มาแล้วครับ ล่องกัลปาลัย บทที่ 36 สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12775355/W12775355.html
ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านครับ คุณ โอ เขมปัณณ์, คุณ mimny, คุณ รพิชา, คุณไก่ kdunagin, คุณ ravio, คุณ wor_lek, น้อง ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,และคุณ นวลน้ำผึ้ง ขอบคุณคุณแก้ว ที่ช่วยต่อลิงก์ไปยังบทที่ 34 ในบล็อก ด้วยครับ
บทที่ 36
สิงหเมฆินทร์รับรู้ถึงความร้อนแผดเผาที่ส่องแสงเจิดจ้าราวไฟประลัยกัลป์ โชนความระอุรวดร้าวพุ่งผ่านเข้าปะทะใบหน้าโดยมิอาจเลี่ยงหลบได้พ้น มันรีบหลับนัยน์ตาลง กระนั้นยังสัมผัสถึงแสงสว่างวาบราวสายฟ้าส่องทาบผ่านม่านตาลงมา
เหตุการณ์ดำเนินไปเฉกเช่นเดียวกับการเดินทางในครั้งแรก เพียงแต่คราวนี้ซีกใบหน้าที่ได้รับผล กลายเป็นอีกข้างหนึ่งที่เป็นปกติ ความเจ็บปวดรวดร้าวบังเกิดเกินทนทาน จนทำให้มันถึงกับต้องส่งเสียงแผดร้องออกมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
ทั้งด้วยความรวดร้าวจากบาดแผล และความโลดเหลิงลำพองใจ
อย่างน้อยที่สุด ความทรงจำที่เหลืออยู่และเล่ห์เพทุบายที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก ก็เป็นสิ่งที่สอนให้รู้จักวิธีการวางกลลวงให้อีกฝ่ายตายใจ
และก็ได้ผลดังคาด... เมื่อไอ้เศาร์และหุ่นพยนต์ศลภะ ประมาทฝีมือของมันมากจนไม่ทันระวัง ในที่สุดมันก็สามารถสลัดพันธนาการของพวกมัน แล้วหนีกลับคืนเข้าสู่กัลปาลัยได้สำเร็จอีกครั้ง
สิงหเมฆินทร์รู้ดีว่าการดำรงตนอยู่ในโลกแห่งอิสรภพนี้ ทำให้พละกำลังหลายๆอย่างของมันถดถอยลงอย่างประหลาดแต่ในขณะเดียวกัน ก็มีสิ่งที่น่าสนใจให้ค้นหาอยู่มิใช่น้อย โลกที่แตกต่างจากภายในกัลปาลัยโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหนทางเดียวที่จะจัดการกับอีกฝ่ายได้ก็คือการย้อนกลับไปยังจินตภพ ดินแดนที่มันจากมานั่นเอง
ณ ที่นั้น มันคือ สิงหเมฆินทร์ จอมราชันย์ผู้นำกองทัพโรมพิสัย ซึ่งมีแสนยานุภาพแห่งกองทัพหุ่นพยนต์จำนวนมหาศาล สามารถบดขยี้ไอ้มาณพหนุ่มผู้นี้ให้ย่อยยับได้ ไม่ต่างกับการบดขยี้มดปลวกเล็กๆที่ไร้พิษสงในกำมือ!
