มายาหิมาลายัน (บทที่1 บางเสี้ยวของความทรงจำจากเนปาล)
|
|
มนต์ขลังของสายลมหนาว ที่หวีดหวิวผ่านทิวเขาหิมาลัย จะล่อลวงดวงใจของเขาและเธอให้หลงทาง หรือจะกระชากสองดวงใจให้หลุดพ้นจากภาพมายา ที่บังตาบังใจ ให้สองดวงใจกลับมาผูกพัน เป็นหนึ่งเดียว.....ชั่วนิรันดร์
.................. มายาแห่งรัก มายาหิมาลายัน.............
บทที่ 1 .....บางเสี้ยวของความทรงจำจากเนปาล.....
ตุลาคม 2554
ราชคะ ในความสงบเงียบของห้องนอนเล็กๆ ราชาวดี ได้ยินเสียงตัวเองพึมพำเบาๆ คิดถึงคุณจัง.....
หญิงสาวถอนหายใจยืดยาว ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ หล่อนพูดคนเดียวด้วยประโยคนี้มากี่ร้อยครั้งกันแล้วนะ
มือขาวนวลหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กบาง ปกสีแดง ดูเหมือนมีรอยด่างด้วยความเก่าที่วางอยู่ใก้ลตัวขึ้นมาเปิด แม้ไม่ต้องอ่าน หากเนื้อความที่บันทึกอยู่ในนั้น ก็แทบจะเรียกได้ว่า ...จำขึ้นใจ
ไดอารี่เล่มแดง ที่ขอบมุมดู เยิน น้อยๆ เพราะเจ้าของหยิบจับบ่อยครั้ง ภายในเป็นกระดาษเนื้อดีสีขาวนวลตา ทว่าไร้เส้นบรรทัด แต่ละหน้า ถูกบันทึกลงด้วยลายมือ ที่อ่านง่ายสวยงามในบางหน้า
แต่จำนวนหน้าที่ดู 'ไก่เขี่ย' ขาดระเบียบ โย้ไปเย้มา ไม่เป็นแนวตรงเรียบสวย และอ่านยากจนต้องเดาเอาก็มากกว่ากันหลายเท่านัก
หญิงสาวพลิกแต่ละหน้าไปอย่างช้าๆ อดอมยิ้มขำตัวเองไม่ได้ เออหนอ หล่อนนี่คงเป็นหญิงไร้ระเบียบโดยแท้ บันทึกสะเปะสะปะ บอกได้ว่าตามใจตัวเองเหลือแสน บางหน้าที่บรรจงจารลายมือสวยๆ ส่วนใหญ่มักเป็นถ้อยคำสั้นๆ หน้าที่เหลืออีกส่วนใหญ่ เป็นลายมือไก่เขี่ย เหมือนเจ้าของรีบปั่นให้มันเสร็จๆไป อ้อ! บางหน้ามีกำกับไว้ ว่าเจ้าของลายมือ...ง่วงนอนเหลือเกิน.....
....................................................................................
ราชาวดีไม่ใช่คนชอบการเขียนบันทึกเท่าใดนัก หากยกเว้นก็แต่ยามที่หล่อนออกเดินทางท่องเที่ยว นอกเหนือไปจากการส่งโปสการ์ดกลับบ้านมาหาตัวเองแล้ว หญิงสาวนิยมจดบันทึกสั้นๆ บอกเล่าถึงโมงยามแห่งความประทับใจ บันทึกถึงเรื่องราวขำขันหรือตื่นเต้นระหว่างทาง อีกทั้งยังชอบที่จะจดราคา ค่าใช้จ่าย ของอะไรต่อมิอะไร ไว้เป็นที่ระลึก และบ่อยครั้ง ที่ยังมีการบันทึก ควันหลง หลังการเดินทางเอาไว้อีกเล็กน้อย
หญิงสาวเชื่อว่าโปสการ์ดและสมุดบันทึก เป็นของที่ระลึกที่ประหยัด แต่ผูกพันความทรงจำได้ยืนยาวกว่าการซื้อของที่ระลึกประเภทอื่น และ มันเหมาะกับนักแบกเป้กระเป๋าบางอย่างหล่อนเป็นที่สุด และอย่างคืนนี้ คืนที่หญิงสาวรู้สึกเหงา และคิดถึงใครบางคนอย่างเหลือเกิน เจ้าไดอารี่สีแดงยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มอกเต็มใจ มันปล่อยให้หล่อนพลิกแต่ละหน้าอย่างช้าๆ และซึมซับความเบิกบาน ที่บรรจุอยู่เต็มปรี่ในแต่ละบรรทัด
ไดอารี่สีแดง .....บางเสี้ยวของความทรงจำจากเนปาล..... 7 มกราคม 2547
เสียง เครื่องสาย สรังกี ดังหวานใสอยู่ภายในห้อง ดีใจ ที่หอบหิ้วแผ่นกลับมา เมื่อวานนี้เอง ที่ฉันยังเดินคางสั่นอยู่ที่กาฐมัณฑุ อยู่เลย ..........................................................................................
