ่นปฐพีเพื่อปลุกให้สรรพชีวิตได้ฟื้นตื่นจากนิทรารมณ์อันเยือกเย็นตลอดราตรีกาลยาวนานที่ผ่านมา


        เมื่อนั้นลำแสงอันมีครุวนาดั่งละอองสุวรรณชาติ ก็สาดลำกระทบพื้นแผ่นศิลาแห่งป้อมปราการหมู่เชิงเทินราชธานีอันเก่าแก่แลรุ่งเรืองแห่งแคว้นโกศล ให้ปรากฏกระจ่างจ้า ประหนึ่งฉานรัศมีเลื่อมพรายขึ้นเองได้ฉะนั้น



       บัดนี้ประตูเมืองสาวัตถีอันสูงใหญ่ตระหง่านเงื้อมได้เปิดกว้างออกแล้ว โดยมีนายโทวาริกหรือผู้ดูแลการผ่านเข้าออกพระนคร ออกมาคอยยืนกำกับตรวจตราผู้สัญจรผ่านเข้ามาในเขตพระนครอย่างแข็งขัน


       แสงตะวันอ่อนละมุนเริ่มฉายพลังแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆทุกขณะพร้อมกับการโคจรขึ้นสู่กึ่งกลางนภมณฑล ในขณะที่บรรดาผู้สัญจรแรมทาง ทั้งนายวาณิช และนายกองเกวียนที่มาตั้งขบวนรั้งรออยู่ยังลานหน้าพระนคร ล้วนมีท่าทีขมีขมันที่จะได้เดินทางผ่านเข้าสู่ภายในเขตพระนคร สรรพเสียงพูดคุย สนทนา แลเสียงกระดึงจากคอโค ที่นายกองเกวียนกำลังเทียมโคเข้าแอก แลลากดึงพวกมันให้พวกมันเดินตามกันมา ต่างดังขรมจนฟังแทบมิได้ศัพท์ ทุกสรรพชีวิตต่างตื่นขึ้นรับอรุโณทัยของวันใหม่อย่างชื่นบาน แตกต่างจากบรรยากาศมืดครึ้มเยียบเย็นในกลางราตรีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง


         ภัททิยะเป็นไวศยบดีหรือหัวหน้านายกองเกวียนผู้นำขบวนคาราวานสินค้า เดินทางค้าขายมาจากแคว้นกาสี ภายหลังจากตกแต่งกายาแลปฏิบัติภารกิจประจำตนเสร็จสิ้นก็รีบออกจากอาวสถะ หรือที่พักผู้เดินทางซึ่งตั้งอยู่ยังฝั่งประตูด้านบูรพาทิศตั้งแต่แสงอรุโณทัยยังมิแจ้ง นำขบวนเกวียนทั้งหมดออกเดินทางมารั้งรอคอยอยู่ เพื่อรีบเร่งผ่านเข้าไปยังตลาดสินค้ายามเช้าใจกลางพระนครสาวัตถี


        ชายสูงวัยเร่งฝีเท้า เดินตรวจตราความเรียบร้อยทั้งปวงในฐานะไวศยบดี อันเป็นตำแหน่งหัวหน้าพ่อค้าแห่งนายกองเกวียน รวมถึงทักทายปราศรัยกับบรรดาสหายนายวาณิชทั้งหลายด้วยสาราณียกถา*ตราบจนดำเนินไปถึงเกวียนเล่มสุดท้ายของขบวนก่อนออกเดินทาง ระหว่างนั้นบรรดานายวาณิชผู้ติดตามทั้งหลายก็หันมาทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยความเคารพนับถือ บ้างก็ง่วนกับการตรวจสินค้าที่นำมาจากกาสี เพื่อที่จะนำไปจำหน่ายยังตลาดพระลานหลวง ใจกลางกรุงสาวัตถีอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ด้วยอาการอันตื่นเต้นยินดี
         

   เพราะระหว่างการเดินทางอันยาวนาน จากกาสีอันเป็นแคว้นมาตุคาม ผ่านเข้าสู่ราชคฤห์ของแคว้นมคธ มุ่งสู่เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีและมาถึงยังนครสาวัตถีแห่งแคว้นโกศลในบัดนี้ ถ้าหากสินค้าของตนสามารถจำหน่ายได้หมดสิ้นที่สาวัตถีในครานี้เลย ก็จักมิต้องเดินทางไปสู่วังสะต่อไป แต่สามารถย้อนกลับลงมายังแคว้นกาสี อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนได้ในทันที