ฝืนข่มความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส ยิ่งกว่าครั้งการเดินทางข้ามผ่านออกไปมหาศาลนัก พริบตาหากยาวนานราวนิรันดร เมื่อสิงหเมฆินทร์เคลื่อนกายตามติดบุรุษผู้หนุ่มผู้นั้น ลอยเลื่อนลงมาปรากฏกายสู่ลานราชฐานแห่งวิเทหนครพอดี
ในแสงสลัวของวงตะวัน มองเห็นร่างของเศาร์หายลับไปอย่างแล้วอย่างรวดเร็วหลังแนวพุ่มพฤกษ์หนาทึบแน่น เหมือนรีบร้อนออกไปจากสถานที่แห่งนั้น สิงหเมฆินทร์คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกตถึงการตามติดมาพร้อมกันของมัน เพราะไอ้เศาร์มิได้หันกลับมามองยังด้านหลังด้วยความระแวดระวังเลยแม้แต่น้อย
คงคิดไม่ถึงว่าคล้อยหลังการจรดลเพียงเสี้ยววินาที มันจะฉวยโอกาสสำคัญนั้นลอบตามติดมาด้วย หากในขณะนั้นมันยังมิได้สนใจชายหนุ่มพเนจร ผู้เป็นเสี้ยนหนามสำคัญในชีวิต
เพราะสิงหเมฆินทร์ก็มีสิ่งสำคัญที่ต้องรีบกระทำยิ่งไปกว่า
แสงแห่งสายัณหกาลกราดลำแสงเหลืองอ่อนเจือจางลงเบื้องหน้ามหาราชมณเทียรอันส่องประกายวาบวับด้วยเปลวแห่งกนกกาญจนา บัดนี้มันล่วงรู้แล้วว่าตนเอง คือสิ่งสมมติที่ปรากฏขึ้นภายในโลกพิศวงแห่งนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ในโลกเบื้องนอกนั่นต่างหาก ยังมีสิ่งอันพิศวงเหนือไปกว่า
บางทีโลกภายนอกแห่งอิสรภพนั้น อาจจะเป็นปลายทางแห่งความปรารถนาของมันก็เป็นได้ ถ้ามันสามารถครอบครองได้ทุกสิ่งแล้วในโลกแห่งจินตภพใบนี้!
ความคิดเลื่อนลอยหยุดชะงักลง สิงเมฆินทร์แตะมือลงที่ตำแหน่งแล้วก็ต้องชักมือออกจากกันเมื่อความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ มันตรงปรี่ไปยังสระน้ำอันใสแจ๋วดุจกระจกแก้ว แล้วไม่รีรอที่จะชะโงกกายาลงไป
ภาพสะท้อนไม่ต่างกับบานกระจก ทำให้ถึงกับผงะงัน ใบหน้าทั้งใบหน้า ถูกแปรเปลี่ยนรูปโฉมให้อัปลักษณ์ นัยน์ตาทั้งคู่ปูดโปนถลนออกมานอกเบ้าและเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวประจุไว้ด้วยเปลวไฟ ส่วนผิวหน้าทั้งหมดกลายเป็นสีดำคล้ำและแห้งผาก ผิวเนื้อบางส่วนเลาะล่อนออกมา ปรากฏเป็นรอยเสมือนกระดาษที่ถูกอบจนแห้งและถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกออกจนเป็นริ้ว...
ไม่!
เสียงร้องโหยหวนของมันดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนั้น...
*********************
ทุกอย่างผิดพลาด!
เศาร์สดับเสียงการเคลื่อนไหวระหว่างการจรดลนั้นพอดี รับรู้โดยไม่อาจแก้ไขเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ทัน เมื่อมหาบุพมนตราแห่งการเริ่มต้น สังวัธยายขึ้นแล้ว มันก็มิอาจยุติ ตราบจนทุกสิ่งทุกอย่างในการจรดลสิ้นสุดลง
ดังนั้น เมื่อร่างกายที่สลายออกจากกัน เคลื่อนผ่านเข้าสู่จินตภพแล้วหลอมรวมเป็นร่างใหม่อีกครั้ง คุณหลวงหนุ่มจึงมิได้หันกลับไปยังเบื้องหลัง หากรีบตรงรี่ออกไปจากเขตราชฐานชั้นในนั้นในทันที ประการหนึ่งคือไม่ต้องการให้สิงหเมฆินทร์ล่วงรู้ว่าตนเองก็รู้ ถึงการกลับมาพร้อมกันของมัน และอีกประการหนึ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าความห่วงกังวลของชีวิตตนเอง ก็คือ...
มณีเรขา!
สิงหเมฆินทร์จะต้องทำทุกอย่างเพื่อกำจัดเขา และครอบครองมณีเรขา แต่แรก เขาคิดแต่เพียงหาจังหวะเหมาะสมในการจัดการเหตุการณ์ภายใน โลกสมมติแห่งนี้ให้เรียบร้อย ก่อนจะนำพาสิงหเมฆินทร์เข้ามาอีกครั้ง
หากบัดนี้ มันล่วงรู้ทุกอย่างแล้ว โดยไม่ทันเตรียมการแก้ไข เศาร์มีทางเลือกเดียวเท่านั้น
ทางเลือกที่เขาพยายามปฏิเสธต่อหัวใจตนเองมาโดยตลอด...
