Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ รักโรแมนติกวงการแพทย์ บทที่ 8 สงครามเสื้อกาวน์ ปันนาเข้าพบเจ้าของไข้ทอฝัน ติดต่อทีมงาน

ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้





ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ หรือ ลิขิตรัก เสื้อกาวน์สีขาว

นิยายรักโรแมนติกในวงการแพทย์

เรื่องราวความรัก ความแค้นระหว่างอดีตนักศึกษาแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  ที่มีเหตุจำเป็นถูกใส่ร้ายจนเรียนไม่จบ ต้องจากไปต่างบ้านต่างเมือง จากหญิงคนรักที่ทำให้เขาเจ็บปวดสุดแสนสาหัส สิ้นรัก สิ้นอนาคต ชีวิตจะมีความหมายอะไร

หากหัวใจเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ

แต่แล้วสวรรค์ก็ลิขิตให้เขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในนามมหาเศรษฐีชาวจีน เพื่อกลับมาแก้แค้นหญิงคนรัก แต่บัดนี้ เธอกลายเป็นแพทย์อาชีพที่เขาเคยใฝ่ฝัน แต่เรียนไม่จบ

เขาจะทำให้เธอรักเขาอีกครั้งในสถานะใหม่ และทิ้งเธอไปเช่นที่เธอเคยทิ้งเขาไปในอดีต

แต่แล้วกลายเป็นว่า เขานั่นแหละกลับมาหลงรักเธออีกรอบ ไม่ใช่สิ เขาไม่เคยหยุดรักเธอเลยต่างหาก  และปมในอดีตที่ต้องการสะสางกลับค่อยเผยตัวมาทีละนิด

ขณะเดียวกันความเป็นหมอทั้งจิตวิญญาณของเธอกลับก่อความวุ่นวาย ทำให้เขาเดือดร้อน ต้องคอยตามช่วยเธอตลอด

แล้วนี่ เขาจะเอาเวลาที่ไหนมาแก้แค้นเธอกันล่ะ


นิยายเรื่องนี้ เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
มิได้เอาเรื่องจริงของแพทย์ท่านใดมาแฉ
แต่เรื่องดีๆที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นชีวิตจริงของแพทย์บางท่าน


แพทย์ไม่ใช่อาชีพ แต่แพทย์ต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์ ความเป็นแพทย์ไม่มีเวลาพักร้อน ไม่มีวันหยุด ไม่ใช่เป็นแพทย์เฉพาะในโรงพยาบาล

หมอจะไปไหน เมื่อเจอคนเจ็บ จะไม่ปิดบังสถานะภาพของตนเอง ต้องรีบรุดไปให้ความช่วยเหลือ โดยไม่ต้องมาคำนึงว่า
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง แต่ดันเอากระดูกมาแขวนคอ
ในกรณีที่การช่วยเหลือไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และอาจถูกฟ้องร้องได้

แต่ไม่ว่าจะถูกกล่าวหาอย่างไร แพทย์ก็คือแพทย์ ต้องยืนหยัดทำหน้าที่ของตนให้ดีที่





นิยายชุด เสื้อกาวน์สีขาว
1ลิขิตรักเสื้อกาวน์สีขาว หรือยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์

2 ปาฏิหาริย์รักเสื้อกาวน์สีขาว


3 สายใยรัก เสื้อกาวน์สีขาว











สงครามเสื้อกาวน์

 
ทันทีที่แพรวาก้าวเข้ามาในห้องประชุม หญิงสาวก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่แตกต่างไปจากการประชุม Mortality and Morbidity Conference หรือการประชุมเคสผู้ป่วยมีปัญหาหรือเสียชีวิต ทุกครั้ง วันนี้หมอที่ยืนนำเสนอเคสคนไข้มีปัญหาหน้าจอโปรเจคเตอร์คือหมอปันนา สูตินรีแพทย์ประจำโรงพยาบาล  


ที่แปลกก็เพราะปกติแผนกที่ครองอันดับคนไข้เสียชีวิตมากเป็นอันดับหนึ่ง คือแผนกอายุรกรรม รองลงมาคือศัลยกรรม นานๆจึงจะมีเคสเด็กหรือสูติหลงมาสักที และเมื่อกวาดตามองไปรอบๆห้อง ก็พบนายแพทย์รักดี แพทย์ผู้อำนวยการนั่งเด่นอยู่หัวโต๊ะราวกับเป็นประธานในที่ประชุม

