Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 16 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12761961/W12761961.html

บทที่ 16

'ซาตานวจาหรือ หมายถึงเขยชั่วของเจ้าฟ้าจ่างหรือเปล่า' โชติชลนึกสงสัยทันทีที่ได้ยินหมอผาเปรยด้วยเสียงต่ำเจือกังวล เขาแวะจอดเติมน้ำมันก่อน ระหว่างรอก็ซักถามไปด้วย

"ก็คนเดียวกันนั่นแหละ"

หมอผาก็ตอบให้หายสงสัย เขาไม่รู้ตัวว่าสร้างความเวียนหัวให้พ่อหนุ่มญาติห่างๆ ด้วยกิริยาเดี๋ยวเปิดตาปิดตานี่แหละ โชติชลน่ะรำคาญจะตาย เพราะนอกจากเดาไม่ถูกว่าคุณอาพิลึกทำอะไรแล้ว อีกใจยังแอบกลัวๆ อย่างไร้เหตุผลด้วย

"อ้าว ก็ไหนอาบอกว่าแม่นางกณิการ์สั่งนักรบลากไปโยนเหวนรกอะไรนั่นแล้วไม่ใช่หรือ"

"เออ ก็นั่นแหละจุดเริ่มต้นที่ไม่มีใครคาดคิดล่ะ"

ตามจารึกในคัมภีร์ไสยเวทย์โบราณก็ระบุชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคนในคามดารกะ หรือพูดง่ายๆ ก็ต้องบอกว่าหลังจากที่เขยชั่วโดนปลดและถูกลากไปชดใช้ชีวิตในหุบเหวปีศาจนอกเขตคามแล้ว ความสงบก็ย้อนคืนกลับมาดังเดิม




เจ้าฟ้าจ่างกลับสู่สวรรค์ไปอย่างเงียบๆ ในค่ำคืนที่ดาวประจำตัวดับวูบและร่วงลงสู่ทุ่งเกษตร ประชาชนล้วนให้การสนับสนุนและยกย่องแม่นางกณิการ์ด้วยหัวใจ ต่างพร้อมใจส่งนางสู่พิธีเทิดทูนเจ้าฟ้า

แม่นางจงอรล้มป่วยกระเสาะกระแสะเพราะตรอมใจไม่หายกับชะตาอัปยศที่ได้รับจากตัณหาหยาบช้าของวจาช่างตีดาบ งานน้อยใหญ่ทั่วคามจึงหลั่งไหลสู่สองมือแม่นางผู้น้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กลางดึกคืนหนึ่ง แม่นางจงอรทุกข์ทรมานสุดแสนด้วยพิษไข้ใจ ตัวร้อนจัดและไข้รุมเร้าหนักหน่วง หลายครั้งที่กระอักเลือดกองโตจนแม่นางผู้น้องอดหวั่นวิตกไม่ได้

"จงทำจิตใจให้เข้มแข็งเข้าไว้เถอะแม่นางเจ้าข้า"

พระครูลาพุชกล่าวปลอบประโลมเพราะอ่านสีหน้าออก ร่างชราเดินตามหลังมาหยุดหน้าระเบียงโค้งด้วยกิริยานอบน้อม

ข้างล่างส่องสว่างด้วยโคมไฟรายรอบ นักรบองครักษ์เฝ้าเวรยามขันแข็ง โดยมีองครักษ์แห่งแม่นางกณิการ์เช่นท่านศมะคอยควบคุมความเรียบร้อยอย่างเข้มงวด

"พูดแบบนี้หมายความว่าเจ้าพี่เราจะกลับสู่สวรรค์แล้วละสิท่านพระครู เราเบื่อหน่ายจริงๆ ทุกครั้งที่ได้ฟังท่านกล่าวปลอบโยนด้วยประโยคนี้ มันเหมือนเป็นการบอกภัยล่วงหน้ายังไงก็ไม่รู้"

"เรียกว่าภัยได้ยังไงแม่นาง ความตายมันมาพร้อมกับเราตั้งแต่เฮือกแรกที่เราได้สูดหายใจแล้ว แต่แม่นางดูเอาเถอะว่ามันเคยกดดันหรือบีบคั้นให้เรากระวนกระวายหรือหวาดกลัวหรือเปล่าเจ้าข้า"