นั่นก็คือพาเจ้าหญิงมณีเรขาหนีกลับไปยังโลกของตนเอง เขาไม่อาจยินยอมให้อีกฝ่ายกระทำกร้ำ กรายใดๆต่อนางอันเป็นที่รัก เขาไม่อาจทนแม้แต่จะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
แม้ว่านางจักเป็นเพียงจินตนาการที่เขาเสกสร้างขึ้นก็ตาม บัดนี้เศาร์ได้ตรึกตรองใคร่ครวญ จนนำมาสู่การตัดสินใจสำคัญนั้นแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับมณีเรขาในอนาคตกาล ต่อให้เรือนกาย รูปลักษณ์ จักแปรเปลี่ยนไป ในระหว่างการจรดลนั้นก็ตาม เขาก็พร้อมจะยอมรับมัน ยอมรับตัวตนที่อยู่ภายในที่เขาเป็นผู้เสกสร้างนางขึ้นมาด้วยความรัก รักอย่างที่ไม่เคยมีกับสตรีใดมาก่อนในชีวิต
คงไม่ต่างกับนิทานเรื่องพิกเมเลียน ที่เคยอ่านมาในอดีตนั่นเอง แม้ช่างปั้นหนุ่มพิกเมเลียนจะหลงใหลเฝ้าใฝ่ฝันในรูปปั้นที่ตนเองสร้างขึ้นจนดูเหมือนคนบ้า ที่กระทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว รูปปั้นกาลาเทียนางนั้นก็กลับกลายเป็นอิสตรีผู้มีเลือดเนื้อและชีวิตเฉกเดียวกันกับนายช่างพิกเมเลียน จนได้ครองคู่สมความปรารถนาในที่สุด...
ระหว่างเลาะเลียบแนวอุทยาน ผ่านออกไปยังเขตด้านนอกนั้นเอง เขาไม่รู้เลยว่าการกระทำของตนเอง ตกอยู่ในการลอบมองของใครอีกผู้หนึ่ง
เจ้าหญิงหิรัญรัศมี!!
********************
ท่านบาดเจ็บ โอ...
หิรัญรัศมีทรงปราดเข้าประคองขุนพลหนุ่มที่ล้มคว่ำกายอยู่ข้างสระน้ำ แต่แรกที่ทรงสังเกตเห็นไอ้วณิพกคนโปรดของเสด็จอาพรหมทัต ลักลอบเข้ามาในเขตราชฐาน ก็ประหลาดพระทัยพออยู่แล้ว แต่เมื่อทรงเยื้องวรกายมาด้านท้ายอุทยาน และได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนที่จะทรงเห็นร่างของขุนพลสิงเมฆินทร์นอนก้มหน้าเหมือนสิ้นสติอยู่ข้างสระหลวง ก็ยิ่งตระหนักว่า สิ่งที่พานพบย่อมไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่
ความอยากรู้มีมากเหนือกว่าความหวั่นเกรงในความเหี้ยมโหดอำมหิตของอีกฝ่าย หากเมื่อสิงหเมฆินทร์ผินหน้ากลับมา หิรัญรัศมีก็แทบจะหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
ใบหน้าคมเข้มสมบุรุษเพศผู้กร้าวแกร่ง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนเหมือนถูกคลอกด้วยเปลวอัคนี จนสูญเสียรูปโฉมอันเหี้ยมหาญไปหมดสิ้น!
ทะ ท่าน สิงหเมฆินทร์ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?
สิงหเมฆินทร์สะบัดพาหาตนสุดแรง จนวรกายบอบบางของเจ้าหญิงหิรัญรัศมี ซวดเซล้มลงกับพื้น
ไม่ต้องมายุ่งกับข้า!
ในยามเพลิงโทสะคุกรุ่น สิงหเมฆินทร์ไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเองได้อีกต่อไป มันอยากจะสังหารไอ้เศาร์ให้ด่าวดิ้นลงอย่างสาสมใจ ยิ่งเมื่อได้เห็นสภาพวงพักตร์อันอัปภาคย์ของตนเอง
ข้ารู้นะ ว่าสาเหตุมาจากไอ้วณิพกเข็ญใจผู้นั้นใช่ไหมเล่า?
