"นี่น่ะรึ? มันก็เป็นสิ่งที่พี่ไว้ใช้แกล้งนางห้ามของสวามีข้านิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นดอก" ยิ่งฟังพระเทวีน้อยและเคียงฟ้าก็ยิ่งพิศวงงงวย
"มียาทำให้คันอ่อนๆ ผสมอยู่ในผงสีผัดหน้าน่ะ...ทาแล้วจะคันยุกยิก หรืออย่างมากก็แค่ผื่นขึ้นไปสัก 2-3 วันเท่านั้นแหละ หึ หึ" เมื่ออธิบายสรรพคุณ แล้วก็ทรงแย้มสรวลออกมาด้วยความขบขัน
"ใช่เพคะ....คันจนอยู่ไม่สุข ท่านราชบุตรเขยคงมิมีอารมณ์กระทำสิ่งใดต่อนางแล้วกระมังเพคะ" บัวลออยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเผลอหัวเราะออกมายามที่กราบทูล
"อ้อ....อย่างนั้นเองรึเพคะ" พินทุมณีเทวีพยักพระพักตร์ให้แทนถ้อยดำรัส
"แล้วถ้าผื่นขึ้น เจ้าก็อ้างว่านางคงแพ้น้ำแพ้อากาศบ้านเรา แล้วกำชับหมอไว้ด้วยก็แล้วกันล่ะ หึ หึ ผื่นขึ้นหน้าแบบนั้นจะมีบุรุษใดอยากจะมองกันเล่า อย่าว่าแต่ต้องการร่วมหอเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"นั่นสิเพคะแค่คิดก็ขำแล้ว ฮะ ฮะ" มหิตาเทวีทรงสรวลตามไปด้วย
'เรื่องบ้าๆ บอๆ นี่เก่งจริงเชียวพินทุมณีเทวี เคียงฟ้าผู้เป็นร่างสถิตในอนาคตของมหิตาเทวีส่ายหน้าอีกครั้ง เมื่อได้ฟังกลเม็ดเด็ดพรายของสตรียุคโบราณ
"เอ้า! เจ้าเก็บไว้แล้วกัน กล่องประทินโฉมนี้น่าจะช่วยเหลือเจ้าได้อยู่มากโข"
"ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่...แต่หม่อมฉันอาจจะไม่ต้องใช้มัน หากภูวิษะเจ้าทรงรักษาสัจจะ" พินทุมณีเทวีสดับฟังแล้วทรงขัดพระทัยในพระดำรัสพระขนิษฐายิ่งนัก แต่ครู่เดียวก็รีบปั้นแต่งสีพระพักตร์ให้แย้มสรวลออกมาได้
"ตามใจเจ้าเถิด มันเป็นของเจ้าแล้วจะใช้หรือไม่ก็ตามใจ"
"ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่"
ในยามนั้นมหิตาเทวีรับกล่องประทิมโฉมอันงดงามนี้ไว้ด้วยความขบขัน แต่หากทรงล่วงรู้อนาคตจะไม่ทรงรับกล่องแห่งเภทภัยนี้ไว้เด็ดขาด!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 29
หัวใจหรือการเมือง
"กล่องประทินโฉม" ใบนั้นเกือบจะถูกลืมเลือนเพราะมีเหตุการณ์อื่นเข้ามาแทรก...