         “ข้าแต่นายท่าน ภัททิยะ ข้าหวังเหลือเกินว่าพวกเราจะสามารถค้าขายภูษาอาภรณ์ได้หมดสิ้น ณ ที่เมืองนี้เสียที ใจข้าเองห่วงพะวง อยากจะกลับคืนสู่เคหาในเร็ววันเต็มทีแล้ว คิดถึงสาวิตรี ภรรยาที่เฝ้ารอคอยอยู่ยังพาราณสีเหลือเกิน”


         วินธัยมาณพ ผู้ที่อ่อนอาวุโสที่สุดเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากก้าวลงมาจากเกวียนของตน มาณพหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าคมสันแลอ่อนเยาว์ที่สุดในขบวนคาราวานนี้ รวมถึงเป็นที่เอ็นดูแก่นายกองเกวียนที่รักใคร่เสมือนบุตรคนหนึ่งเลยทีเดียวเนื่องด้วยบิดาของวินธัยผู้ถึงกาละไปแล้วก็เป็นสหายรักของภัททิยะมาก่อน


        บัดนี้วินธัยสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วเหลือเพียงผ้ากัมพลที่เตรียมจะตวัดขึ้นโพกมวยผมบนศีรษะเพียงเท่านั้น มาณพหนุ่มหันมาเบิกสายตามองกำแพงพระนครอันสูงตระหง่าน สมกับราชธานีอันยิ่งใหญ่ของมหาแคว้นแห่งชมพูทวีป ด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงรื่นรมย์ตามวัยแรกดรุณที่ยังตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่รอบด้าน


       ภัททิยะหัวเราะหึหึในลำคอ เข้าใจหัวอกของมาณพหนุ่มที่เพิ่งเข้าพิธีการวิวาหะกับ สาวิตรี นางผู้เป็นภรรยาได้มินาน แล้วจำต้องจากมาเพื่อทำหน้าที่นายวาณิช หาเงินตรามาจุนเจือครอบครัวอยู่ไม่น้อย


           ชายสูงวัยลูบเครายาวสีขาวเงินของตนเอง มืออีกข้างหนึ่งแตะลงที่บ่ากว้างของอีกฝ่ายอย่างปรานี ก่อนนั่งลงยังกระดานไม้


            “ดูก่อน วินธัยเอ๋ย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี ธรรมดาบุรุษหนุ่มผู้ห่างไกลภรรยาอันเป็นที่รักก็ย่อมจะมีใจห่วงหา กังวล และรุ่มร้อนไปหมด ข้าเองก็เคยผ่านสภาวะเช่นเจ้ามาแล้ว มิได้แผกกันเลย วินธัยมาณพ เจ้าจักต้องตระหนักในหน้าที่ของตนเองเป็นประการแรก เพื่อให้ประสบผลสัมฤทธิ์เสียก่อน ด้วยภาระที่พวกเรานายวาณิชทุกคนต้องกระทำให้ลุล่วง”


           ชายชราชี้มือขึ้นไปยังกองสัมภาระที่มัดรวมไว้เป็นหีบห่ออย่างเรียบร้อยบนกองเกวียนเล่มก่อนหน้า


             “เห็นไหมเล่า ทั้งผ้าไหมกาสิกพัสตร์ที่พวกเรานำมา แลแพรพรรณอื่นๆ ล้วนแต่มีค่าและราคา ถ้าหากขายได้จนหมดสิ้น พวกเราก็จะมีเงินตรากลับไปยังพาราณสี และมีโอกาสได้พักผ่อนอีกนานเลยทีเดียว เพียงแต่ตอนนี้ เจ้าต้องรู้จักอดทนรอคอยเสียก่อน”


          “ข้าจะอดทนตามคำสอนของท่าน ภัททิยะ เพื่อรอให้ถึงวันนั้นโดยเร็ววัน”


         สายตาของมาณพหนุ่มทอดมองย้อนกลับไปยังทิศบูรพาด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ใจคอปลิวละล่องกลับไปถึงสาวิตรี ผู้เป็นภรรยาแทบทุกลมหายใจเข้าออก ปรารถนาให้นางมายืนหยุดอยู่หน้ากองเกวียนแห่งนี้เหลือเกิน


          “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็จงเร่งนำโคมาเทียมแอกกับเกวียนสินค้าของเจ้าได้แล้วกระมัง ประตูเมืองกำลังจะเปิดในมิช้า พวกเราจะได้เข้าไปยังลานขายสินค้าพร้อมกัน”
เมื่อนั้นเฒ่าภัททิยะ เพิ่งสังเกตเห็นว่า ใบหน้าอันควรสดใสแจ่มกระจ่างของมาณพหนุ่มวินธัยกลับมีร่องรอยพิรุธบางอย่าง...