มิคาดคิดเมื่อเจ้าหญิงหิรัญรัศมีทรงตรัสขึ้น โดยไม่มีทีท่าหวั่นเกรงต่อความเกรี้ยวกราดนั้นแม้แต่น้อย
เมื่อครู่ข้าก็เห็นมันเดินลัดเลาะแนวอุทยาน แล้วปีนหนีออกไปยังด้านนอก ความจริงแล้วมันเป็นคนทำให้ท่านต้องได้รับความอัปยศเช่นนี้ใช่ไหม
น่าแปลก เจ้าหญิงผู้มีวรกายบอบบางราวกับจะปลิวยามลมพัดต้องได้ กลับมีท่าทีแข็งกร้าวไม่พรึงพรั่นต่อมัน ซ้ำยังทำให้สิงหเมฆินทร์ต้องจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความพิศวงประหลาดใจมากยิ่งไปกว่า
สุรเสียงแผ่วเบาตรัสขึ้นอย่างกระซิบกระซาบ
ข้าช่วยท่านได้นะ สิงหเมฆินทร์ ข้ารู้วิธีที่จะทำให้มันเจ็บปวด ยิ่งกว่าวิธีการที่ท่านใช้ เพื่อชำระความแค้นทางร่างกายเท่านั้น
ข้าไม่เข้าใจ
เป็นครั้งแรก ที่มันต้องเป็นฝ่ายนิ่งฟังอีกฝ่ายตรัสเล่าออกมาจนจบสิ้นกระบวนความ และจากนั้นไม่นาน ก็เริ่มรู้ว่า นอกเหนือจากตัวของมันแล้ว ยังมีใครอีกคนหนึ่งที่มีหัวใจอันอำมหิตโหดเหี้ยม เหนือไปกว่ามันมากนัก
ซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นอิสตรีอีกด้วย!!
*************************
ฟ้าหญิงมณีเรขาแห่งวิเทหนคร ทรงประทับอยู่บนราชอาสน์เหนือลานระเบียงแห่งป้อมหอคอย อันเป็นสถานที่จำกัดพระองค์มิให้เสด็จพระดำเนินไปยังนอกอาณาเขตที่สิงหเมฆินทร์กำหนดไว้
เนื่องเพราะฝ่าบาทกำลังจะเตรียมเข้าสู่พิธีอภิเษก กระหม่อมเกรงว่าอาจจะมีผู้ไม่หวังดี ลอบทำร้ายฝ่าบาทได้
มันอ้างเหตุผลที่รู้อยู่ว่าความจริงแล้ว ก็คือการจองจำพระองค์เอาไว้ มิให้มีอิสรภาพนั่นเอง แทบไม่มีผู้ใดได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องราวต่างๆในภายนอกให้รับฟัง นอกจากการรอคอย... วันอภิเษกที่ทรงนึกชิงชังนักหนา
วันเวลาที่ทรงอยากจะให้หยุดนิ่งอยู่เป็นนิรันดร...
ในเขตราชฐานอันอ้างว้าง แทบปราศจากผู้คนอันเคยคุ้น เห็นจะมีเศาร์เท่านั้น ที่มีโอกาสได้เข้ามาถวายการรับใช้เสด็จพ่อ และพระองค์เองก็มีโอกาสได้เสด็จดำเนินไปเฝ้าทูลกระหม่อมพ่อ ในเพลาที่มาณพหนุ่มจากแดนสุดโพ้นฟ้า ได้แสดงมหรสพถวาย
แววตาของเขาในยามบรรเลงเพลงขลุ่ยอันไพเราะอ่อนหวาน ได้เปิดเผยความรู้สึกแท้จริง เสียจนต้องเบนสายพระเนตรหลบ
สดับแต่เสียงขลุ่ยวิเวกหวาน ต่างถ้อยลำนำแห่งความรู้สึกเร้นลึกของเขาที่ส่งตรงมายังพระองค์เองโดยเฉพาะ มาณพหนุ่ม ร่ำระเบง เพลงขลุ่ยผิว ระลอกพลิ้ว แผ้วผ่าน ดังธารไหว เสนาะรับ ขับขาน สะท้านใจ ตรึงหทัย ผู้ฟัง ดังต้องมนตร์
...วิเวกแว่ว แจ้วจำเรียง เสียงแจ้วเจื้อย ที่เหน็ดเหนื่อย ผ่อนพัก ลงสักหน สุขในห้วง นิทรา ได้มาดล เสมือนฝน พร่างฟ้า บรรณาการ
ให้ดื่มด่ำ ฉ่ำชื่น ระรื่นจิต นิรมิต ด้วยเพลง บรรเลงหวาน แล้วกำซาบ สุดห้วง แห่งดวงมาน ผู้พบพาน สดับซึ้ง ตรึงวิญญาณ์
บัดนี้วณิพกหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งพิเศษเป็นคีตกรเอกแห่งราชสำนัก ได้เข้าถวายการรับใช้องค์ท้าวพรหมทัตจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่ง น่าแปลกที่สิงหเมฆินทร์กลับมิได้เข้ามาก้าวก่ายในการณ์นี้
