Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
********คิมหันต์อนันตรม******** ตอนที่ ๙ ********** ติดต่อทีมงาน

เย้!!! คำผิดลดลงแล้ว (ว่าแต่จะดีใจเร็วไปมั๊ย) เรื่องนี้มี 31 ตอนนะจ๊ะ

อยากให้ได้อ่านกันเร็วๆ ค่ะ จะพยายามมาลงให้ทุกวันนะคะ

__________________________________________________
ความเดิม
ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12748936/W12748936.html

ตอนที่ 2,3
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12759954/W12759954.html#5

ตอนที่ 4,5
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12774430/W12774430.html

ตอนที่ 6,7
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12792791/W12792791.html

ตอนที่ 8
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12799843/W12799843.html
____________________________________________________

คิมหันต์อนันตรา

ตอนที่ ๙  กลิ่นอุบล-กมลราชา

           นกการเวกร้องทำนองสวรรค์ดั่งเสียงขานกังวานหวานแว่ว ที่ขับกล่อมคิมหันต์ให้ผ่อนคลายหายร้อน พระพายช่วยพัดนำพากรุ่นกลิ่นเจ้าจอมหฤทัยโอบล้อมพระวรกายไว้ด้วยจิตอันโหยหา

องค์ราชันจรดจอกน้ำจัณฑ์ที่ริมพระโอษฐ์จิบลงพอกลั้วพระศอ แม้ทรงแย้มสรวลราวกับว่ารื่นรมย์ดื่มด่ำในรสชาด แม้พระเนตรจะทอดแลเหล่านางหลวงที่ร่ายรำงดงามเทียมนางอัปสร หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าภายในพระราชหฤทัยขององค์เกษมราช กษัตริย์ผู้ครอบครองเมืองสรวง กลับถวิลหานางเพียงหนึ่งเดียวตลอดเวลา ‘กลิ่นอุบล’ นามแห่งนางผู้เป็นดวงกมล

สระน้ำกลางพระราชอุทยานถูกองค์เกษมราชรับสั่งให้ขุดขยายเพิ่มจนกว้างใหญ่ ขึ้นโข บัวทุกกอชูช่อผลิดอกแย้มตระการส่งกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจ ที่กลางสระบัวทรงโปรดให้สร้างพระตำหนักเอาไว้พักผ่อนพระอิริยาบถ ทรงห้ามมิให้ติดพระวิสูตรและให้เปิดพระแกลไว้ทุกบาน เพื่อเมื่อยามพระพายพัดคราใดพระองค์ก็จะได้กลิ่นอันหอมอ่อนละมุนของเจ้าอุบล ที่พระองค์ทรงถวิล

“เจ้าพี่เพคะ หม่อมฉันนำสำรับพระกระยาหารมาถวายเพคะ” สตรีนางหนึ่งผู้ซึ่งงามอรชรนำเหล่านางหลวงที่ต่างถือถาดทองคำอันมีของบริโภค เดินมาถึงเบื้องพระพักตร์ แล้วจัดวางกลางตั่งอย่างรู้หน้าที่จากนั้นจึงรีบพากันสลายตัวออกไปพลัน

“อ้อ...ศิริศรี ขอบใจเจ้ามาก เชิญเสวยเสียพร้อมกันเถิด” องค์เจ้าผู้ครองเมืองละสายพระเนตรจากเหล่านางรำ หันมารับสั่งกับพระมเหสีฝ่ายซ้ายด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนโยน

“ขอบพระทัย เพคะ” พระนางแย้มสรวลรับพระแสรับสั่นนั้น แล้วประทับนั่งอยู่เคียงกัน

ณ พระตำหนักที่ชื่อว่า ‘กลิ่นอุบล’ ที่สร้างอยู่ตรงกลางสระบัวใหญ่ในพระราชอุทยานนี้ ต่างเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า องค์ผู้ครองเมืองสรวงทรงให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ที่พระองค์มีให้แก่นางผู้เป็นดั่งพระราชหฤทัย ‘พระสนมเอก กลิ่นอุบล’ ผู้จากไปพร้อมพระหน่อราชบุตรในพระครรภ์