ทั้งที่ประธานตัวจริงคือนายแพทย์ฉัตรมงคล หัวหน้าแผนกศัลยกรรม เจ้านายโดยตรงของแพรวา ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกเคสที่จะนำเสนอ ในกรณีที่เป็นเคสน่าสนใจ หรือเพื่อการเรียนรู้ความผิดพลาด และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

               

แต่ที่แปลกที่สุดคือ มีแพทย์ที่ไม่ใช่แพทย์ประจำโรงพยาบาล อาจารย์นายแพทย์วิจิตร สูตินรีแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังเข้ามานั่งร่วมประชุมในนี้อยู่ด้วย
               

คงมีใครเชิญอาจารย์มาเป็นกรณีพิเศษ แพรวานึกเดาในใจ
               

หญิงสาวเลือกที่นั่งด้านหลังสุด ติดทางเดิน ข้างๆหมอวิกรมเพื่อนแพทย์แผนกเดียวกัน
               

“น่าสงสารยายกล้วย” หมอวิกรมเอียงหน้าเข้ามากระซิบเบาๆกับแพรวา เมื่อหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “ไม่ได้เป็นเจ้าของไข้สักหน่อย แต่ซวยไปอยู่เวรคืนนั้น เลยติดร่างแห กลายเป็นแพะไปด้วย”
               

ถึงจะเข้ามาไม่ทันฟังการบรรยายกรณีคนไข้ของหมอปันนา แต่จากการจับใจความคำวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนๆหรือแพทย์รุ่นพี่ที่กำลังถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ก็ทำให้แพรวารู้ว่า


หลายวันก่อนเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงในห้องคลอดและห้องผ่าตัด จนทำให้คนไข้หญิงครรภ์แก่ที่มานอนรอคลอดดีๆ กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา


ส่วนลูกน้อยของหล่อนก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นหรือตาย แม้แต่หมอเด็ก หมอสูติ หมออายุรกรรมโรคหัวใจ ที่ถูกดึงมาร่วมช่วยดูด้วยหลังเกิดเรื่อง ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้
               

แพทย์เวรในคืนนั้น ก็คือแพทย์หญิงปันนาหรือหมอกล้วย ที่หมอวิกรมเอ่ยถึงเมื่อครู่นั่นเอง
               

“ไหนๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ตกลงตอนนี้ เราจะเอายังไงกับญาติดี”
               

นายแพทย์ลักษณ์ หัวหน้าแผนกสูตินรีเวชประจำโรงพยาบาลเอ่ยขึ้น หลังจากผ่านการซักถาม ถกเถียงกันมาได้ครู่หนึ่งแล้ว ยังตกลงอะไรกันไม่ได้


“เราคงไม่เอายังไงกับญาติหรอก แต่ญาติสิ จะเอายังไงกับเรา?”
               

ผู้อำนวยการเป็นคนตอบ และถามเองในตัว สีหน้าดูเคร่งเครียด
               

“อันนี้ ก็ต้องขึ้นกับว่า เราจะอธิบายกับญาติว่ายังไง” นายแพทย์คนเดิมตอบ
               

“ที่จริง ถึงญาติจะเอายังไงกับเรา เราก็คงต้องยอมแหละ เราผิดชัดเจน”
               

แพทย์หญิงมาลินี อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อ ที่กำลังจะเกษียณอายุการทำงานในอีกสองสามปีข้างหน้า ออกความเห็นอย่างเห็นใจคนไข้และญาติ แต่ก็ถูกหมอลักษณ์คนเดิมคัดค้านด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า
               


“ผิดก็ส่วนผิด เป็นเรื่องภายในโรงพยาบาล เรื่องสำคัญคือเราจะคุยกับญาติว่ายังไง หมอทุกคนที่ดูคนไข้คืนนั้นต้องร่วมกันรับผิดชอบ หาวิธีสื่อสารกับคนไข้ให้ดี ให้เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่พูดไปกันคนละทาง จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