บุรุษหนุ่มค้อมกายถวายความเคารพอย่างนุ่มนวล ภายหลังการบรรเลงเครื่องดนตรีเสร็จสิ้นลง ทิ้งไว้แต่ความอาลัยในท่วงทำนองอ้อยอิ่งแสนหวานนั้น โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาต้องการสื่อไปถึงขัตติยนารี ผู้ประทับนิ่งบนบัลลังก์ทอง
กระนั้น เศาร์ก็มิได้ปรากฏกายขึ้นเพียงลำพังในห้องบรรทม เหมือนกับที่ทรงมีโอกาสพานพบกับเขาอีกเลย
การจรดลดังที่เขาเล่าให้พระองค์ฟัง เหมือนกับมิอาจควบคุมบังคับได้ด้วยตนเองทั้งหมด
เจ้าหญิงมณีเรขา เอนวรกายลงประทับบนตั่งทองริมพระแกลที่เปิดกว้าง ทรงถอนหทัยยาว เมื่อนึกถึงบุรุษหนุ่มผู้นั้น ผู้ที่ทรงมอบพระทัยให้กับเขา ทั้งที่ยังมิรู้จักบ้านเมืองที่มาของเขาแม้แต่น้อย นอกจากคำบอกเล่าของเขาเอง
มาณพผู้พเนจรจากแดนไกลสุดโพ้นฟ้า ที่เขาเรียกมันว่าอิสรภพ
...ภพที่ปราศจากพันธนาการเหมือนกับโลกที่พระองค์ประทับอยู่เช่นนี้
แต่ความรู้สึกพึงพระทัยนั้นก็ประหลาดนัก มันหักหาญข้ามเส้นแบ่งของความประหวั่นพรั่นใจ ความหวั่นไหวต่อทุกสิ่ง แล้วเคี่ยวให้เหลือเพียงความเชื่อมั่นที่มีต่อเขาคนนั้นอย่างเต็มพระทัย อย่าที่ไม่เคยมีบุรุษใดเคยทำได้มาก่อน
มณีเรขาทรงทอดมองเห็นทิวทัศน์ของพระนครวิเทหะสุดสายพระเนตร ยาวไกลออกไปคือแนวเทือกเขาที่ทอดยาวลดหลั่นเป็นสีครามเข้มหายลับเข้าไปในทิวเมฆ
จริงฤา ที่ยังมีดินแดนนอกเหนือไปจากฝั่งฟ้าอันไกลลิบนั่นอีก ดินแดนที่เศาร์เรียกขานว่า แผ่นดินสยามประเทศ!!
หัตถ์เผลอแตะลงที่ตำแหน่งสร้อยพระศอโดยบังเอิญ และรับรู้ถึงสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในนั้น
ธาม...
คล้ายมีความเคลื่อนไหวของร่างเล็กๆที่ขยับเลื่อน มณีเรขาทรงแบหัตถ์ที่กำเอาไว้ออกจากกัน และ ค้างคาวทองตัวจิ๋วที่เสมือนถูกสลักขึ้นโดยปราศจากชีวิตก็ขยับกายอย่างมีชีวิตจิตวิญญาณ
มณีเรขา
เสียงเรียกนั้นชัดเจน อย่างที่ทรงเคยคุ้นมาตลอดพระชนม์ชีพ ทั้งธามและนางเองถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน สามารถสื่อสารกันได้โดยปราศจากผู้ใดล่วงรู้ แม้แต่เสด็จพ่อและเสด็จแม่
เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนเข้าใจว่า การบูชาพระโอรสธามสังเวยพระอัคนีจนสรีราพยพถูกเผาผลาญจนมอดไหม้แล้วบังเกิดเป็นรูปกายค้างคาวทองทดแทนขึ้น นับเป็นปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์เหลือคณนา
ค้างคาวทองตัวนั้นมิได้โบยบินใดๆ หรือแสดงลักษณาการแห่งชีวิตปรากฏขึ้นอีกเลย นอกจากประกาศิตแห่งองค์อัคนิเทพ ที่ประกาศให้มันตกอยู่ในความดูแลของมณีเรขา องค์พรหมทัตโปรดให้นายกัมมารผู้เป็นตำแหน่งช่างทองแห่งราชสำนัก สร้างสุวรรณสังวาลขึ้น เกี่ยวร้อยซากแห่งชตุกา... ค้างคาวทองเอาไว้ แล้วทรงมอบให้พระกุมารีคล้องพระศอติดวรกายไว้ตลอดเวลา ไม่ต่างกับเครื่องรางคุ้มภัย โดยหาล่วงรู้ความลับข้อนี้ไม่
มีเพียงเจ้าหญิงพระองค์น้อยเท่านั้น...
