|
กระทู้ที่ผมไปแปะ ที่ ห้องสมุด ภาษาไทย
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12825678/K12825678.html#1
ขอ " สามหาว " ( อีกครา )
สวัสดีครับ อันเนื่องจากมีข้อความหลังไมค์ มาหา ในกรณีที่มาของคำว่า "สามหาว " ของคุณ บอสใหญ่ ในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12792538/K12792538.html
ความว่า
....." อยากรู้ที่มาของคำว่า สามหาว
สามหาวมาจากไหน แล้วทำไมต้องใช้คำว่าสามหาว วานผู้รู้ตอบด้วยค่ะ
จากคุณ : บอสใหญ่ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 16:12:23 "
โดยข้อความหลังไมค์ ( ไม่ใช่ คุณ บอสใหญ่ จขกท ) นั้น อ้างอิงถึงการอธิบายที่มาขอคำนี้ " สามหาว " ว่า ครั้งหนึ่ง มีผู้ที่มีความสามารถและเกี่ยวข้องกับ " โขน " และเป็นผู้ชำนาญในบทละคร และ สุดยอดวรรณคดีไทย เรื่อง " รามเกียรติ์ อันเป็นพระราชนิพนธ์ ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ล้นเกล้า ร.๑
โดยเนื้อหาสำคัญ ของข้อความนั้น คือ น่าจะมาจาก ตอนหุนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน มากกว่า น่าสนใจดีครับ จริง ๆ ผมนึกถึง ตอน ศึกไมยราพย์ เหมือนกัน เพราะ เนื้อหาตอนนั้นกล่าวถึง หนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน เพื่อแสดงว่าเป็น " พ่อของมัจฉานุ " ตัวจริงเสียงจริงดังที่แม่ของตน ( นางมัจฉา " ว่าไว้ ) ไม่แน่ใจว่า ท่านผู้นี้ ได้เคยอธิบายออกรายการโทรทัศน์ รายการดังรายการหนึ่ง ด้วย ?
แต่หากเราท่านนั่งอ่านตอน หนุมานค้นหาทางไปยังเมืองบาดาล อันเป็นนิวาสสถานฐานที่มั่นของท้าวไมยราพ์ ผู้เคยไปสะกดทัพของพระราม จนไปพบทวารบาล ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นพญาลิงเผือกแต่มีหางเป็นปลา แต่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเหมือนหนุมาน คือ " มัจฉานุ " ใน ศึกไมยราพณ์ นั้น
ผมก็เลยถามตนเองว่า หากอ้างอิงเอา ตอน ศึกไมยราพณ์ หรือ บุคคลิกพิเศษของหนุมาน มาอ้างว่า หนุมานสามารถ หาวเป็นดาวเป์นเดือน แล้ว ก็เลยสงสัยว่าจะตอบโจทย์หรืออธิบาย คำว่า " สามหาว " ให้ตรงกับความหมาย ว่า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่มีสัมมาคารวะ คุยโตโอ้อวด ถือแย่งแข่งดี และ รวมไปถึง กิริยาพาทีที่ไม่สุภาพเรียบร้อยยโสโอหังมมังการ ได้อย่างไร ???
เพราะ คำว่า " สามหาว " ไม่เกี่ยวอะไรโดยตรงกับ " หาวเป็นดาวเป็นเดือน " นักเลย
โดย ส่วนตัว ยังยืนยันความคิดเดิม ( จนกว่า จะมีเหตุผลอื่นที่ชัดเจนกว่า ) ว่า คำว่า " สามหาว " มาจาก พฤติกรรมของหนุมาน ที่แสดงกิริยาท่าทางไม่สุภาพเรียบร้อยต่าง ๆ กับ พระนารทฤาษี ตอน หนุมานถวายแหวน ครับ
จึงขอเรียนไปยังทุกท่านว่า หากมีเหตุผลใดอื่นที่จะอธิบาย คำว่า "สามหาว " แล้ว ผู้น้อยน้อมรับฟัง ขอรับ เพราะเชื่อว่า ประโยชน์อันพึงจะได้รับ ย่อมมีมาก
จึงได้แต่รอคอยวิญญูชนมาเมตตาอรรถาธิบาย ใน โอกาสต่อไป ขอรับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกท่านที่มาตอบ มาอ่านและมาเยือน นะครับ
ปล. ( เปล่าหลอก ) ขอขอบคุณ ภาพจากหนังสือภาษาไทย หนุมานลองดีกับพระนารทฤาษี ตอน หนุมานถวายแหวน ของ กระทรวงศึกษาธิการ ครับ
ความคิดเห็นที่ 2
สวัสดีครับ ขออนุญาต " สามหาว " เพื่อแสดงมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
คำว่า สามหาว มาจากคำ 2 คำ รวมกัน คือ สาม + หาว
คำว่า สาม แปลว่า
น. จํานวนสองบวกหนึ่ง; ชื่อเดือนจันทรคติ เรียกว่า เดือน ๓
หาว น. ที่แจ้ง, ท้องฟ้า, เช่น กลางหาว. ก. กิริยาที่สูดลมเข้าแล้วระบายลมออก ทางปากเมื่อเวลาง่วงนอนเป็นต้น.