           “หรือว่าเจ้ามิต้องการเข้าไปยังสาวัตถี?”


          “หามิได้ดอก ท่านภัททิยะ เพียงแต่ว่า ข้า...”


              สายตาที่แจ่มจ้าเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนไปจนจับพิรุธนั้นได้ชัดเจน เมื่อหันหน้าเบนกลับเข้าไปยังบริเวณหลังประทุนเกวียนด้านในที่บัดนี้คลุมผ้ามิดชิดเอาไว้อย่างเป็นปริศนา...


              *************************


            ณ ศุณฑาคาร อันเป็นสำนักนางคณิกาที่ใหญ่โตที่สุดแห่งกรุงสาวัตถี นางอัมพวัน นางหัวหน้าคณิกาและเป็นเจ้าของสำนักแห่งนี้ รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นตั้งแต่แรกแสงปัจจุสมัยปรากฏ และฉายรัศมีแห่งอุษากาลลอดผ่านม่านหน้าต่างห้องพักของนางเข้ามา หญิงสูงวัยผู้มีเรือนกายอวบอ้วนแข็งแรง เร่งตวัดชายผ้าส่าหรีขึ้นพันทบศีรษะอันหงอกขาวที่ขมวดมุ่นเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย นางบรรจงเสียบปิ่นปักผมราคาแพงที่ประดับประดาด้วยเอกอัญมณี อันประกอบด้วยปัทมราชและมรกตเป็นลวดลายบุปผาอันสวยงามอ่อนช้อยเข้าไป แล้วจึ่งจรลีลงมายังชั้นล่างของมหาปราสาท**


                 บรรดาห้องหับต่างๆที่นางคณิกาใช้บริการปวงบุรุษทั้งหลายยังคงปิดสนิทปราศจากแสงประทีปตามน้ำมันเหมือนกับในยามราตรี ทุกอย่างในห้องโถงด้านล่างจึงเต็มไปด้วยขวดสุราและจอกเมรัย วางกันกล่นเกลื่อนพื้น แต่นางอัมพวันก็หาได้สนใจไม่ ในเช้าวันนี้ คือเวลาที่นางมีกิจสำคัญจะต้องออกไปพบปะอาคันตุกะที่กำลังจะมาเยือนยังจุดนัดหมาย พร้อมกับสินค้าชิ้นสำคัญที่จะถูกส่งมาจำหน่ายที่นี่โดยเฉพาะ


          “นายแม่อัมพวันเจ้าคะ”


           เสียงเรียกดังมาจากด้านหนึ่งของห้อง และบานประตูที่เปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อยก็ค่อยเลื่อนกว้างออก หัวหน้านางคณิกาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ


“มธุมาลตี? ไฉนเจ้าจึงมารอคอยข้าอยู่ตั้งแต่รุ่งสางเช่นนี้ มีกิจสำคัญอันใดเล่า จงบอกมาเถิด”


       มธุมาลตีคือยอดคณิกา ผู้ที่ทำรายได้ให้กับสำนักศุณฑาคารแห่งนี้สูงสุด ด้วยรูปโฉมสะพรั่งแม้จะเลยวัยกำดัดดรุณีมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในเชิงนาฏศิลป์รำฟ้อน รวมถึงการปรนนิบัติเอาใจบุรุษผู้มาเยือนด้วยคณิกาศาสตร์อันช่ำชอง ทำให้ค่าตัวของนางสูงละลิ่วถึงนับพันกหาปณะต่อการร่วมอภิรมย์เพียงชั่วราตรี


                  เห็นจะมีแต่เพียงองค์มหาราชา เจ้าชาย เสนาบดี และบรรดาคฤหบดีผู้มั่งคั่งเท่านั้นที่มีโอกาสได้รับการปรนนิบัติหาความสุขสมจากนาง ด้วยเหตุนี้นางอัมพวันจึงทะนุถนอมเอกคณิกานารีผู้นี้เสียยิ่งกว่าหญิงนครโสเภณีนางอื่นทุกนางในสำนักมารวมกัน


          “นายแม่จักไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ?”