ฉากนี้ยังมีต่อ
ข้อความในการประขุมทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้เขียนแต่ง เรียบเรียงขึ้นมาเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
และไม่คิดว่ามีหมอที่ไหนพูดอย่างนี้ในที่ประชุมแพทย์
แต่เมื่อทำเป็นนวนิยาย ต่องการให้ฉากนี้มีความดุเดือดเลือดพล่่าน
เพื่อเป็นสาเหตุทำให้พระเอกมีเหตุผลมาแบล็เมล์โรงพยาบาลได้


แล้วปันนาก็มายืนแหงนคอตั้งบ่าหน้าตึกสูงกว่า 60 ชั้นของศูนย์การค้าและโรงแรมชื่อดังของจีนที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก
               


กนกอรหรือผึ้ง พยาบาลประจำวอร์ดที่ทอฝันนอนป่วยอยู่ เป็นคนให้ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าของไข้ทอฝันมาให้หญิงสาว พร้อมกับเล่าว่า
               


"เจ้าของไข้คือคุณมารุต เจ้าของห้างสรรพสินค้ากับโรงแรม แกรนด์โรยัล พาเลซ สาวๆกรี๊ดกันใหญ่ แต่เสียดายมีลูกมีเมียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นญาติทางไหน


รู้แต่ว่าเขามีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคนไข้ทุกอย่าง แต่เขามาเยี่ยมไม่เป็นเวลา บางทีก็ให้ลูกน้องมาถามอาการเอาไปรายงานอีกที ถ้าหมอจะพบ ต้องมารอดักช่วงดึกๆ"
               

"ดึกๆ ไปคุยกับเขาคงไม่ค่อยดีล่ะมัง เพราะเขาคงอยากจะรีบกลับไปพักผ่อนที่บ้าน หมอจะพบเขาที่ทำงาน น่าจะสะดวกกว่า"
               

"แต่ผึ้งไม่แน่ใจว่าคนระดับเขาจะให้เราเข้าพบง่ายๆหรือเปล่า"
               

"ก็ต้องลองดู"
               

"หมอลองโทรไปก่อนสิคะ เป็นเบอร์มือถือของเขาโดยตรง เผื่อเขาจะสะดวกให้เราพบที่ไหน"
ฉะนั้นเมื่อได้หมายเลขโทรศัพท์มา หญิงสาวจึงลองต่อถึงเจ้าของไข้ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าโดยตรงสักที
               


"หมอปันนาพูดค่ะ" ปันนากรอกเสียงลงไปทันทีที่ฝ่ายโน้นรับสาย                                                                 

เงียบไปอึดใจ ก่อนที่หมอปันนาจะได้ยินเสียงทุ้มนุ่ม อ่อนโยนตอบกลับมา
               

"สวัสดีครับ คุณหมอปันนา"
               

"ฉันอยากจะพบคุณ ไม่ทราบว่าจะสะดวกให้พบได้ที่ไหน" ปันนาไม่อ้อมค้อม พูดเข้าประเด็นทันที
               

"แล้วแต่คุณหมอจะสะดวกเถอะครับ"
               

คำตอบของเขาทำให้ปันนาผิดคาด เขาพูดราวกับว่าตัวเองว่างงานจัดจนปันนานึกอยากพบเมื่อไหร่ก็ได้กระนั้น
               
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว หญิงสาวรู้สึกว่าผู้ขายคนนี้ ไม่ใช่คนอวดเบ่ง แสดงบารมี จากคำบอกเล่าของสาวๆพยาบาลที่กำลังกรี๊ดกร๊าดชายหนุ่มอยู่ หล่อนทราบว่าเขาร่ำรวยติดอันดับมหาเศรษฐี 1 ใน 50 ของเมืองไทย แต่ฟังจากน้ำเสียง ดูเขาทำตัวง่ายๆ ไม่เรื่องมาก 
               

สุดท้ายปันนาก็นัดไปพบเขาที่ทำงานหลังเลิกงาน                                                                                                           

อย่างที่หมอฉัตรแนะนำ ปันนาควรจะพยายามต่อรองเงื่อนไขที่ทางโน้นอาจจะรับได้ และหล่อนควรมีโอกาสชี้แจงมุมมองหลายๆด้าน  ก่อนจะปฏิเสธ หากเขายังยืนกรานเงื่อนไขเดิม
               