"เปล่า"

"ก็นั่นน่ะสิ แล้วทำไมต้องเรียกความตายว่าภัย ตรงกันข้ามนะแม่นาง ความตายก็คือเพื่อนแท้ที่จะคอยรับตัวตนของเรากลับไปสู่ที่ที่เราเคยจากมาอย่างอดทนต่างหาก"

แม่นางกณิการ์ในวัยเบญจเพสทอดถอนใจพลางเงยขึ้นมองดาวประจำตัว ตาคมกล้าเพ่งเฉพาะดาวอาสภดวงประหลาดที่พระครูผู้จงรักมักจะบ่นรำพึงอะไรก็ไม่รู้เข้าหูอยู่บ่อยๆ นางชี้มือแล้วถามว่า

"ท่านเห็นดาวอาสภในคืนนี้ไหม มันเปล่งแสงจ้าผิดปกตินะ"

"ถูกแล้วเจ้าข้า เพราะสามเดือนก่อนมันหรุบหรู่คล้ายใกล้ดับรอมร่อ ผ่านพ้นสามเดือนให้หลังมันจะเจิดจรัสเช่นนี้และยาวนานไปจนสิ้นสุดสามเดือนถัดไป"

"เป็นอันว่าท่านยังทุบปริศนาไม่แตกสินะ อ้อ หรือดีไม่ดี ไอ้เจ้าดาวอาสภดวงนี้อาจไม่มีอะไรเลย แต่พระครู.. "

"ไม่หรอกแม่นาง" พระครูผู้เชี่ยวชาญรีบแย้งทันควัน "อย่าได้ละเลยและมองข้ามแสงที่บางครั้งหรี่บางครั้งวาวของมันเชียวเจ้าข้า มันมีปริศนาร้ายแอบแฝงแน่นอน เพียงแต่เวลานี้.. "

"แม่นางเจ้าข้า แม่นาง รีบเข้ามาเจ้าข้า"

สาวใช้รีบร้องตะโกนละล่ำละลักดึงคู่สนทนาสาวเท้าปราดกลับเข้าข้างในแล้วพากันเบิกตากว้างพร้อมกับใจหายวาบ

เพราะแม่นางจงอรหน้าขาวเผือดเหงื่อผุดชุ่ม นางพยายามจะลุกขึ้น ตาหรี่ปรือเพ่งวงหน้าแตกตื่นของแม่นางผู้น้อง แล้วฝืนกำลังเค้นเสียงแหบเครือออกมาว่า

"แม่นางกณิการ์ เจ้าพี่กำลังจะไปสมทบกับเจ้าพ่อเจ้าแม่แล้ว มาให้เจ้าพี่กอดอำลาเถอะเจ้า"

"อย่าพูดส่งเดชนักเจ้าพี่ เพ้อเจ้อไปใหญ่ แค่กระอักเลือดสามสี่คราวมันไม่ถึงกับทำให้เจ้าพี่ดับสูญได้ พระครู ท่านเข้ามาตรวจอาการเจ้าพี่เราเดี๋ยวนี้ มียาวิเศษขนานไหนก็จัดๆ มาให้เพียงพอ"

"ยาวิเศษมีขนานเดียวเจ้าข้า" พระครูลาพุชบอกเสียงต่ำแล้วก้มหน้า

"พระครู"

แม่นางกณิการ์ใจหายกับกิริยานั้น นางฉลาดปราดเปรื่องออก ฟังเท่านั้นก็ตีความออกแล้วว่าในยามวาระสุดท้ายมาเยือน ยาขนานไหนก็ไม่วิเศษไปกว่าอ้อมกอดอำลาที่แม่นางผู้พี่ร้องขอ

"เจ้าพี่"