          นัยน์ตาใสแจ่มกระจ่างประดุจดาวกฤติกากำจายแสงแห่งความฉงนฉงายออกมาชัดเจน จนนางอัมพวันยังต้องเบนหลบ มธุมาลตีดอกนี้นอกจากหอมหวานขจรขจายกลิ่นประหนึ่งน้ำผึ้งรวงแล้ว ยังเฉียบคมด้วยกริยามารยาทแลการสังเกตสิ่งผิดปกติ ก็หาได้รอดพ้นสายตานางไปได้ไม่ เสียแต่เพียงอารมณ์อันร้อนรนวูบไหว ที่มักแสดงออกในยามเผลอตัวเท่านั้น ที่ทำให้นางอัมพวัน อดเป็นห่วงมิได้


        “ดูก่อนมธุมาลตีลูกรัก แม่มีธุระจักต้องออกไปข้างนอกสักครู่”


        “แม้แต่เพิ่งย่างเข้าสู่ประจุสมัยกาลเช่นเพลานี้ เชียวหรือเจ้าคะ?”


        นางอัมพวันจำต้องพยักหน้ารับโดยมิอาจเอ่ยอันใดออกมาให้เป็นพิรุธได้อีก และเมื่อนั้นเองนางมธุมาลตีก็เคลื่อนกายเข้ามาจนประชิดหญิงผู้อวบท้วมสมบูรณ์ เสียงหวานใสปานนกโกกิลา กังวานเสนาะขึ้น และนางอัมพวันยังสาถึงกลิ่นหอมแห่งสุคันธมาลาที่มธุมาลตีประคบอบร่ำกายา จนทำให้ผิวกายหอมตลบอบอวลตลอดทั้งทิวาและราตรีกาล จนเป็นที่ร่ำลือว่านางคณิกาผู้นี้ นอกจากเจนจบในกระบวนแห่งนาฏยศาสตร์และคันธรรพศาสตร์การดนตรีแล้ว ยังทรงด้วยรูปโฉมกลิ่นกายอันมิเคยเหือดจาง จนเป็นที่สนิทสิเน่หาแก่ปวงบุรุษทั้งหลายในพระนคร รวมถึงแว่นแคว้นใกล้เคียง จนต้องมาเยี่ยมเยือนสำนักศุณฑาคารแห่งนี้อยู่เป็นนิจ


             แต่สิ่งหนึ่งที่บุรุษเหล่านั้นมิเคยสำเหนียกก็คือ นางมธุมาลตีเอง หาได้เคยมอบหัวใจให้แก่ผู้ใดไม่ นางยังคงเก็บงำความรู้สึกแท้จริงของตนเองเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ และแสดงออกแต่เพียงมารยาปฏิบัติเพื่อสร้างความลุ่มหลงพึงใจแก่ผู้มาเยือนสำนักคณิกาเพียงประการเดียว


          “ท่านมิต้องปดข้าดอก ข้าทราบความจริงทั้งหมดแล้ว นายแม่อัมพวันเจ้าขา”
ยามนางแย้มรอยยิ้มช่างอ่อนหวานฉอเลาะยิ่งนัก หากในยามนี้นางอัมพวันกลับรู้สึกถึงสายตาคมกล้าราวลูกธนูที่พุ่งดิ่งตรงเข้าสู่ทรวงของนางเป็นเป้าหมาย ลูกศรที่อาบเคลือบด้วยความหวานเจือยาพิษ!


           “ท่านนัดหมายกับสุสิมะวาณิชเฒ่าใช่ไหม? มิน่าเล่าคราวนี้ถึงได้ทำทีลับลมคมนัยยิ่งนัก มันนำนางผู้ใดมาแลกเปลี่ยนสินค้ากับท่านกันหนอ? เห็นทีว่าคงจะมิใช่ดรุณีผู้โสภาเพื่อมาทดแทนตำแหน่งเอกคณิกาของข้าฤากระมัง?”


            อัมพวันฝืนฉีกรอยยิ้มอย่างพยายามปลอบประโลมแล้วจึงตรงเข้ามาลูบหลังลูบไหล่นางมธุมาลตีด้วยอาการอันอ่อนโยน


      “โถ... มธุมาลตี บุตรีข้าเอ๋ย เจ้าครุ่นคิดกังวลจนมากเกินไปเสียแล้ว จักมีนางผู้ใดกันเล่าที่ทรงรูปโฉมได้เท่าเทียมกับเจ้าอีก ข้าเห็นเหล่าปวงบุรุษทุกผู้ ต่างก็ลุ่มหลงในมารยาเสน่หาแห่งเจ้าจนถอนตัวมิขึ้น”


         นางเอ่ยสะดุดเพียงเล็กน้อย เมื่อกล่าวถึงคำว่า “บุรุษทุกผู้” แต่ก็มิได้เป็นที่สงสัยของมธุมาลตี เมื่อนางคณิกาเอกเบี่ยงกายออกมาอย่างนุ่มนวล


       “แต่ถ้าเช่นนั้น ไยท่านจึงต้องไปพบกับสุสิมะด้วยเล่า ในเมื่อมันก็มิได้ประกอบการค้าอื่นใด นอกจาก...”