ฉันกับคู่หูเดินฝ่าลมหนาวริมถนน เดอ บาร์ มาร์ก สายจัด แดดใส แต่ไม่อาจสลัดเสื้อกันหนาวออกจากตัวได้เลย เราเดินตุหรัด ตุเหร่ ออกจาก ออฟฟิสของการบินไทย สบายใจขึ้นมาหน่อย ที่จะได้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น แต่
เริ่มหิว แล้วสิ เดินผ่าน โรงแรมใหญ่ ร้านขายเครื่องประดับ จนมาพบป้ายเล็กๆ ชี้ชวนให้เข้าไปชิมชา และอาหาร เนปาลี และที่สำคัญ ราคาไม่แพง เรา เลี้ยวปั๊ปเลย
ห้องอาหารเล็ก ไร้หน้าต่าง ชักไม่แน่ใจ จึงยื่นหน้าเข้าไปถามก่อน เออ เปิดทำการแฮะ มีลูกค้านั่งอยู่ตั้งหนึ่งคน เอาเมนูมาดูเลยถึงบางอ้อ เพราะพบว่า ที่ร้านนี้ รับทำอาหารกล่อง ส่งตามออฟฟิสเป็นหลัก ฉันเลือก โชเหมี่ยน ส่วนคู่หู เลือกชุดเนปาลีมังสวิรัติ รสชาดอาหารอร่อยดี เราชี้ชวนกันชิม ไม่สนใจใคร ได้ยินเสียงใครบางคนเปรยลอยๆ "ยูมาจากปักกิ่ง เรอะ"
"โน" ฉันตอบ
"งั้นก็ ไต้หวัน" เสียงถามต่อ
ฉันตักโชเหมี่ยนใส่ปากอีกคำ ก่อนส่ายหน้าดุกดิก "หึ"
"ฟิลิปปินส์โน" ฮ่วย คราวนี้คนไทย ทนไม่ไหวแล้ว อะไรกัน(ฟะ) มาตั้งหลายวันแล้ว มันจะไม่มีใครสักคนทายถูกเลยหรือไง ว่าหล่อนและคู่หูเป็นคนไทย
"โน เราเป็นคนไทย" ฉันหันหน้าไปตอบตรงๆ
ใครบางคน ยิ้ม พับหนังสือพิมพ์ แล้วชวนสนทนาต่อ เออหนอ คนจะกินก็ชวนคุยอยู่ได้
คำถามคุ้นหู ตามมาเรื่อยๆ มาเที่ยวกี่วัน จะกลับวันไหน ไปไหนมาบ้าง ชอบไหม คิดว่าที่นี่เป็นอย่างไร ทำไมไม่ไปเที่ยวที่โน่นล่ะ
คนไทยยังสาวเส้นโชเหมี่ยนเข้าปากเรื่อยๆ สลับกับตอบคำถามเป็นระยะ ท่ากินของฉันคงดูเอร็ดอร่อยไม่น้อย จนมีคำถามแต้มสำเนียงหัวเราะ" อาหารที่นี่อร่อยดีด้วยใช่ไหมล่ะ?"
ฉันถือส้อม ค้างอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนยัดหมี่ผัดใส่ปากอีกคำ "เยส"
เคี้ยวจนเกือบเสร็จ แล้วเริ่มเจรจา "ฉันชอบที่นี่ อาหารดี อร่อยมาก ทิวทัศน์สวย ประวัติศาสตร์น่าศึกษา และคนก็น่ารัก"
"แต่ธิเบต ก็น่าไปนะ" แน่ะ ยังชวนคุยต่อ
" ฮื่อ เห็นด้วย"
"อินเดียล่ะ อยู่ติดๆกัน ยูไปมาหรือยัง"
ฉันอดยิ้มไม่ได้ ก็เมื่อวานนี้เอง ที่เนปาลีหนุ่มน้อย หว่านล้อมฉันด้วยการยืนยันว่าตัวเขานั้นเป็นเนปาลี ไม่ทริคกี้ อย่างคนอินเดียร้อก ขอให้เชื่อใจ
คนไทยเริ่มนึกสนุก วางส้อมแล้วสานต่อการสนทนา "ฉันวางแผนว่าจะไปอินเดียปีหน้า ว่าแต่ถ้าเทียบกับเนปาล....."