แม่นางผู้เกรียงไกรหย่อนร่างลงให้แม่นางผู้พี่สวมกอดน้ำตาไหลอย่างอาลัยอาวรณ์ มืออ่อนล้าและสั่นนิดๆ ลูบเรือนผมที่แม่นางกณิการ์รวบด้วยสายสร้อยอัญมณีแทรกสลับด้วยเกลียวดอกไม้ ก่อนจะประคองวงหน้าผุดผาดแล้วสบตาอาดูรยิ่ง

"เจ้าอย่าได้เสียใจที่เจ้าพี่ได้ตามไปสมทบกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ก่อนเชียว วันคืนยาวนานหลังจากที่เจ้าต้องปกครองคามดารกะไปอย่างลำพัง เจ้าพี่ละอายใจนักที่ไม่อาจช่วยเหลือหรือแบ่งเบาภารกิจของเจ้าได้แม้แต่น้อย"

"น้องไม่ต้องการให้ใครช่วยหรอก มีคนมากก็เรื่องมาก ลำพังเถียงกับพระครูลาพุชน้องก็เหนื่อยปากจะแย่ นี่ยังแถมท่านศมะปากเปราะอีกคน โน่นก็ตินี่ก็ติง น่าเบื่อทั้งสิ้น ขืนให้เจ้าพี่มาแทรกแซงด้วย น้องคงต้องตัดหูทิ้งเสียล่ะ"

"แม่นางคนดีของเจ้าพี่" แม่นางจงอรปลาบปลื้มและซาบซึ้งนักที่แม่นางผู้น้องช่างเฉไฉบรรยากาศเศร้าสลด "เจ้าพี่ปลาบปลื้มยิ่งที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินคามดารกะ ร่วมชะตากับเจ้าผู้เป็นน้องสาวที่เก่งประหนึ่งชายอกสามศอก"

"น้องก็ยินดียิ่งที่มีเจ้าพี่ผู้งดงามและเป็นที่หมายปองของหน่อเนื้อเจ้าฟ้าต่างคามมากมาย"

"จงฟังเจ้าพี่ให้ดี"

พระครูลาพุชเงยหน้าอย่างไม่มีเหตุผล ท่านสะดุดใจกับน้ำเสียงจริงจังกะทันหันของแม่นางจงอร ยามแน่วนิ่งประสานตาช้ำที่จางแสงจรัส ใจก็พลันเต้นแรงประหลาดขึ้นมา

"หลังจากที่เจ้าพี่ไปแล้ว น้องเราจงรับปากออกเรือนสู่หน่อเนื้อธุวชินเถอะ อย่าได้แบกรับภารกิจหนักหน่วงไว้อย่างลำพังอีกต่อไปเลย น้องแบกรับไม่ไหวหรอก"

"เป็นความปรารถนา.. "

"ใช่ เป็นความปรารถนาสุดท้ายของเจ้าพี่เอง รับปากได้ไหมแม่นาง อย่าต่อสู้กับชะตาหายนะไปตามลำพังเลย น้องต้องมีใครสักคนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา และไม่ใช่ท่านพระครูหรือท่านศมะ"

"ชะตาหายนะอะไรกัน เจ้าพี่กำลังจะบอกอะไรน้องหรือ"

"จะบอกว่าชะตาหายนะจะมาพร้อมกับแสงอันเจิดจรัสของดาวอาสภ มันเป็นดาวประจำตัวของซาตานชั่ว เจ้าพี่เห็นมันในฝันเมื่อกี้นี้เอง"

"ซาตานชั่วหรือ ใครกันเจ้าพี่ รีบบอกน้องมา น้องจะจัดการกำราบมันให้ดับสูญเอง"

"แม่นางน้องเรา ชะตาหายนะแห่งเจ้ามันยาวไกลนัก"

"ยาวไกลหรือ"

"ใช่ ยาวไกลนักแม่นางเอ๋ย ยาวไกลไปบรรจบกับกาลหน้าเลยเชียวเจ้า"

"เจ้าพี่"

แม่นางกณิการ์ลอบกลืนน้ำลายพรั่นพรึง สันหลังเย็นวาบ แต่ใจเต้นแรง แม่นางจงอรทิ้งกายมาซบอกแล้วนิ่งไปเฉยๆ เสียงแหบเครือหลังสิ้นวาจาสั่งเสียประหลาดก็เงียบลงไปแล้วเช่นกัน