สายตาของหัวหน้านางคณิกาเหลือบไปทางด้านหลัง และเห็นเงาตะคุ่มอีกเงาหนึ่งแทรกอยู่ระหว่างเสาเรือน นางจดจำได้ในทันที อัมพวันส่งเสียงร้องตวาดออกมาโดยพลัน


“อิลาเจ้าจงออกมาจากที่ซ่อนเดี๋ยวนี้ เป็นเจ้าเองใช่ไหมที่บอกเล่าเรื่องข้าให้กับมธุมาลตีได้ฟัง ช่างสอดรู้สอดเห็นเสียยิ่งนักนะ เจ้าบัณเฑาะก์!”


          ประโยคสุดท้ายที่นางอัมพวันเรียกด้วยอารมณ์ขุ่นขึ้งนั้น ทำให้ร่างนั้นยิ่งมีอาการกระฟัดกระเฟียดยิ่งขึ้น แท้จริงอิลาเป็นเพียงเด็กรับใช้ในสำนักคณิกาตั้งแต่ยังเป็นทารกแบเบาะ มารดาของมันก็คือหญิงคณิกาที่เคยทำงานอยู่ในสำนักของนางมาก่อน แต่ภายหลังจากคลอดเจ้าอิลาไม่นาน นางก็เสียชีวิตไปด้วยโรคอิสตรีอันลุกลามเกินกว่าจะตามแพทย์มาดูแลรักษาได้ทัน


         ส่วนเจ้าอิลานั้น ก็หาใช่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอิตถีเพศแต่ใดไม่ มันนับเป็นเพียงไถยสังวาส*** ผู้ปรารถนาจะเป็นสตรีในร่างบุรุษ มีอาการกระตุ้งกระติ้งมากจริตราวอิสตรีเช่นนี้มาตั้งแต่เยาว์วัย ซ้ำยังชอบสวมใส่เสื้อผ้าแพรพรรณของสตรี จนบุรุษบางคนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางหาได้มีอิตถีนิมิต**** เหมือนกับสตรีทั่วไปไม่


          ด้วยมีอาการกระเดียดไปทางหญิงมากกว่าชาย ชมชอบการแต่งกายด้วยอาภรณ์แห่งสตรี เพื่อปกปิดเพศที่แท้จริง การที่นางอัมพวันเคยเรียกมันว่าบัณเฑาะก์ อันหมายถึงผู้ถูกตัดอวัยวะเพศของตนออก จึงเป็นสิ่งที่มันเคียดขึ้งนักหนา ซ้ำชื่ออิลาที่นางตั้งนามให้แก่มันในภายหลังนั่นก็มาจากตำนานเรื่องของท้าวอิลราช ผู้กลายเพศเป็นหญิงเสียอีก


       หากแต่เกรงด้วยอำนาจของหัวหน้านางคณิกาเจ้าสำนักที่ชุบเลี้ยงมันมาตั้งแต่แบเบาะ อิลา จึงมิกล้าเอ่ยตอบโต้อันใดให้รุนแรงตามความรู้สึกที่แท้จริงของตน นอกจากจีบปากคอเถียงไปตามวิสัย พอมิให้เห็นว่ายอมตกเป็นฝ่ายถูกกล่าวหาเพียงลำพัง


“ข้าแต่ แม่นายอัมพวัน ข้าหาได้โพนทะนาเรื่องของท่านแก่นางมธุมาลตีไม่ ท่านอย่ามาหาความใส่ข้าเช่นนั้น”


“แล้วนางรู้ได้อย่างไร ถ้ามิใช่จากคำเจรจาของเจ้า”


“นางอาจจะได้ยินคำสนทนาของแม่นายเองก็เป็นได้”


         นางอัมพวันโบกมือเพื่อยุติการสนทนา ที่รู้ว่ารังแต่จะทำให้ยืดเยื้อยากยุติ เมื่อเจ้าอิลายังคงดื้อแพ่ง เอ่ยวาจาโต้เถียงมิยอมลดละ อุปนิสัยอันสอดรู้สอดเห็นและชอบเอ่ยปิสุณาวาจ ส่อเสียดยุแยงผู้อื่นก็ทำให้นางอ่อนใจอยู่มิน้อย แต่ ณ ขณะนี้ก็ใกล้เวลานัดหมายกับสุสิมะแล้ว