อรุณรุ่งจับขอบฟ้าไม่นานนัก สำรับเช้าถูกจัดเรียงรายอยู่เบื้องหน้าเทวีผู้ทรงโฉมกับสวามีนาคจำแลง สองวันถัดจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงสงบสุขดังทะเลปราศจากคลื่นลม ไม่มีเค้าลางของพายุร้ายเลยแม้แต่น้อย มหิตาเทวีแม้นิ่งเฉยไม่ทรงตรัสถามภูวิษะเจ้า ถึงเรื่องการรับหญิงงามจากกันทรานครมาร่วมเรือนเคียงหมอน แต่มิได้ทรงสบายพระทัยเลยแม้แต่น้อย
เคียงฟ้าเห็นเข้าก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะหากเป็นหล่อนจะถามเสียไม่ปล่อยทิ้งให้คาใจเช่นนี้ แล้วดูเขาเองก็ช่างกระไรจะรับหญิงอื่นมาเป็นภรรยาอีกคนทั้งที่เคยให้คำสัตย์สาบานกันไว้แล้วแท้ๆ มันน่าเล่นงานให้น่วมนักนี่ถ้าให้หล่อนเดาล่ะก็ ภูวิษะเจ้าจะพาเมียใหม่มากะทันหันไม่ให้มหิตาเทวีทันตั้งตัวจะได้ปฏิเสธไม่ได้สินะ ช่างร้ายกาจจริงๆ ผู้ชายคนนี้ หล่อนทำท่าฮึดฮัดอยู่ตรงนั้นคนเดียวโดยไม่มีใครเห็น แต่ยังไม่ทันได้ด่าทอนาคเจ้าในใจต่อก็ได้ยินเสียงอื้ออึงดังมาแต่ไกล
"ภูวิษะท่านอยู่แห่งใด ออกมาปะหน้าเราบัดนี้!!" เสียงทรงอำนาจของสตรีดังมาแต่ไกล ติดตามด้วยเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจของเหล่านางกำนัล
"ผู้ใดมากัน?" มหิตาเทวีตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังบานทวาร
ไม่ช้านานความสงสัยก็คลี่คลายลง เมื่อร่างท้วมอวบอัดของหญิงวัยปลายสามสิบย่างกายเข้ามาด้วยสีหน้ามีโทโสนัก นางผู้นี้แต่งกายด้วยแพรพรรณชั้นดีแม้จะมิได้ประดับประดาทรงยศด้วยเครื่องทรงศิราภรณ์ทองดังฐานะ หากมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงสูงศักดิ์ ทว่านางคงรีบร้อนมาที่นี่จึงมิได้สนใจการแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างที่ควรเป็น
"เสด็จพี่กัมลาภา!!" เมื่อทอดพระเนตรเห็นชัดว่าเป็นผู้ใดเสด็จมา เทวีน้อยก็ยกหัตถ์ลงทาบอุระด้วยความตกพระทัย
"ยังจำได้รึว่าข้าเป็นพี่ของเจ้า!" พระเชษฐคินีองค์ใหญ่กัมมาลาเทวีทรงตรัสด้วยสุรเสียงดังก้อง
"ถวายบังคมเพคะเสด็จพี่" มหิตาเทวีรีบลุกขึ้นจากที่ประทับแล้วย่อวรกายคารวะ ในขณะที่พระสวามีที่ลุกขึ้นยืนเคียงข้างพระวรกาย
"ยินดีต้อนรับเสด็จ กัมมาลาภาเทวี!" ภูวิษะเจ้าน้อมเศียรลงเล็กน้อยเพื่อแสดงการทักทาย มิได้ลดลงมากกว่านั้นสวามีของน้องยาจึงแลดูหยิ่งยโสในสายพระเนตรยิ่งนัก
"เสด็จมาแต่เช้าไม่ทราบว่ารับประทานกระยาหารเช้ามาหรือยังเพคะ หม่อมฉันจะได้จัดถวาย" พระขนิษฐาที่พระชนม์ห่างกันถึง 18 ชันษา รีบตรัสถามอย่างเอาพระทัยพระพี่นาง
"ข้ามิได้มาเพื่อรับประทานกระยาหารกับผู้ใด โดยเฉพาะกับสวามีของเจ้า" ตรัสจบก็ชี้ดรรชนีไปยังราชบุตรเขยองค์สุดท้องทันที
"แล้วทรงประสงค์สิ่งใด" ภูวิษะเจ้าตรัสถามด้วยสุรเสียงเรียบเฉย คล้ายไม่ยินดียินร้อนกับอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของพระพี่นาง
"ยังมีหน้ามาถามอีกรึ? เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเอาหญิงนางนั้นมาถวายสวามีข้า"
"หา?" นั่นเป็นเสียงของเคียงฟ้าและมหิตาเทวีอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน และตามด้วยเสียงอุทานอีกหลายเสียงของบรรดานางกำนัลประจำตำหนัก เสียงที่ดังที่สุดเห็นจะไม่พ้นศรีดารา
"เสด็จพี่...." มหิตาเทวีเหลียวไปยังวรองค์สูงสง่าข้างวรกาย ด้านหนึ่งก็ทรงประหลาดพระทัยอีกด้านหนึ่งก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก ที่พระสวามีรักษาคำสัตย์ที่มีให้กัน
"นางคนกันทรานั่นเสด็จพ่อประทานให้เจ้า ทำแบบนี้เท่ากับขัดพระประสงค์" เมื่อฟังความจากภคินีแล้วมหิตาเทวีก็ทรงกังวลพระทัยขึ้นมา ส่วนหญิงสาวจากอนาคตได้แต่นิ่งเงียบเฝ้าดูสถานการณ์
"หามิได้พระเทวี เรื่องนี้หม่อมฉันทูลพระบาทเจ้าไปแล้ว ว่าเจ้าชายอนันตราชก็ทรงเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการรบ พระองค์สมควรจะได้รับพระราชทานบำเน็จรางวัลยิ่งกว่าผู้ใด หม่อมฉันจึงเห็นสมควรถวายหญิงงามนางนั้นแก่เจ้าชายอนันตราช พระบาทเจ้าก็ทรงเห็นดีด้วย" ถ้อยดำรัสทูลถวายความนั้นเต็มไปด้วยเหตุผลยากยิ่งที่กัมลาภาเทวีจะทรงคัดค้าน แต่ยังไม่อาจยอมรับได้จึงตรัสต่อว่าต่อขานอีกหลายประโยคนัก
"ก็แล้วทำไมไม่ยกให้ราชบุตรเขยคนอื่นเล่า ก็ร่วมทัพไปด้วยกันไหนจะขุนศึกทหารกล้าอีกเล่า ทำไมต้องเจาะจงเป็นสวามีเรา?!!"