"เจ้าพี่เจ้าข้า เจ้าพี่ ขานน้องสิเจ้าข้า เจ้าพี่"

เมื่อเรียกไม่ขาน ก็ต้องเร่งเขย่า แม่นางจงอรตัวเย็นตัวนิ่มไปหมด โอ้ หลับตาพริ้มอีกด้วย หรือว่าออกเดินทางไปแล้ว คงไม่กระมัง

"ท่านพระครู" เมื่อคะเนหวั่นๆ อย่างลังเลแล้วก็อดที่จะหันไปเรียกหาที่พึ่งทางใจไม่ได้

"แม่นางจงอรเหนื่อยมากแล้วเจ้าข้า ประคองให้นอนลงเถอะ ตลอดคืนนี้ แม่นางก็จงนอนเป็นเพื่อนเถอะเจ้าข้า ผ่านพ้นคืนนี้ไปแล้ว ก็จะไม่มีค่ำคืนต่อไปอีกแล้ว แม่นางเข้าใจใช่ไหมเจ้าข้า"

คนฟังพยักหน้าว่าเข้าใจ ถ้าไม่ได้นอนร่วมเตียงด้วยในคืนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วตลอดกาล พระครูลาพุชคงทราบล่วงหน้าแล้วละว่าเจ้าพี่ผู้น่าสงสารใกล้จะออกเดินทางเต็มที ถ้าไม่รุ่งสางก็คงไม่เกินเที่ยงพรุ่งนี้เป็นแน่

ซึ่งมันก็ตรงกับนิมิตชั่วครู่ชั่วยามของฤดีดิษถ์กลางป่าอัญมณีนั่นล่ะ เธอโดนทดสอบจากพระครูลาพุชจนหมดสติ แล้วดวงจิตแห่งกาลเก่าก็ดึงดูดเธอกลับมาสู่ช่วงเวลาวิปโยคพอดิบพอดี

แม่นางจงอรเดินทางกลับสู่สวรรค์ ณ ยามเที่ยง สร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่เหล่าประชาชนไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงแม่นางผู้น้องหรอกนะว่าหัวใจสลายเจือเดียวดายแค่ไหน




ดาวอาสภเปล่งแสงเจิดจ้าจนสามารถเห็นประกายแดงจัดได้อย่างน่าพิศวง รายรอบมันคือดาวโคจรทั่วไป

หากจะมีให้เห็นว่าประหลาดนักก็คงจะเป็นดาวปริศนาดวงหนึ่งที่โคจรวนไปวนมารอบตัวมัน บางครั้งก็ถอยห่าง บางครั้งก็พุ่งเข้าไปเฉียด และดูเหมือนว่าวิถีโคจรเช่นนั้นจะมีผลต่อแสงในดาวอาสภเสียด้วย

"พักผ่อนบ้างเถอะท่านพ่อ ลูกเห็นท่านจ้องเขม็งดาวอาสภมาหลายปีเต็มที รู้ตัวหรือเปล่าว่าท่านชราลงไปเยอะเลย เพราะทุ่มเทหมกมุ่นให้กับการค้นหาคำตอบ"

"มันมีคำตอบจริงๆ แต่พ่อยังหาไม่เจอเท่านั้นท่านศมะ"

สองพ่อลูกนั่งหารือกันกลางลานฝึกท่ามกลางรัตติกาลเหน็บหนาว หนึ่งปีให้หลังนับแต่ผ่านพ้นพิธีส่งหน่อเนื้อเจ้าฟ้ากลับสู่สวรรค์แล้ว แม่นางกณิการ์ก็เงียบขรึมลงจนน่าใจหาย

ทุกวันหลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว แม่นางเจ้าฟ้าก็มักจะไปขลุกตัวอยู่ในโรงนาฏศิลป์ ทบทวนการร่ายรำเพื่อระลึกถึงแม่ครูยานี จนเหงื่อชโลมกายแล้วนั่นล่ะ นางจึงค่อยหยุดและยอมกลับออกมา แต่ก็ไม่ได้เจรจากับใคร นอกจากตรงดิ่งกลับห้องนอนไปเงียบๆ