ยิ่งกว่านั้นในพระตำหนักแห่งนี้ทรงห้ามมิให้พระอัครชายา และพระสนมทุกๆ นางเข้ามาภายในพระตำหนัก เว้นแต่พระนางศิริศรีเท่านั้น พวกบรรดาข้าราชบริพารจึงพากันคิดว่า พระนางนี้แลจักเป็นผู้ก้าวขึ้นมาแทนนางในพระทัย แต่หาได้มีผู้ใดรู้ความจริงไม่ ทั้งสองพระองค์มิเคยร่วมอภิรมย์กันแม้แต่ครั้งเดียว ต่างพระองค์ต่างอยู่ด้วยความเข้าพระทัยในหัวอกเดียวกัน ‘ผู้สูญเสียดวงหฤทัย’

“ลูกๆ ของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” องค์ราชันทรงรับสั่งถามเป็นปกติ

“รามราช กลับมาแล้วเพคะ ส่วนลักษมัน หม่อมฉัน....”

“เฮ้อ...สุมามาลย์ ขัดขวางบ่ยอมให้เจ้าได้เข้าใกล้ พี่ผิดต่อเจ้านักในข้อนี้” องค์ราชันทรงถอนพระปัสสาสะหนักหน่วง ผินพระพักตร์ทอดพระเนตรมองพระนางศิริศรีด้วยความรู้สึกผิดจากพระราชหฤทัยแท้จริง

เมื่อครั้งถูกยโสธรปุระซึ่งมีอำนาจเหนือพระนครในถิ่นแคว้นเกณฑ์ให้ไปช่วยปราบปรามกลุ่มโจรกบฏ พระองค์ต้องทิ้งกลิ่นอุบลที่กำลังตั้งครรภ์แก่ออกไปสู้รบ พร้อมกับพระอนุชา องค์จักรวงศ์ ซึ่งขณะนั้นคือพระสวามีของพระนางศิริศรี โดยทิ้งให้พระนางต้องดูแลพระโอรสฝาแฝดเพียงลำพัง คือ เจ้าชายรามราช และเจ้าชายลักษมัน

ในครั้งนั้นแม้ปราบกบฎสำเร็จราบคาบดี แต่พระองค์ต้องเสียพระอนุชาไปในการรบ ความเศร้าโศกพระทัยยังมิทันจาง ครั้นกลับมาพระนครก็ทรงพบว่ากลิ่นอุบลถูกสังหรด้วยน้ำมือของแก้วโกสุมผู้เป็นสหายรักของนางเอง พระองค์แค้นพระทัยรับสั่งให้ส่งคนออกตามล่าหาตัวนางมากมาย แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววจนเวลาล่วงผ่านจากเดือนเป็นปี

นอกจากนี้เพื่อพระองค์จะได้ดูแลลูกรักและพระชายาของพระอนุชา พระองค์จึงได้รับพระนางศิริศรีมาเป็นพระชายาอีกองค์ แต่พระนางสุมามาลย์ผู้เป็นพระชายาองค์แรกมิยินยอม ทรงยื่นเงื่อนไขให้พระนางศิริศรียกพระโอรสของพระนางให้องค์หนึ่งจึงจะยอม พระองค์ทรงคิดว่าใครดูแลก็เหมือนกันจึงตัดสินพระทัยยกให้ โดยมิทันได้นึกถึงความรู้สึกของพระนางศิริศรีเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้พระองค์รู้สึกผิดต่อพระนางมาจนทุกวันนี้

“อย่าทรงคิดเช่นนั้นเลย หากพระองค์บ่ทรงทำเช่นนั้น หม่อมฉันก็จักไร้ที่พึ่ง หม่อมฉันรู้ดีเพคะ”

เป็นความโหดร้ายสำหรับหญิงผู้สูญเสียผู้นำของครอบครัว เพราะจะไม่มีใครคุ้มครองดูแล พระนางเองอาจจะต้องตกไปเป็นชายาใครอื่นก็สุดจะรู้ได้หากมิได้รับพระเมตตาจาก องค์เกษมราช ที่ทรงไม่แตะต้องพระองค์แม้แต่ปลายเล็บ แต่กลับยกย่องให้เกียรติพระนางมากมายเหลือเกิน