หากเอาคำสองคำมารวมกัน จึงได้คำใหม่เอี่ยม ๆ ว่า " สามหาว "
1. สามหาว หากแปลง่าย ๆ ก็คือ หาวสามครั้ง
2. สามหาว หากแปลเป็นคำนาม ก็คือ ดอกสามหาว ดังมีปรากฏในประวัติจารีตประเพณีของไทย เรื่อง ประเพณีวันสงกรานต์ ครับว่า หากวันมหาสงกรานต์ปีใด เป็นวันเสาร์ นางสงกรานต์ประจำวันประจำปีนั้น คือ นางมโหธรเทวี ( คุณเธอท้องใหญ่ ? ) ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา ( นกยูง ) มีท่านผู้รู้ได้ว่าไว้ว่าคือ ดอกสามหาว คือ ดอกผักตบ ??? ในเรื่องนี้ ผมเองไม่มั่นใจนัก เพราะว่า ผักตบชวาที่เรารู้จัก มีผู้กล่าวว่าได้นำเข้ามาในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้า ร.5
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ดอกสามหาว จะคือดอกผักตบชวา ที่โบราณาจารย์กล่าวไว้ในประวัติ ประเพณีสงกรานต์หรือไม่
แต่ในกวีนิพนธ์ของเอกกวีศรีรัตนโกสินทร์ นาม ว่า สุนทรภู่ นั้น ผักตบชวา ก็ยังปรากฏในวรรณคดีไทยของท่าน ฯ ใน โคลงนิราศสุพรรณ ซึ่งเป็น โคลงสี่สุภาพ ความว่า
ชุมนักผักตบซ้อน บอนแซง
บอนสุพรรณหั่นแกง อร่อยแท้
บอนบางกอกดอกแสลง เหลือแล่ แม่เอย
บอนปากยาจกแก้ ไม่สริ้นลิ้นบอน ฯ
3. วาจาหยาบคาย ต่ำช้า หรือกิริยาที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ผมแปลตามความเข้าใจครับ อาจไม่ตรงตามพจนานุกรมเป๊ะ ๆ ต้องขอกราบอภัย ท่านราชบัณฑิตยสถาน ไว้ ณ ที่นี้
คำว่า สามหาว ที่ ท่าน จขกท ถามมา น่าสนใจมากครับ แต่เชื่อว่า ทั้งคำแปลและความหมาย ทุกท่านย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกันครับ ว่า ต้องหมายถึง กิริยาท่าทางที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่มีสัมมาคารวะ หรือ แสดงอาการกำเริบเสิบสาน หรือ ผู้มีคำพูดที่อวดใหญ่ใฝ่โต หรือ ผู้ที่โอ่ดีท่าทีอวดเก่ง ทำนองนั้น โดยรวม ก็คือเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพเรียบร้อย นั่นเองครับ ในสุดยอดวรรณกรรมไทย เช่น ราชาธิราช โดย ปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมไทย ท่าน เจ้าพระยาพระคลัง หน หรือ ผู้ชนะสิบทิศ ของท่าน ปรมาจารย์วรรณกรรมไทย ยาขอบ ท่านก็ใช้คำว่า สามหาว บ่อยมากเช่นกัน
เช่นความตอนหนึ่งว่า ................. ไปจนถึงสมิงราหูกับพระมหาเทวีทำชู้กัน .... นางสิริมายา มีราชบุตรด้วยพระเจ้าช้างเผือก พระองค์หนึ่ง ลิ้นนั้นรอยเป็นจักร จึงให้ชื่อ มังสุรมณีจักร ... ผมก็หยิก น่องทู่ ตาพอง ลักษณะคน สามหาวหยาบช้าใจฉกรรจ์ แต่พระเจ้าช้างเผือกตรัสประภาษฉะนี้เป็นเนือง ๆ ( ราชาธิราช โดย ท่าน เจ้าพระยาพระคลัง หน )
และ......... มีพระนามว่า พระเจ้ารามประเดิด แต่ไม่นานก็ถูก สมิงมังละคิด สามีใหม่ของนางอุ่นเรือน .... พระยาน้อย มีนามเดิมว่า "มังสุระมณีจักร" เนื่องจากมีรอยกงจักรที่ลิ้นเป็นพระโอรสของ ... วาจาสามหาว จึงไม่เป็นที่โปรดปรานของพระราชบิดาครั้นโตเป็นหนุ่ม ( ราชาธิราช โดย ท่าน เจ้าพระยาพระคลัง หน ) และอื่น ๆ อีกหลายตอน ครับ