บางครา พระสนมหลายนางต่างหวาดเกรง เมื่อเห็นเจ้าหญิงน้อยทรงตรัสเพียงลำพังกับสร้อยพระศอของตนเอง ราวกับมีภูตผีที่มองไม่เห็นกายปรากฏอยู่ข้างๆ โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือการสนทนากับเจ้าชายธามบดีนั่นเอง
ธาม บัดนี้ข้ากังวลใจเหลือเกิน ไม่เคยคิดอยากจะอภิเษกกับสิงหเมฆินทร์ ข้าไม่ได้รักชายผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ค้างคาวทองขยับปีกน้อยๆอยู่ภายในอุ้งหัตถ์นุ่มเนียนละมุนอย่างมีชีวิต
ข้ารู้ มณีเรขา... ข้ายินดีจะช่วยเหลือเจ้า ขอเพียงให้เจ้าเปล่งวาจาออกมาเท่านั้น
แต่เจ้าก็ไม่อาจจะสู้กับกองทัพหุ่นพยนต์ที่ไม่มีวันตายพวกนั้นได้ ซ้ำพวกมันยังมีจำนวนมหาศาลนัก ข้าไม่อยากสูญเสียเจ้าไป
คล้ายมีเสียงหัวเราะเบาๆจากร่างมหัศจรรย์ขนาดเล็กจิ๋วนั้น
ถ้าเจ้ามีความสุข ข้าก็ยินดี มาณพหนุ่มผู้นั้นใช่ไหมเล่าที่เจ้ามีใจสิเน่หาด้วย?
วงพักตร์เจ้าหญิงแห่งวิเทหะเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยความอุทัจ
ทำไมข้าจักไม่รู้ใจผู้เป็นเชษฐภคินีของข้าเองเล่า มณีเรขา ข้าอิงอาศัยแนบติดกายาเจ้ามาตั้งแต่ยังทรงเยาว์ชันษา ย่อมรู้จักนิสัยใจคอเจ้าเป็นอย่างดี รับรู้ถึงดวงหทัยของเจ้าที่เต้นแรงในยามสดับเสียงการประเลงวาทยาจากมาณพแดนไกลผู้นั้น
แต่ข้ากับเขา คงมิได้มีวาสนาต่อกันดอก ในเมื่ออีกไม่ถึงสามราตรี พิธีอภิเษกก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...
พระทัยวูบลงด้วยความหม่นหมอง ต่อแต่นี้ไป เมื่อสิงหเมฆินทร์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจอมราชันย์แห่งวิเทหะ ในฐานะอัครมเหสี นางย่อมไม่มีโอกาสได้พานพบกับเศาร์อีก ไม่ว่าจะในฐานะใด
เสียงโต้ตอบจากธามบดีหายลับไปในทันทีเมื่อเสียงเคาะบานพระทวารดังขึ้น และร่างอันโสภาของเจ้าหญิงหิรัญรัศมีเสด็จก้าวตรงเข้ามาด้วยรอยแย้มสรวลอันอ่อนหวาน
พี่หญิง มีธุระอันใดกับน้องหรือเพคะ?