“พอได้แล้ว อิลา เจ้ามีกิจธุระใดก็เร่งกระทำเข้าเถิด นี่ก็ใกล้เวลาที่นางคณิกาอื่นจะตื่นขึ้นมากันแล้ว อย่าได้ชักช้า มัวเจรจามากความอยู่ก็ไม่เห็นจะได้การณ์ ลืมไปแล้วหรือไรว่าเจ้าเองก็ยังมีชนักติดหลังอยู่ด้วย”


         ได้ผลเมื่อคำพูดของนางทำให้บุรุษลักเพศถึงกับหน้าเจื่อนลงไปเมื่อรู้ “ความนัย”ของอีกฝ่าย


    แต่นางก็มิทันได้สังเกตเห็นประกายตาของมธุมาลตีที่มองสบกับสหายผู้ลักเพศอย่างมีนัยแก่กัน ได้แต่ดึงผ้าส่าหรีขึ้นคลุมไหล่แลศีรษะของตนแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกจากสำนักคณิกาไปอย่างเร่งร้อน...


                 *********************


        สุสิมะเป็นชายสูงวัยที่ประกอบอาชีพการค้าขายทาส โดยเฉพาะนางทาสีผู้อยู่ในวัยแรกดรุณมาตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่มฉกรรจ์ มันออกเดินทางไปมาระหว่างแว่นแคว้นต่างๆในมัธยมประเทศจนเชี่ยวชำนาญเส้นทาง และไม่เกรงกลัวต่อโจรผู้ร้ายที่ดักปล้นสะดมในระหว่างทางเหมือนกับพ่อค้าวาณิชผู้อื่นจะเกรงกลัวกัน


    ในเมื่อความจริงแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรให้ปล้นชิง ทั้งทรัพย์สินแลสินค้ามีราคาใดๆ นอกจากสินค้ามนุษย์!!


   หากในเวลานี้ สิ่งที่มันไม่เคยกริ่งเกรงกลับบังเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เมื่อ “สินค้า” คนสำคัญผู้หนึ่งซึ่งมันตั้งราคาไว้สูงสุดสำหรับนำมาจำหน่ายให้กับนางอัมพวัน กลับถูกดักชิงตัวตัดหน้าไปก่อนหน้าเพียงไม่กี่ราตรี


อาจจะเป็นด้วยความประมาทของมันเอง ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับโจรนอกรีตกลุ่มนี้มาก่อน พวกมันต่างตระเตรียมวางแผนการมาอย่างดี ระหว่างที่มันกำลังพักเตรียมเสบียงและพักผ่อนหลับนอนก่อนหน้าถึงเมืองสาเกตของท่านธนัญชัยเศรษฐีเพียงไม่กี่โยชน์


     ป่าตาลแห่งนั้นร่มครึ้มด้วยพันธุ์ไม้พุ่มและไม้ดอกราวกับวนอุทยาน และเคยเป็นแหล่งพักของขบวนพ่อค้าวาณิชที่สัญจรระหว่างวัชชีกับแคว้นโกศลอยู่เป็นนิจ ณ ที่นั้นมีคิญชกาวสถะอันเป็นปราสาทร้างซึ่งเคยเป็นสถานพักแรมของนักสัญจรแรมทางอยู่ด้วย

         สุสิมะจึงเกิดความชะล่าใจสั่งให้คนงานที่ตามขบวนมาด้วยกันพักแรมในเขตอาคารร้างแห่งนั้นเมื่อพวกมันเดินทางมาถึงสักต้นปฐมยามพอดี หลายคนที่ผ่านการเดินทางรอนแรมมาตั้งแต่ต้นรุ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน จึงผล็อยหลับไป แม้จะมีลางคนคอยอยู่ประจำยามบ้างก็ตาม แต่ก็มิคาดคิดว่าในราตรีกาลนั้น โจรร้ายจะเห่อเหิมถึงกับรมยาพวกมันทุกคนจนหลับสนิท ก่อนจะลักพาตัวสินค้าแสนงามเพียงนางเดียวผู้นั้นไปได้อย่างลอยนวล


กว่าที่สุสิมะจะรู้ตัวตื่นขึ้นตอนรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง และทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว


        ระหว่างนั้นมันจึงรีบติดต่อจารบุรุษ ผู้คุ้นเคยกันให้เป็นฝ่ายติดตามหา โดยยอมตัดใจเสียค่าจ้างจำนวนหลายร้อยกหาปณะ เมื่อนึกถึงราคาของ “สินค้า”ชิ้นนั้น ที่จะนำไปจำหน่ายได้ถึงนับพันกหาปณะเมื่อตกถึงมือผู้รับซื้อ คือนางอัมพวันผู้นี้