"ท่านพ่อได้สอบถามแม่นางเจ้าฟ้าหรือยังว่ามีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า"

ท่านศมะเลียบเคียงถามในสิ่งที่ตนไหว้วาน อันที่จริง ถามเองก็ได้ แต่ก็เชื่อว่าด้วยนิสัยทระนงแกมดื้อรั้นของแม่นาง คงไม่ยอมรับโดยง่าย หากให้บิดาออกหน้าถาม บางทีแม่นางอาจเกรงใจยอมแพร่งพรายออกมาสักนิด

"ยังไม่ได้ถาม ไม่มีจังหวะ" พระครูตอบแล้วหัวเราะแผ่ว ตาขรึมยังเขม็งเจ้าดาวปริศนา

"อะไรกัน นอกจากลูกแล้ว ก็มีท่านพ่อนี่ล่ะ เข้านอกออกในห้องนอนแม่นางได้ ถ้าท่านบอกว่าไม่มีจังหวะ.. "

"ท่านศมะ" บิดายอมลดตาลงมองสีหน้ารุ่มร้อนของหนุ่มองครักษ์ "ความในใจของเจ้าฟ้าเจ้าชีวิต มันไม่ใช่กงการของเราเหล่าประชาชนที่จะต้องเข้าไปสอดรู้ให้เห็นแจ้ง มันเกินหน้าที่ของเรา เจ้าเข้าใจเรื่องนี้แต่ทำเป็นลืมใช่ไหมเจ้า"

"ท่านพ่อ"

"แล้วอีกอย่างนะ เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา แม่นางจงใจเก็บตัวเก็บเสียง แม้แต่กับเจ้าที่เคยหยอกล้อกัน ฝึกปรืออาวุธด้วยกัน ขี่ม้าด้วยกัน แม่นางก็ดูจะตีตัวออกห่างชอบกล นี่แหละหนาเจ้า ดั่งคำที่ว่าใกล้มอดวาสนาล่ะ"

ท่านศมะในวัยหนุ่มฉกรรจ์ผุดลุกเต็มความสูง ท่วงท่าองอาจผ่าเผย ลำตัวหนาใหญ่แลบึกบึนสมกับที่ได้รับตำแหน่งองครักษ์ข้างกายแม่นางกณิการ์

อารมณ์คุกรุ่นด้วยแรงห่วงใยผลักร่างในชุดนักรบทะมัดทะแมงสีเทาให้เคลื่อนห่างบิดาไปสองสามก้าว กรอบหน้าห้าวหาญผินไปบรรจบทิศห้องนอนของแม่นางเจ้าฟ้า แล้วค่อยทอดถอนใจหนักๆ

ตอนแรกก็อยากเคืองที่โดนบิดาเหน็บแนมเหมือนซ้ำเติม แต่เมื่อมาคิดอีกทีก็เห็นว่ามีเค้า แม่นางกณิการณ์จงใจทำอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร

"มานั่งเถอะเจ้า แม่นางคงหลับแล้ว อย่าได้ส่งกระแสจิตไปรบกวนเวลาพักผ่อนของแม่นางเข้าล่ะ" บิดาก็ขยันเหน็บแนมไม่หยุดทีเดียว

"ท่านพ่อ ทำไมปากไม่ดีกับลูกเลย" เสียงต่อว่าเริ่มขุ่นเล็กน้อย แต่ร่างองอาจก็ยอมย้อนกลับมานั่ง แล้วค่อยเปรยหม่นหมองขึ้น "อีกสามวัน แม่นางของเราก็จะ.. "

โอ้ เปรยไม่จบอีก แถมยังก้มหน้าซ่อนความอาดูร ลำคอก็พลันตีบเสียดื้อๆ ใจมันหายและโหยหารุนแรงยิ่ง ยามเมื่อนึกว่าแม่นางเจ้าฟ้าในดวงใจกำลังจะออกเหย้าไปกับหน่อเนื้อต่างคามเจ้าของนาม 'ธุวชิน'  