สิ่งที่พระนางทรงเป็นห่วงก็มีเพียงเจ้าชายลักษมัน พระโอรสองค์เล็กที่พระนางสุมามาลย์นำไปเลี้ยงดูเท่านั้น เพราะพระนางพระองค์นั้นทรงเหี้ยมโหดนัก การที่พระนางมีแต่พระธิดาทำให้พระนางกำจัดลูกของสนมทุกนางจนหมดสิ้น องค์เกษมราชทรงทราบแต่มิอาจเอาความได้ เพราะแกรงอำนาจของอิสานปุระ แต่นั้นมาจึงมิทรงรับนางใดเข้ามาเป็นพระสนมอีก และมิทรงแตะต้องนางใดอีกเลยเช่นกัน

“ข้ามันบาปนัก ลูกสักคนหลานสักคน ก็ดูแลบ่ได้”

“พระองค์ เพคะ” ยินพระกระแสรับสั่งพระนางศิริศรีก็รีบยื่นพระหันต์แตะพระพาหาเพื่อถ่ายทอด ความห่วงใยและปลอบโยน ทั้งสองพระองค์มีแต่ปรับทุกข์ต่อกันเท่านั้น รสอาหารแม้ดีเลิศสักปานใด จึงพาลจืดกร่อยไปเสียสิ้น
ครั้นได้เวลาประมาณหนึ่งพระนางศิริศรีก็กราบบังคมลากลับ จึงเหลือเพียงองค์เกษมราชเท่านั้นที่ยังทรงประทับอยู่เดียวดาย หากแต่พระองค์กลับทรงรู้สึกว่าทรงยังประทับอยู่กับพระสนมกลิ่นอุบลเสมอ

ดวงพระอาทิยต์เคลื่อนเข้ายามสาย พระพายยังคงนำพากลิ่นจางหอมอ่อนของดอกบัวเข้าสู่พระตำหนักกลางสระน้ำอย่างสม่ำเสมอ หากแต่พระองค์คงต้องตัดพระทัยลาจาก เพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกิจ

“เจ้ากลิ่นอุบล พี่จักต้องไปทำการงานของบ้านเมืองก่อนแล สำเร็จสิ้นแล้วพี่จักรรีบกลับมาอยู่ด้วยเจ้า” องค์เกษมราชรับสั่งกระซิบฝากพระพายบอกนางอันเป็นที่รักเสียงแผ่วเบา นี้แลคือวันคืนของพระองค์




           กลิ่นกรุ่นละมุนละไมของดอกบัวอบอวลอยู่ทั่วห้อง น่าที่จะทำให้ผู้ใดก็ตามที่พำนักอยู่ได้ผ่อนคลาย หากแต่สิตาอินทร์ยังคงนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่ไม่เป็นสุข จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องของอัสดา จึงได้โผล่หน้ามองออกไปทางหน้าต่าง ก็พบว่าจอมปราชญ์โกญจากำลังพูดบางอย่างกับเจ้าม้าแสนรู้ ซึ่งเธอพอจับใจความได้ว่า

           “ขอบใจเจ้ามากนักอัสดา ที่พาหลานข้ามาส่งคืนถึงสองครั้งสองครา อันสารลับที่แก้วโกสุมฝากห้อยคอเจ้ามาแต่แรกครั้งหลานข้ายังเป็นทารกนั้น ข้ายังคงเก็บไว้เป็นอย่างดีมิต้องห่วง เจ้ารักอิสระนักจงกลับไปตามใจเจ้าเถิด”

ที่แท้ท่านจอมปราชญ์ก็มาปล่อยม้าอัสดานี่เอง มันคงเป็นม้าป่าแท้ๆ ละซิถึงไม่ยอมอยู่บ้าน เธอเองก็อยากจะกลับบ้านเหมือนกัน แต่ดูซิแม้ไม่ได้ถูกผูกเชือกมัดไว้เหมือนอัสดาแต่ก็ไปไหนไม่รอดเพราะภพชาติใช่ว่าจะข้ามไปข้ามมาเหมือนนั่งเรือข้ามฝากก็หาไม่ สิตาอินทร์คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ

‘กลับมาเป็นครั้งที่สองแล้วหรือเรา’ เมื่อคิดถึงตรงนี้หญิงสาวก็สะดุ้ดตื่นตัว เอ๊ะ!! หมายความอย่างไรกัน ‘การกลับมาครั้งที่สองแล้วครั้งแรกล่ะ’ แต่แล้วใบหน้างามก็สลดลงพลันคิดว่าช่างประไร...