“จงเร่งนำนางกุณาลิกากลับมาส่งข้าให้ทันภายในเจ็ดราตรี มิเช่นนั้น เงินตราส่วนที่เหลือของเจ้าก็จะพลอยสูญไปด้วย”


     มันกำชับกับเจ้าอรุษมาณพ จารบุรุษหนุ่มที่ยังชีพส่วนหนึ่งด้วยการเป็นนายพรานป่า ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญพื้นที่ภูมิประเทศในแถบแว่นแคว้นรายรอบแห่งนี้เป็นอย่างดีจนเห็นฝีมือ นอกจากนี้ยังรู้จักนิสัยที่ซื่อตรง มั่นคงในสัจจะของการทำงานร่วมกันมาก่อน จนคิดว่า คงจะได้ “สินค้าชิ้นงาม” กลับคืนมาในสภาพอันไม่บุบสลาย


         ด้วยวิสัยของ “พ่อค้า” ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก สุสิมะเร่งคิดคำนวณถึงผลลัพธ์ที่จะบังเกิดอย่างรอบคอบ ก่อนจะรีบเดินทางเข้ามารอคอยการนัดหมายของนางอัมพวันเพื่อแจ้งเหตุผิดพลาด


        กระนั้นก็รู้ดีว่า หัวหน้าสำนักคณิกาผู้นี้ค่อนข้างเลือกเฟ้นหญิงงาม ราคาดี สำหรับมาปรับแต่งให้เป็นสุดยอดนางคณิกาประจำสำนักอยู่มิใช่น้อย


          อย่างเช่นมธุมาลตี ที่เป็นหญิงงามเมืองราคาสูงลิ่วแห่งสาวัตถีอยู่ในเวลานี้ ในอดีตเมื่อเกือบสิบปีก่อน ก็เป็นเพียงเด็กหญิงวัยแรกรุ่นที่มันนำมาจำหน่ายให้แก่นางอัมพวันเช่นกัน หากเมื่อผ่านการขัดเกลาฝึกสอนในอิตถีแลคณิกาศาสตร์จากนางแล้ว บัดนี้ คราบไคลอันหมองมัวที่เคยจับอยู่บนเรือนเพชรก็ถูกชำระล้างออกจนหมดสิ้น เผยให้เห็นประกายแวววาวเจิดจรัสแห่งมธุมาลตี จนเป็นที่เลื่องลือไปแทบทุกแว่นแคว้นแห่งสิบหกมหาชนบท


ดังนั้นเมื่อเห็นหญิงอวบอ้วนเดินตรงปรี่เข้ามาหา มันจึงยิ่งมีท่าทางกระวนกระวายมากยิ่งขึ้น เหงื่อไหลออกมาจนชุ่มโชกไปทั้งเสื้อและโธตีที่นุ่งอยู่


“ไหนเล่า สุสิมะ นางที่เจ้าส่งหนังสือแจ้งกับข้าไว้ มีนามอันใดหนา? กุณาลิกาใช่ฤาไม่?”


“ใช่แล้วอัมพวัน นางมีนามว่ากุณาลิกา แต่ทว่า...”


        อัมพวันสังเกตเห็นลักษณาการอันผิดปกติจากเดิมของสุสิมะ นางจึงหันมองรอบกายด้วยความสงสัย ภายในบริเวณแห่งนั้นหามีผู้ใดอื่นอีกไม่นอกจากชายผู้ค้าทาสเพียงผู้เดียว


        “นางเพิ่งถูกโจรร้ายชิงตัวไประหว่างการเดินทางเข้าเมืองมาเมื่อคืนก่อนนี้เอง บัดนี้นี้ข้าได้ติดต่อจารบุรุษให้ติดตามหานางกลับมา”


        ท่าทางลิงโลดของหัวหน้าสำนักคณิกา แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอวบท้วมมีสีแดงด้วยเลือดฝาดแต่แรก กลายเป็นเผือดซีดด้วยความผิดหวัง


  “แล้วข้าจะได้ตัวนางกลับคืนมาหรือไม่ บัดนี้ มีสำนักคณิกาอื่นกำลังเร่งเสาะหาสตรีโสภามากหน้าหลายตาขึ้นมาขันแข่ง เพื่อให้ทัดเทียมกับอัมพวันแห่งศุณฑาคารนี้ ลำพังมธุมาลตีเพียงนางเดียว อาจจะไม่เพียงพอที่จะดึงบุรุษทั้งหลายให้เข้ามาแวะเวียน รมณียสถานแห่งข้าได้”