ถึงหล่อนจะไม่ได้ทำะไรผิด แต่ในฐานะหมอที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ช่วยคนไข้ไม่ได้ การจะปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด ย่อมไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง การยินยอมที่ไม่มากจนเกินไป ที่จะช่วยให้ฝ่ายนั้นสบายอกสบายใจขึ้นมาบ้าง ปันนาก็เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม

       
มารุตจับตามองหญิงสาวหน้าตาเกลี้ยงเกลาผิวพรรณเนียนละเอียดที่นั่งเอามือประสานกันไว้บนตัก ตรงข้ามโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในห้องทำงานของเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาหากก็ระมัดระวังไม่แสดงความสนอกสนใจออกนอกหน้าจนคนที่ถูกมองรู้สึกขัดเขิน                                                                                                                                              

ปันนาเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตสีนิลเป็นประกายสุกใส ฉายแววเฉลียวฉลาด ไม่ยอมคน ดูได้จากจมูกโด่ง ปลายงอนเชิดขึ้นนิดๆ ที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเป็นคนหัวรั้นไม่น้อย
               

เขาเคยเห็นปันนาจากรูปถ่ายที่ให้คนไปแอบถ่ายตามคำสั่งของเฉินฮ่าวหมิง แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นตัวจริงของหล่อนเป็นครั้งแรกวันนี้เอง
               

จากรูปถ่าย เขาก็เห็นแล้วว่าทอฝันและปันนามีส่วนละม้ายคล้ายกันหลายอย่าง ยิ่งมาเจอตัวจริง ความเหมือนของสองสาวยิ่งฉายชัด ทั้งปากแก้ม คิ้วคางราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
               

และหากดวงตาทอฝันจะกลมโตเป็นสีนิลแวววามกระจ่างใส จริงใจ แทนดวงตาเรียวนิ่งลึกเร้นยากที่ใครจะหยั่งความรู้สึกได้ละก็ เขาจะเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยเลยว่า ทั้งสองคนคือพี่น้องท้องเดียวกัน หรือถ้าใครบอกว่าทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกัน เขาก็จะเชื่อโดยสนิทใจ 
               

แม้จะรู้ประวัติของปันนามาก่อนแล้วก็ตาม หญิงสาวมีน้องสาวต่างมารดาชื่อปารมี กำลังเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองคนหนึ่งของวงการบันเทิง
               

เขาเองก็เคยเห็นรูปภาพของเด็กสาวแม้จะไม่มีเวลาดูละครหลังข่าว แต่ประวัติของปารมี บริรักษ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับปันนา เขาจะหลีกเลี่ยงไม่สนใจเลยก็ไม่ได้
               

เค้าโครงรูปหน้าของปารมีว่าไปแล้วยังดูเหมือนปันนาน้อยกว่าทอฝันด้วยซ้ำ
               

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เฉินฮ่าวหมิงก็ช่างบังเอิญต้องการประวัติและรูปภาพของปันนาเพียงคนเดียว และช่างบังเอิญอีกเหมือนกันที่ทอฝันกับปันนาหน้าตาคล้ายกันมาก 
               

เหมือนชายหนุ่มจะรู้ล่วงหน้าแล้วกระนั้น
               

บังเอิญซ้อนบังเอิญนี่ มักจะไม่ใช่ความบังเอิญธรรมดา! น่าจะเป็นความตั้งใจโดยตรงเลยแหละ                

ยังจำได้ถึงเสียงของเฉินฮ่าวหมิงที่ถามอย่างร้อนรนระคนอาการลังเลมาทางโทรศัพท์ว่า                                     

“ชื่อนี้ นามสกุลนี้ตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า?...ครอบครัวล่ะเป็นยังไง" ทั้งที่ชายหนุ่มสามารถเปิดดูได้เอง จากรายงานที่เขาได้ส่งไปล่วงหน้าแล้ว                                                                                                                        

แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ก็จับอาการตื่นเต้นของเฉินฮ่าวหมิงได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาบอกว่า
    

"ไม่มีประวัติว่าเคยเปลี่ยนนามสกุลหรือแต่งงานมาก่อนครับ"            