แก้วโกสุมนามนั้นต่างหากที่มันสะดุดหูเหลือเกิน อา...ใช่แล้วความฝัน...ผู้หญิงสาวคนนั้นบอกว่าจะนำเธอกลับมา ‘แก้วโกสุม ชั้นขอตั้งจิตอธิฐานให้คุณมาเข้าฝันชั้นอีก ชั้นมีเรื่องอยากถาม...มากมายเหลือเกิน’ สิตาอินทร์กำหนดจิตนิ่งแล้วกล่าวออกไปทันที

“บ่แม้นในความฝัน บ่ได้ฤา”

กระแสเสียงกังวานหวานแทรกไปตามอณูของอากาศที่รายล้อมตัวของสิตาอินทร์ จนหญิงสาวจับทิศทางไม่ได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางใด เธอจึงตัดสินใจกระเถิดร่างเอาหลังพิงฝาห้องเอาไว้ก่อน เพื่อเตรียมรับการปรากฎกายของแก้วโกสุม ก็รู้อยู่หรอกว่าดวงวิญญาณของหญิงสาวมักจะอยู่ในรูปที่งดงาม แต่ให้เจอกันจังๆ เธอก็กลัวเป็นเหมือนกัน

“มะ..ไม่ดีเท่าไรกระมังคะ คุณแก้วโกสุม” สิตาอินทร์รีบบอกจึงได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้น

“เอาเถิด...เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าจักบ่ปรากฎรูปให้เจ้าเห็น หากแต่มีการอันใดก็ว่ามาเถิด” ดู..ดูฟังเขาพูด ราวกับว่าเธอไม่น่ารบกวนถามอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้แท้ๆ สิตาอินทร์คิดอย่างโมโหขึ้นมานิดๆ แต่ก็ต้องสะกดใจข่มเอาไว้ก่อน เพราะอย่างไรก็ต้องถามให้รู้เรื่อง

“คุณพาชั้นมาได้ ก็ต้องพากลับไปได้ใช่ไหมคะ”
“แท้...ข้าย่อมทำเช่นนั้นได้”

“แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ ตอนนี้เลยได้ไหม” สิตาอินทร์พูดขึ้นอย่างมีหวัง

“ข้าต้องได้ของสิ่งหนึ่งมาทำพิธี จึงจะส่งเจ้ากลับไปยังห้วงภพอนาคตกาลนั้นได้”

“ของ...ของอะไรละคะ แล้วอยู่ที่ไหน”

“สิ่งนั้นคืออาวุธที่ใช้สังหารเจ้า แต่ข้าเองก็บ่รู้ดอก เจ้าศรีอุษา เอ๋ย...ว่ามันอยู่ที่ใด”

“หา!!! ไม่รู้!! แล้วจะให้ชั้นทำอย่างไรละคะ” น้ำเสียงของสิตาอินทร์เริ่มแสดงความฉุนเฉียวมากขึ้น

“ใจเย็นก่อนเถิด เจ้าศรีอุษา”

“ชั้น! ชื่อ! สิตาอิทร์”

“ได้เจ้าสิตา ข้าจักเอิ้นเจ้าด้วยชื่อในภพชาติใหม่ของเจ้าก็ได้...เจ้าก็เห็นในนิมิตแล้วบ่แท้ฤา ผู้ที่สังหารเจ้า”

“โห...เงาตะคุ้มๆ ในคืนเดือนมืดนั่นนะหรือ ชั้นไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แถมสำหรับชั้นเรื่องนั้นมันผ่านมาเป็นพันๆ ปีแล้วด้วย ใครจะไประลึกชาติตรัสรู้ได้”

คำพูดที่แสดงอารมณ์โมโหฉุนเฉียวของสิตาอินทร์ทำให้เกิดเสียงหัวเราะใสดังกังวาลขึ้นมาอีก และเมื่อได้ยิน หญิงสาวก็โมโหยิ่งขึ้นไปอีก...เรียกว่าโมโหจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว เพราะคู่สนทนาก็พิเศษจนจับเนื้อต้องตัวไม่ได้เสียด้วย

จากคุณ : กิ่งพุทธชาติ
เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 17:53:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com