"สวย ถ้ายูชอบเนปาล ยูก็คงชอบอินเดีย " "แต่ก็น่าจะมีอะไรต่างกันบ้างหรอก คนล่ะ คนที่นั่นเป็นยังไง "
"ไนซ์" "
จริงอ่ะ แล้วถ้าเทียบกับคนที่นี่ล่ะ..... น่ารัก นิสัยดีไม่ทริคกี้เหมือนคนเนปาลีหรือเปล่า? "
ฉันไม่ทันเห็นคนตรงหน้านัยน์ตาวาวจ้า เพราะมัวพะวงกับโชเหมี่ยนคำสุดท้าย เมื่อรู้สึกตัวว่าพลาดท่า มันก็ช้าเกินไปเพราะดวงตาคู่นั้น กลายเป็นเข้มจัดไปเสียแล้ว เสียงหนักๆเน้นย้ำ
"ผมยืนยันได้ ว่าอินเดียดีแน่นอน และคนอินเดียก็ไนซ์ เพราะผมเป็นคนอินเดีย "
หมี่ผัดเส้นเหนียวนุ่ม กลายเป็นเหนียวหนืดติดคอในบัดดล คู่หู ยื่นเท้ามาเตะหน้าแข้งฉันเบาๆ เอาเป็นว่าเตรียมเผ่นดีกว่ามั้งเรา ........................................................................................
สถานการณ์ค่อนข้างคับขัน เสียงคู่หูกระซิบค่อยๆ ว่าให้เรียกเก็บตังค์เหอะ
ความคิดแล่นจี๋ "ดีใจจังที่ได้รู้จักคนอินเดีย" คนไทยไถลเอาตัวรอดไปแบบน้ำขุ่นๆ "คุณมาจากไหนล่ะคะ"
"บ้านผมอยู่โจดปูร์ "เสียงตอบยังงอน แต่ตาหายขุ่นไปพะเรอ เออค่อยยังชั่ว อะฮ้า โยธปุระ งั้นก็นครสีฟ้าล่ะสิ
"นครสีฟ้า นั่นเป็นเมืองที่ฉันอยากเห็น อยากไป"
"คุณรู้จักด้วยเร้อ " เสียงถามหมิ่นๆ
"อ๋อ แน่นอน ฉันอยากไปอินเดีย อยากเห็นทัช" คนไทยเริ่มฟุ้ง " อยากไปราชสถาน ฉันอยากไปเยือน เมืองสีชมพู นครสีฟ้า ฉันอยากไปจัยซาลเมอร์ อยากไปเฝ้าชมตะวันขึ้นที่นั่น อยากเห็นอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทราย และฉันก็อยากไปพุชการ์...."
เสียงนุ่มๆ เล่าเรื่องเมืองเกิด ให้ฟัง สั้นๆ เขาบอกว่าฉันน่าจะได้เห็น งานเทศกาลอูฐ ก่อนอธิบายว่า ตัวเขานั้น มาทำธุรกิจร้าน จิวเวรี่ ที่เนปาลนี้ ได้หลายปีแล้ว และเขามีญาติ ที่ทำธุรกิจอยู่ที่เมืองไทย ที่กรุงเทพ และเชียงใหม่ด้วย
เขาขอแลกอีเมล์แอดเดรส ก่อนเชื้อเชิญให้ไปดื่มชาที่ออฟฟิสที่อยู่ห่างออกไปชั่วไม่กี่ก้าว เพราะนามบัตรของเขา อยู่ที่ร้าน อาการที่แสดงออกอย่างสุภาพ ตรงไปตรงมา และนัยน์ตาคมจัดไม่มีร่องรอย ขี้เล่น ทำให้คนไทยเดินตามต้อยๆ .........................................................................................
ขอเตือนเพื่อนๆ เมื่อไปเยือนเนปาล เหตุการณ์หมิ่นเหม่อย่างนี้ อาจเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี สาวไทย ยังเอาตัวรอดมาได้ ไม่โดนหนุ่มตาคมโกรธเอา ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ขออุบไว้ก่อนนะ แต่ว่า .... ให้ตายเหอะ ไม่น่าทะลึ่งเขียนคำนำหน้า ว่า Mrs.เล้ยยยย พับผ่าสิ
.......................................................................................
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 55 12:22:41
แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 12:57:36
จากคุณ |
:
หนอนแบกเป้
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ต.ค. 55 15:32:35
|
|
|
|