                                                                    

ตอนนั้นเสียงฮ่าวหมิงเงียบหายไปนานผิดสังเกต จนเขาคิดว่าชายหนุ่มอาจวางสายไปแล้วด้วยซ้ำ
               
เมื่อมาคิดทบทวนอีกครั้ง เขาก็อยากจะเชื่อว่าเฉินฮ่าวหมิงเคยรู้จักหมอปันนามาก่อน
               
"คุณคงจะทราบแล้วว่าฉันมาพบคุณเรื่องอะไร" ปันนาเปิดฉากการสนทนาง่ายๆ
               

"ก็พอจะเดาได้" มารุตตอบเสียงเนิบๆ
               

"ฉันขอทราบเหตุผลว่าทำไมถึงให้หมอสูติไปเฝ้าคนไข้ที่บ้าน"
               
มารุตนึกชมผู้หญิงตรงหน้าในใจ หล่อนช่างถามได้ตรงๆดีแท้
               

"ก็คุณหมอปันนาเป็นหมอสูตินี่ครับ" คำตอบของเขาดูเหมือนกวนๆ แต่ที่จริงแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงเช่นเดียวกัน
               

"ตอนนี้คุณทอฝันไม่ได้มีปัญหาทางด้านสูตินรีเวชอีกแล้ว แต่ปัญหาของเธอคือสมองที่ยังไม่รับรู้อะไร และยังต้องให้อาหารทางสายยาง ระวังเรื่องการสำลัก และต้องการดูแลทางเดินหายใจเป็นพิเศษ รวมทั้งต้องคอยพลิกตัวบ่อยๆ เพื่อกันแผลกดทับ"
               

"เรื่องนี้ผมก็พอทราบมาเหมือนกัน"
               

"ค่ะ ...ซึ่งทั้งหมดนี้พยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาลสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าฉันอีก ฉันเป็นหมอผ่าตัด ไม่ได้เรียนวิธีการเฝ้าไข้ ดูแลคนไข้ลึกซึ้งขนาดนั้น" ปันนาบอกตามจริง
               
"ใครว่าให้คุณหมอไปพลิกตัว ให้อาหารทางสายยางให้คนไข้ล่ะครับ"
               

"อ้าว!...ก็...." ปันนาทำหน้าเหวอ 
               
มันยังไงกันแน่?
               

"ก็ไหนทางคุณบอกว่าจะให้ฉันไปเฝ้าคุณทอฝันที่บ้านยังไงละคะ? "
               

"ถูกต้อง แต่เราแค่ต้องการให้มีหมอมาแสตนด์บายอยู่ที่บ้านเท่านั้น  พยาบาลเรามีผลัดเวรกันตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว คุณหมอก็อยู่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีที่พยาบาลทำไม่ได้เท่านั้น"
               
"เท่านั้น!..." ปันนาทวนคำ
               

"ก็ใช่ครับ แค่นั้นเอง" เขาพยักหน้า แอบยิ้มขำ ท่าทางประหลาดใจของหมอปันนา
               
"ก็เท่านั้นเอง ทำไมต้องให้ฉันไปอยู่ที่นั่นตลอดด้วยล่ะคะ"
               

"ดูแค่นั้นเอง แต่ก็มีความสำคัญนะครับคุณหมอ ถ้าคนไข้เกิดปัญหาฉุกเฉิน พยาบาลทำอะไรไม่ได้ หมอมีสิทธิ์ทำได้เต็มที่ อย่างเช่น ถ้าคนไข้เกิดชักกระตุกเพราะสมองขาดออกซิเจน ถ้าเป็นพยาบาลก็คงแค่วินิจฉัยได้ แต่ไม่มีอำนาจสั่งการรักษา แต่ถ้าหมออยู่ด้วย หมอก็รักษาได้ทันที"
               

"ใช่ค่ะ...ในเมื่อคุณรู้ว่า คนไข้ที่สมองขาดออกซิเจน อาจมีอะไรแทรกซ้อนตามมาอีกมากมาย ทำไมคุณไม่ให้คนไข้นอนที่โรงพยาบาลต่อไป ในเมื่อทางโรงพยาบาลเองก็ยินดีที่จะรับผิดชอบให้การรักษาทุกอย่างโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆอยู่แล้ว" ปันนาโต้แย้งตามเหตุผล "แบบนี้จะไม่ยิ่งปลอดภัยกว่าหรือคะ"
               