ในสุดยอดวรรณกรรมไทย โดยท่าน ปรมาจารย์ ยาขอบ ก็กล่าวไว้ใน ผู้ชนะสิบทิศ ว่า ............. มังตราราชโอรสมีลิ้นดำเป็นอัศจรรย์มา แต่กำเนิด .... ไว้อีกสิบวันข้างหน้าเผื่ออ้ายลิ้นดำไม่ตามจองผจญเราจึงค่อยพบกันใหม่ จะเด็ด ยังอาลัยอยู่ ...... รีบออกไปเสียโดยดี ขืนอยู่ช้าลิ้นอันสามหาวของเจ้าจะพาเจ้าเจ็บตัวเอง.... และอีกหลายตอน ครับ
หรือ วรรณกรรมหนังจีนกำลังภายใน ที่คุณ น.นพรัตน์ แปลอย่างเด็ดขาดบาดใจ จนผู้ชื่นชมวรรณกรรมแนวนี้ ติดกันงอมแงม ซึ่งก็นับรวมผมไปด้วยอีกหนึ่ง ทั้งที่เป็นผลงานของ มังกรโบราณทะยานฟ้า อันมีนามกระเดื่องเลื่องบรรณพิภพ ว่า โกวเล้ง ที่เขียน จอมโจรทิ้งความหอมชอเฮียงส่วย จอมโจรจอมใจ ชอลิ้วเฮียง หรือ กิมย้ง ผู้เสกสร้าง มารบูรพาให้มีชีวิตชีวาโลดโผน ทั้ง เอี๊ยก้วย ก๊วยเจ๋ง ( หากเขียนชื่อเสียงเรียงนามผิดพลาด ผู้น้อยขออภัย หมื่นครั้ง หมื่นหมื่นครั้ง ) ในเรื่อง มังกรหยก อันลือลั่น ก็ใช้เห็นบ่อยมาก
แม้ในวรรณกรรม สามก๊ก ต้นฉบับของ เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) ก็มีหลายตอนที่กล่าวถึง เช่น ตอนสามวีรบุรุษในสวนท้อ ........... ให้พรรคพวกจับเตาบูตันผวน ไปฆ่าเสีย เทาเจียดแลพวกขันทีทั้งปวงยิ่งทำการกำเริบขึ้น. กว่าแต่ก่อน. ครั้นอยู่มา .... ร้ายกาจสามหาว ข่มเหงคนทั้งปวง เราเห็นผิดนัก เราจึงฆ่าผู้นั้นเสีย แล้วหนีไปเที่ยวอยู่. เป็น หลายหัวเมือง ... ข้าพเจ้า เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ทั้งสามคนนี้ อยู่ต่างเมือง วันนี้ได้มาพบกัน จะ ตั้งสัตย์..... ( ค้นโดย www.google.com ) และในตอนอื่น ๆ ครับ
หรือใน วรรณคดีไทยเรื่อง ศรีธนญชัย ที่ประพันธ์โดยคำกาพย์ ( ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์ ) ซึ่งเป็นวรรณคดีเก่ามาก และไม่ทราบผู้ประพันธ์ที่แน่นอนครับ ความว่า............. ค่อยคลานด้วยเข่า จึงเล่าเอาการ พูดจาว่ากล่าว อย่าทำสามหาว ห้าวโหมโรมราญ เขาเป็นขุนนาง อย่าอ้างอาจหาญ หมอบราบกราบกราน หวานไว้จึงดี.....
หรือ ปรากฏใน คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งเรียบเรียงขึ้นจากคัมภีร์ฉันทศาสตร์ โบราณ โดยพระยาวิชยาธิบดี ผู้ว่าราชการเมืองจันทบุรี ความว่า .... ..... แกล้งอภิปรายถามเค้ามูล ความรู้ นั้นจะสูญ เพราะสามหาวเป็นใจพาล ผู้ใดจะเรียนรู้ พิเคราะห์ดูผู้อาจารย์ เที่ยงว่าพิศดาร ....
หรือในเพลงยาว ชาตินิยม ของ สุจิต วงษ์เทศ ซึ่งเป็นนักประพันธ์ที่มีฝีมือในสมัยนี้ ก็มีเขียนไว้ ความว่า
..... .....โฉมเอ๋ยนางนิมิตพิษฐาน เชิญติดตามบรรดาสถานการณ์ ต่างสามหาวห้าวหาญกันไปมา เล่นสงครามชาตินิยมถล่มทลาย ......