"เพราะไม่มีผู้ใดเหมาะสมแก่รางวัลอันสูงค่านี้ เมื่อเทียบเคียงเจ้าชายอนันตราชพะย่ะค่ะ อีกประการหญิงงามนางนั้นหาใช่สามัญชน จะประทานให้แก่ขุนทหารเป็นจะไม่สมควร กันทรานครจะหาว่าเรามิไว้หน้า เรื่องนี้อ่อนไหวยิ่งนัก หากทำสิ่งใดไม่เหมาะสมจะกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างนครได้"
"กันทรานครเป็นแค่เมืองขึ้นไฉนต้องไปสนใจว่าจะคิดอย่างไร!! ท่านต่างหากวางแผนการณ์ใดไว้ หรือคิดจะทำให้เสด็จพี่อนันตราชหมดรักเรา?"
"มิได้พะยะค่ะ ทรงเข้าใจผิดแล้ว" ภูวิษะเจ้ายังทรงตอบทุกคำถามด้วยความพระทัยอันเยือกเย็น ตรงกันข้ามกับมเหสีของพระองค์ซึ่งบัดนี้ตกพระทัยไปมากมายนัก
"ทรงพระทัยเย็นไว้เพคะเสด็จพี่ ภูวิษะเจ้าหาได้คิดร้ายกับเสด็จพี่ดอกเพคะ"
"เงียบไปซะมหิตา อย่าออกหน้าแก้ตัวให้สวามีเจ้าไปหน่อยเลย ตอบเรามาสิภูวิษะท่านทำแบบนี้ทำไม?"
"ด้วยเหตุผลสองข้อพะยะค่ะ ข้อแรกผู้ในร่วมศึกครั้งนี้มิมีผู้ใดทรงทรงยศและเก่งกล้าเกินเจ้าชายอนันตราช จึงสมควรเป็นผู้ครองบรรณาการนี้หาใช่หม่อมฉันไม่ อีกประการ...." นาคเจ้าทรงหยุดตรัสชั่วครู่และผินพักตร์มาสบสายพระเนตรนวลนางข้างวรกาย
"หม่อมฉันให้สัตย์สาบานไว้กับชายาของหม่อมฉัน ว่าจะไม่รักหญิงอื่นใดนอกจากมหิตาเทวีอีก" ดวงพักตร์งามพริ้งบัดนี้แดงก่ำไปทั่ว ทันทีที่ได้ยินคำตรัสจากสวามีอันเป็นที่รัก
"ทรงจำได้...." แล้วจึงแย้มสรวลออกมาจนแลเห็นพระทนต์ซีกเล็กเรียงรายเป็นระเบียบ
"ท่านไม่จำเป็นต้องรักนางคนนั้น แม้จะรับมาเป็นนางรองก็เถอะ" แม้จะทรงตำหนิแต่สุรเสียงของกัมลาภาเทวีอ่อนลงเป็นอันมาก
"แม้นไม่รักก็ยิ่งไม่ควรครองคู่ รังแต่จะเป็นบาปกรรมต่อกันเปล่าๆ หม่อมฉันขออภัยด้วย"
เหตุผลที่ทรงให้มานั้นทำเอาพระเทวีผู้ทรงศักดิ์สองศรีพี่น้อง ปรากฏหยาดอัสสุชลคลอพระเนตรแต่ต่างด้วยเหตุผล องค์น้องนั้นซาบซึ้งตรึงพระทัยยิ่งนัก ส่วนองค์พี่ทรงขุ่นเคืองจนอัสสุชลหลั่งริน นอกจากนั้นแล้วหญิงในห้องทรงสำราญอีกหลายคน รวมทั้งเคียงฟ้าพากันมองชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นด้วยความชื่นชมยิ่งนัก