"คุณหมอครับ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีใครอยากจะไปนอนเล่นที่โรงพยาบาลหรอกนะครับ ถึงจะให้นอนฟรีก็เถอะ" สีหน้าของเขายิ้มละไมอย่างคนอารมณ์ดี "โรงพยาบาลน่ะ เชื้อโรคดุๆทั้งนั้น ไม่งั้นจะมีคำว่าโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลหรือครับ" เขาแสดงความรู้ทางการแพทย์ที่ปันนาไม่อาจปฏิเสธได้
               

หมอนี่...เคยเรียนหมอ หรือเคยศึกษาด้านสาธารณะสุขมาก่อนหรือไงนะ
               

"ผมไม่เคยเป็นหมอ..ไม่เคยเรียนด้านสาธารณะสุขมาก่อน แต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับไม่รู้อะไรเอาเสียเลย" เขาพูดต่อ เหมือนอ่านใจปันนาออก
               

โชคดีที่เฉินฮ่าวหมิงให้ข้อมูลทางด้านการแพทย์มาบ้างแล้ว ทำให้มารุตมีความรู้พอที่จะตอบโต้กับแพทย์ตัวจริงที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดอยู่ตรงหน้านี้ได้
               

พูดถึงเรื่องนี้ ปันนาก็เถียงไม่ออก ก็มันจริงนี่นา..สำลักอาหารในโรงพยาบาลกับสำลักอาหารที่บ้าน หากเกิดการติดเชื้อในปอดหรือในกระแสเลือดขึ้นมา ความรุนแรงของการติดเชื้อจะต่างกันมากมาย และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ก็เทียบกันไม่ได้ด้วย
               

“โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลนี้ จะน่ากลัวก็ตอนอยู่ในห้องไอซียู เท่านั้นแหละ เมื่อคุณทอฝันย้ายออกมาอยู่ห้องธรรมดาแล้ว การติดเชื้อรุนแรงก็น่าจะลดน้อยลงไปด้วย"
               
"ก็แค่ลดน้อยลงไปนี่ครับ ยังไงก็ไม่เหมือนที่บ้านอยู่ดี"
               

"แล้วทำไมถึงต้องเป็นฉัน"
              

พอฝ่ายนั้นพูดจามีเหตุมีผลตลอด ปันนาเลยวกเรื่องสำคัญเอาดื้อๆ
               
"หรือหมอจะเสนอแพทย์ท่านอื่นมาให้ ก็ลองเสนอมาสิครับ" เหมือนเขาจะช่วยหาทางออกให้ปันนาอีกทางหนึ่ง "ผมจะได้ให้คุณเฉินพิจารณาอีกที"
               
ฉลาด...เขาย่อมรู้ดีว่าปันนาจะกล้าโยนเผือกร้อนไปให้เพื่อนได้อย่างไร
               

แต่...เอ๊ะ..เมื่อกี้เขาว่าไงนะ
               
คุณเฉิน...งั้นหรือ ใครอีกล่ะ

"แสดงว่าเรื่องนี้คุณไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นคุณเฉิน..." 
                

                                                                        

  “ครับ...คุณเฉินฮ่าวหมิง” เขาเอ่ยนามเต็มของนายเฉินราวกับว่าปันนาต้องรู้จักผู้ชายคนนั้ดี
               

"แล้วคุณเฉิ่ม” ปันนาแสร้งทำหน้างง เรียกชื่อเขาเพี้ยนไป เชอะ ใหญ่มาจากไหน ธุระอะไร ฉันต้องไปรู้จักนาย “เอ๊ย คุณเฉินของคุณนี่...ฉันจะพบได้เมื่อไร? "
 