พี่ก็เป็นห่วงเจ้าน่ะสิ มณีเรขา ท่าทางเหมือนไม่มีความสุขเอาเสียเลย พี่เข้าใจนะว่าเจ้าไม่มีความสุข เมื่อจะต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าขุนพลโฉดนั่น
มณีเรขาเสด็จลงจากที่ประทับ ถวายการคำนับ องค์ภคินีโดยมารยาท แม้ว่านางจะทรงฐานันดรที่ต่ำกว่าก็ตาม หิรัญรัศมีแตะหัตถ์อ่อนโยนลงบนแผ่นปฤษฏางค์แห่งพระขนิษฐาอย่างเข้าพระทัย คำปลอบประโลมและท่าทางนั้นทำให้มณีเรขาเต็มตื้นด้วยความซาบซึ้งพระทัยยิ่ง
พี่ว่าเราไปหาอะไรทำให้เพลิดเพลินใจดีกว่านะน้องรัก อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ลืมความทุกข์ที่จะมาถึงไปได้บ้าง
เนตรสุกสกาวราวแสงดาริกาเบนขึ้นสบอีกฝ่ายด้วยความฉงนฉงาย
ก็พี่รู้ว่าเจ้าวาทิตเอกผู้นั้น กำลังจักแสดงวาทยาการอยู่ที่กลางลานด้านท้ายเมืองของเราน่ะสิ เห็นชาวพาราต่างก็จูงลูกจูงหลานไปนั่งฟังมันบรรเลงกันอย่างสนุกสนานครึกครื้นนัก
พี่หญิงทรงหมายความว่า...
ใช่! เราสองคนลอบออกไปจากราชฐาน เพื่อไปชมมหรสพของมาณพหนุ่มผู้นี้กันดีกว่า พี่เตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าไม่มีผู้ใดจับได้เด็ดขาด เมนกา...
ท้ายสุรเสียง เจ้าหญิงหิรัญรัศมีตรัสเรียกนางพระกำนัลส่วนพระองค์ที่ตามเสด็จให้ตามเข้ามาด้วย เมนกาถวายความเคารพอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วพับเพียบอยู่แทบบาทรอคำบัญชา
ข้าจะให้เจ้าปลอมเป็นเมนกาเอง ส่วนนางเมนกานั้นก็ให้ปลอมเป็นตัวเจ้าสลับกันอย่างไรเล่า แล้วให้นางทำทีรอคอยพวกเราอยู่ภายในตำหนักนี้ ดูสิรูปทรงของเมนกาเอง ถ้าไม่มีผู้ใดสังเกตชัดเจนก็แทบจะผอมเพรียวไม่ต่างกับตัวเจ้าเลยนะมณีเรขา
แล้ว บราลีเล่าเพคะ?
เจ้าหญิงแห่งวิเทหะทรงนึกถึงนางพระกำนัลคู่หูของเมนกาขึ้นมา หากหิรัญรัศมีก็รีบตัดบททันควัน
นางก็ไปดูต้นทางให้เราอย่างไรเล่า เร็วเข้าเถิดมณีเรขา ขืนชักช้าเราอาจจะไปไม่ทันการแสดงของมาณพผู้นั้นเสียก่อนนะ
คำเตือนแกมเร่งกระชั้นทำให้ทรงตัดสินพระทัยในทันที โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงนายวาทิตเอกที่ไม่ได้พานพบกันมากนานหลายเพลาแล้ว
เจ้าหญิงองค์น้อยหาได้ตระหนักถึงกลลวงด้วยเล่ห์ร้ายของพระพี่นางที่ฉาบหน้าไว้ด้วยรอยแย้มสรวลเบื้องหน้านี้เลยแม้แต่น้อย...
*******************
ตอบเพื่อนนักอ่านครับ
คุณ mimny : การผ่านกัลปาลัยออกมา ของตัวละคร จะทำให้บางอย่างสูญเสียไปครับ อย่างสภาพร่างกายของลุงอาตม์ครับ
คุณไก่ : ลงไปสี่รอบครับ หายเกลี้ยงเลย แปลกใจเหมือนกันครับ
คุณnasa nasa : ผอบแก้วมีวิธีแก้แค้น ที่โหดมากกว่านั้นอีกครับ ลองติดตามต่อนะครับ
อาจารย์จี : ตอนนี้ทั้งน่าสงสาร แต่ต่อไปจะน่ากลัวด้วยครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันนะครับ ถ้ามีโอกาสพบกันที่บู๊ต ณ บ้านฯ งานสัปดาห์หนังสือ ก็มาทักทายกันได้เลย ยินดียิ่งครับ
หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ต.ค. 55 08:56:19
|
|
|
|