  “มธุมาลตี ยังสาวและสวยอยู่ แม้ว่านางจะดำเนินอาชีพคณิกามาหลายปีแล้วก็ตาม ข้ายังได้ยินชื่อเสียงของนางร่ำลือไปถึงอวันตี จรดเวสาลีเสียด้วยซ้ำ”


        ชายเฒ่าเอ่ยแย้ง

        “ดูก่อนสุสิมะเอ๋ย จริงอยู่ มธุมาลตียังเป็นดอกไม้งามประจำสำนักคณิกาแห่งข้าอยู่เสมอ แต่ไฉนนางอัมพวันจักต้องมีดอกไม้เพียงดอกเดียวเล่าในเมื่อ ข้าเองก็ต้องการเป็นเจ้าของสวนดอกไม้ ที่มีทั้งดอกไม้แย้มบาน และดอกตูมเป็นต้น ทั้งที่ส่งกลิ่นสุคันธรสหอมหวนชวนชื่นนาสา และสีสันเพริศแพร้วพรรณรายหลากหลายผองพันธุ์ เพื่อให้สนองรับต่อความบันเทิงสุขแห่งหมู่ภมร ที่จะเลือกชมได้ไม่จำแนกเผ่าชั้นวรรณะ

         พังมธุมาลตีเองแม้จะเป็นดอกไม้สูงค่าแสนโสภา แต่ก็ต้องมีสักวันที่จักร่วงโรย ข้าจึงต้องเตรียมสรรหามาลีดอกไม้ขึ้นมาทดแทนในอนาคตกาลนั้นด้วยเช่นกัน และข้าก็เชื่อในสายตาแหลมคมของเจ้าโดยเสมอมา สุสิมะเอ๋ย”


          อัมพวันและสุสิมะต่างเป็นสหายที่คบค้าสมาคมกันมายาวนาน ตั้งแต่นางยังมิได้เป็นเจ้าสำนักคณิกา หากเป็นเพียงบุตรีนางอัมพิลาหัวหน้าสำนัก จนสืบทอดกิจการแห่งสำนักในภายหลัง และสุสิมะก็เป็นเพียงนายวาณิชหนุ่มผู้มาท่องเที่ยวหาความสำราญในสำนักศุณฑาคารแห่งนี้ ก่อนจะมีโอกาสสนทนาถูกคอกัน จนกระทั่งนางอัมพวันชักชวนให้นายวาณิชหนุ่มน้อย ติดต่อเสาะหาดรุณีเยาว์วัย และขัดสนเงินทอง มาประกอบอาชีพคณิกา โดยนางจักช่วยฝึกปรือฝีมือให้ด้วยตนเอง


จากนั้น สุสิมะจึงหันมายึดอาชีพนี้เพิ่มเติมจากการเป็นนายวาณิชธรรมดาในเวลาต่อมา ซึ่งก็นำรายได้มาสู่ตัวของมันเองอยู่ไม่น้อย จนไม่อาจยุติอาชีวะนี้ได้สักครั้ง


         คำปรารภของอัมพวัน ผู้เป็นสหายและผู้ว่าจ้าง ทำให้สุสิมะต้องลูบเคราอันขาวโพลนของตนเองอย่างเหนื่อยอ่อนใจ ในความคิดของชายชราผู้ย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัยและพานพบสิ่งต่างๆในโลกนี้มามากมาย ทำให้อดนึกเปรียบเทียบระหว่างสองนางผู้เป็นหัวหน้าสำนักคณิกาผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีปมิได้

        ระหว่างนางอัมพวันแห่งกรุงสาวัตถีแคว้นโกศล กับนางคณิกาอีกผู้หนึ่งที่เป็นญาติสนิทกับนางอัมพวันและประกอบอาชีพหญิงนครโสเภณีเฉกเดียวกันในอดีตกาล ก่อนที่นางผู้นั้นจะมอบกายถวายตนเป็นพุทธสาวิกาอีกนางหนึ่งในพระพุทธศาสนาภายหลัง


นางอัมพปาลี แห่งแคว้นวัชชี…

               ********************
*คำปราศรัยทักทายกัน

** ในสมัยพุทธกาล เรียกเรือนขนาดใหญ่ว่าปราสาท

***คนลักเพศ ถ้าขันที หรือผู้ถูกตอน จะเรียกว่าบัณเฑาะก์

**** เครื่องหมายแห่งเพศหญิง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 18:51:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com