"ท่านศมะ" พระครูลาพุชเรียกเสียงอ่อนพลางตบบ่าเบาๆ เข้าใจความรู้สึกขององครักษ์หนุ่มเป็นอย่างดี "จงเก็บรักของเจ้าไว้ภักดีเสมอฐานะองครักษ์เถอะเจ้า อย่าใช้มันเชือดเฉือนตัวเองให้เจ็บปวดเลย"

"ลูกรู้"

"รู้อย่างเดียวไม่ได้หรอกเจ้า ต้องระลึกไว้เสมอด้วยว่าวาสนาไม่ใช่สิ่งที่จะอาจเอื้อมหรือต้องแตะได้ตามแต่ใจปรารถนา มันคือสิ่งที่ฟ้ากำหนดมาเรียบร้อยแล้ว"

"รู้แล้วน่า จะย่ำเหยียบบาดแผลลูกไปถึงไหนกันเล่าท่านพ่อ เหลวไหลจริง เราไม่ได้คุยกันเรื่องดาวอาสภหรอกหรือ โอ้ ดูสิ มันเปล่งสีแดงเพลิงด้วย มัน.. "

บิดาอมยิ้มเพลิน ฟังบุตรชายค่อนขอดฉุนเฉียวก็เพลิน แต่จู่ๆ ก็ต้องเลิกคิ้วงุนงงว่าทำไมบุตรชายหยุดพูดกึก แสงตากับสีหน้าก็ดูประหลาดนัก สีแดงเพลิงของเจ้าดาวปริศนามันมีอะไรน่าแตกตื่นหรือ

"โอ้ นั่นมันเหตุอาเพศใช่ไหม"

ครั้นพอตนเงยจ้องบ้างก็ค่อยหลุดเสียงอุทานแหบพร่าออกมาอย่างพรั่นพรึง ก็แน่ล่ะ ดาวอาสภมันเคลื่อนย้ายสีแดงเพลิงไปวนเป็นวงเหนือห้องนอนของแม่นางกณิการ์อย่างน่าอัศจรรย์นี่นา

มิหนำซ้ำ ขณะที่ประกายแดงน่าขนลุกนั้นกำลังฉายฉานเต็มที่ ก็พลันปรากฏหมู่ดาวเล็กดาวน้อยร่วงพรูประหนึ่งเกร็ดอัญมณีป่น

มันกระทบกับยอดแหลมของหอคอยบนหลังคาแล้วแตกดับวับแล้ววับเล่า มองอย่างไม่สนใจนักก็นึกไปเสียว่ามันคือดอกไม้ไฟหรือพลุที่พุ่งโพลงวูบเดียวแล้วดับเลย

"มันอะไรกันท่านพ่อ มันมีความหมายหรือเปล่า ท่านพ่อ ท่านเร่งทำนายเร็วเข้า ทำไมมันไปป้วนเปี้ยนเหนือห้องนอนแม่นางเจ้าฟ้าได้เล่า ท่านพ่อ เอ้า ท่านพ่อ"

ท่านศมะเหลียวกลับไปข้างหลัง เมื่อฉุกคิดได้ว่าตนปราดร่างองอาจมาหยุดชิดโรงเก็บอาวุธ ยังได้ยินเสียงม้าช้างกรีดเสียงครางมาแว่วๆ แต่ครั้นเห็นว่าบิดาเงียบไป จึงออกจะผิดสังเกต

แล้วดูสิ ผละไปตอนไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้เขาพร่ำลนลานไปตามลำพังได้ยังไง พระครูลาพุชนี้หนอ ยิ่งสูงวัยก็ยิ่งทำอะไรแผลงๆ แปลกๆ ขึ้นทุกที




พระครูลาพุชรุ่มร้อนประหลาดในทรวง ปริศนาของอาสภคืออะไร ทำไมท่านจึงมองไม่เห็นคำตอบ มันก่อเกิดตั้งแต่ยุคสมัยของแม่นางอชินี โคจรป้วนเปี้ยนไม่ห่างคามดารกะโดยปราศจากแสง ดั่งว่าเป็นดาวข้าศึกที่ซ่อนรัศมีจู่โจม และคืบคลานอย่างใจเย็น