                                                                                                          
มารุดแอบเสไปอมยิ้มทางอื่น หมอปันนานี่ ท่าทางไม่เบา                                                                                                  

คุณเฉินคงเจอปัญหาใหญ่แน่                                                                                              
               

"ไปส่งคุณทอฝันเมื่อไหร่ก็คงจะพบคุณเฉินเมื่อนั้นแหละครับ" ครั้นเห็นคนฟังขมวดคิ้ว เขาก็ขยายความต่อมาว่า  "คุณเฉินฮ่าวหมิง ท่านมีงานค่อนข้างมาก อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง คงไม่มีเวลามาคุยกับใครได้นานๆอย่างนี้หรอกครับ"
               
หนอยแหนะ..มาหาว่าเราพูดมาก ทำให้เสียเวลาล่ะซิ  แถมยังมาพูดกันท่า ไม่ให้เราพบนายเฉินอะไรนั่นเสียอีก
               

เอาเถอะ...แค่นี้ก็พอ พูดไปก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย
               
"คุณเฉินนี่คือสามีของคนไข้ใช่ไหมคะ? "
               

คนถูกถาม ต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ทั้งที่ดูๆ ก็เป็นคำถามที่ง่ายแสนง่าย แต่เขากลับไม่แน่ใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฮ่าวหมิงกับทอฝันนั้นจะลึกซึ้งถึงขั้นใช้คำว่า สามี ภรรยาได้หรือไม่
               
แต่การที่เฉินฮ่าวหมิงอนุญาตให้ทอฝันอ้างชื่อของเขาเป็นบิดาของเด็ก ก็ย่อมแสดงว่า ทั้งสองน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่า ความเป็นพี่น้องที่เคารพนับถือกัน เช่นที่เห็นภายนอกหรือที่เฉินฮ่าวหมิงพยายามให้เห็นเช่นนั้น
               
นายยังไม่เคยเอ่ยสักคำว่าทอฝันคือภรรยา 
               

เขาจะกล้าพูดจานอกเหนือหน้าที่ นอกเหนือคำสั่งได้อย่างไร
               

มารุตจึงเลือกที่จะไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับตรงๆ
               

"คุณเฉินฮ่าวหมิง คือพ่อของเด็กครับ"
               
ฉะนั้น เมื่อปันนาจากมา หญิงสาวจึงเข้าใจเอาเองว่า เฉินฮ่าวหมิงคือสามีของทอฝัน คนไข้ เจ้าหญิงนิทรา และบิดาของเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้น

หล่อนจะรอพบผู้ชายคนนั้น สามีของทอฝัน


                

ปันนาเป็นคนดื้อเสียด้วย ถึงจะถูกพูดดักคอแล้ว แต่หล่อนก็จะพยายามให้ถึงที่สุด                                        

ถ้าไม่ได้พบคนออกคำสั่งตัวจริง ไม่ได้ชี้แจงเรื่องที่หล่อนอยากจะพูด ก็อย่าหมายว่าหล่อนจะยอมปฏิบัติเงื่อนไขที่เขาเสนอมา

แม้แต่ข้อเดียว                                                                                                                                                    
ผอ. ก็ ผอ. เถอะ อย่าคิดว่าจะบังคับปันนาได้                                                                                                                     
ยิ่งคิดก็ยิ่งหมั่นไส้ นายเฉินนั่นเสียเหลือเกิน                                                                                                                           
ให้มันรู้ไปสิว่า หมอนั่น ไม่คิดจะมาเยี่ยมเมียตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว                                                                                      

แม้จะยังไม่เคยพบเฉินฮ่าวหมิง แต่ความเกลียดชัง หมั่นไส้ ที่เขาทอดทิ้งลูก เมีย ไม่แวะมาเยี่ยมเยียน ไม่มาดูแล ถามไถ่ แถมชี้นิ้วบงการคนโน้นคนนี้ ทำตัวเป็นเผด็จการยิ่งกว่าฮิตเลอร์เสียอีก ปันนาก็รู้สึกเหม็นหน้า


หมอนี่ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นหน้า 

 คนอื่นเขาไปเป็น( ^o^ )นายตั้งแต่เมื่อไหร่ เชอะ                           
                                                                                                                                                      
                                                                                                                


[ ค้นหาเว็บบอร์ดทุกโรงเรียน แวะไปล่างสุดโฮมเพจ Dek-D ]

แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 55 06:58:51

จากคุณ : mamahuhu
เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 06:50:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com