ใช่ มันใจเย็นมาก วนเวียนจากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง ที่น่าอัศจรรย์แก่ใจฉงนของท่าน ก็ตรงที่มันยอมอวดแสงกะพริบเป็นครั้งคราวนับแต่คามดารกะแต่งตั้งแม่นางแพรเป็นชายาเจ้าฟ้าคนใหม่ นับแต่แม่นางแพรรับวจาช่างตีเหล็กเข้ามาพักพิงในเขตคาม

แสงที่เพียงกะพริบเป็นครั้งคราวเจิดจ้าขึ้นทุกค่ำคืน นับแต่วจาเลื่อนขั้นเป็นเขยเจ้าฟ้า แล้วมันก็เฉาหม่นลงนับแต่แม่นางกณิการ์สั่งปลดเขยเจ้าฟ้าพร้อมกับประหารแม่นางแพร

แต่ค่ำคืนนี้ แสงเฉาหม่นพลันพราวจ้าน่าขนลุกด้วยสีแดงเพลิงที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน อิทธิพลของแสงประหลาดสามารถคุกคามดาวเล็กดาวน้อยข้างเคียงให้ถึงกาลอวสาน

มันจงใจลากดาวเคราะห์ร้ายเหล่านั้นไปแตกระเบิดเหนือห้องนอนของแม่นางกณิการ์ ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น

คิ้วที่ขมวดอยู่นานค่อยคลายออกพร้อมกับเสียงถอนหายใจหนักหน่วง สีหน้าของพระครูลาพุชเผยความกลัดกลุ้มระคนพรั่นพรึงต่อเหตุที่ไม่อาจล่วงรู้และอธิบายไม่ถูก

ท่านวางกระดานชนวน ลุกเดินมือไพล่หลัง ดวงตาขรึมหลุบมองปลายเท้าที่เคลื่อนวนเวียนเนิบช้า ปากก็พึมพำว่า

"ดาวอาสภ เจ้ามาจากไหน เจ้าเป็นเจ้าชะตาของใครในคามดารกะหรือ"

ท่านเงยหน้าแล้วถอนใจแผ่ว พลางเดินไปหยุดหน้าระเบียงกว้าง แหงนมองสีแดงเพลิงเจิดจ้าน่าขนลุกของดาวปริศนาอย่างครุ่นคิด

"ไม่ว่าเจ้าจะมาจากไหน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเจ้าชะตาของใคร หรือแม้ว่าเราจะยังค้นหาตัวตนของเจ้าไม่พบ แต่เราก็รู้ดีว่าเจ้าไม่ใช่ดาวที่ส่งเสริมบารมีของแม่นางกณิการ์ ตรงกันข้าม เจ้าปรากฏตัวเพื่อรอพิฆาต"

พระครูลาพุชหลับตาตรึงอิริยาบถแหงนคอตั้งบ่าดังเดิม เปลือกตาเต้นตุบและร้อนระอุไปด้วยไฟแห่งความใคร่รู้

สิ่งที่ใคร่รู้กลับไม่รู้ แต่สิ่งที่ไม่ปรารถนาใคร่รู้ กลับเห็นแจ้งอย่างเศร้าใจ แม้จะทำนายได้ไม่แน่ชัด แต่ทะเลเลือดที่สาดกระหน่ำเข้ามาท่วมคามดารกะ ก็ย่อมไม่ใช่ลางดี

มันน่าอัศจรรย์แกมสยดสยองเร้นลึกเมื่อท่านเพิ่งฉุกคิดได้ว่าทะเลเลือดผืนนั้น มีสีแดงเพลิงไม่ผิดเพี้ยนไปจากดาวอาสภ ปริศนาสองสิ่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกัน และเป้าหมายที่ปรากฏตัวก็คงจะพ้องกัน นั่นก็คือ 'พิฆาตแม่นางกณิการ์'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 16:51:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com