ยิ่งในความเรียง บทความ งานเขียน งานประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วร้อยกรองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งที่ประพันธ์ โดยผู้รจนานามลือลั่น หรือไร้ชื่อเสียงเรียงนาม นับไม่ถ้วน ก็ตาม เรามักจะเห็นการนำคำว่า สามหาว ไปใช้บ่อยครั้งมาก
ยิ่งหนังจีนกำลังภายในด้วยแล้ว อย่าให้ผู้น้อยสามหาวมากล่าวอ้างเลย ขอรับ
ยกตัวอย่างคร่าว ๆ เท่านี้ก่อน หลังจากยืดยาวมาเนิ่นนานแสนนาน ขอวกเข้าเรื่องว่า สามหาว มาจากไหน ???
ตอบแบบความเข้าใจส่วนตัวเลยครับ มาจาก พฤติกรรมของ หนุมาน วายุบุตรสุดเดชาผู้เป็นทหารเอกขององค์นารายณ์อวตาร พระราม ใน วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ล้นเกล้า ร.1 ครับ
ที่กล่าวอย่างนี้ ( ไม่รู้ใครจะกล่าวหรือยัง ? ) สืบเนื่องมาจาก บทละคร รามเกียรติ์ ตอน หนุมานถวายแหวน ครับ
สืบเนื่องจาก หลังจากหนุมานได้ฆ่าผีเสื้อยักษ์แล้ว ก็เหาะเข้ากรุงลงกา เมื่อไปได้ระยะหนึ่ง ก็ถึงเขาโสฬสอันเป็นที่ตั้งของอาศรมพระนารถฤาษีผู้เรืองฤทธิ์ ด้วยคิดว่าเขาโสฬสเป็นเขานิลกาฬอันเป็นที่ตั้งของกรุงลงกา ของท้าวทศกัณฐ์ ว่าแล้วก็ล่อนลงรันเวย์ เห็นอาศรมของพระฤาษี จึงเข้าไปหาพระนารทฤาษีเพื่อถามไถ่ โดยได้จำแลงแปลงกายเป็นลิงป่าตัวน้อย ๆ สีขาวน่ารักเชียว
เมื่อพระนารทฤาษีพบเข้าจึงมีเมตตาถามไถ่อย่างเอ็นดู ว่าเป็นใครมาจากไหน ก็ตอบอย่างเสนาะเพราะพริ้งว่า เป็นลิงป่า ได้ยินว่ากรุงลงกาใหญ่โตรโหฐานจึงอยากมาชมเป็นบุญตาบุญใจ พระนารทฤาษี จึงเมตตาบอกว่า มาผิดที่ ที่นี่เขาโสฬส ( มีเขาอยู่ 16 ) ไม่ใช่กรุงลงกา เพราะกรุงลงกาอยู่ที่เขานิลกาฬ ( หุบเขาดำเมี่ยม )
หนุมานได้ฟังดังนั้น จึงดีใจ แต่อุปนิสัยซุกซนติดตัว จึงนึกสนุกเกินขอบเขตไม่รู้ที่ต่ำที่สูงคิดลองดีกับ พระนารทฤาษีผู้มีฤทธิ์ ทำทีขอพักค้างแรมแบบโฮมสเตย์โดยไม่จ่ายตังค์ พระนารทฤาษีก็ให้พักอย่างเมตตาเอ็นดู โดยให้พักค้างแรมที่อาศรม แต่เมื่อหนุมาณเข้าพักแล้ว จึงลองดี เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นปากก็เปรย ซ้ำยัง หาวว๊อด ๆ ปากดีกับท่านฤาษี ดังมีปรากฏความว่า .....
....เดชะศักดาอาคม......................พระสยมภูวนาถนาถา กายนั้นใหญ่เต็มศาลา...............ก็เรียกพระสิทธาวุ่นไป ที่น้อยเท่านี้ให้มานอน....จะเหยียดเท้าเหยีดกรกระไรได้ ข้าไม่ผาสุกสำราญใจ...................เป็นไฉนฉะนี้พระมุนี ....
แต่ พระนาทรฤาษีก็ไม่สงสัย เลยเนรมิตอาศรมให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้พออยู่พออาศัย แต่หนุมานก็ขยายตัวใหญ่ด้วยกำลังฤทธิ์ตาม พูดไปหาวไป เป็นสองสามครั้ง แล้วก็เรียกร้องสิทธิ์การเข้าพักอีก จนท่านพระฤาษีรู้ทันว่าถูกลองดี ความปรากฏว่า
.......เมื่อนั้น..........................องค์พระอาจารย์ฌาณกล้า แต่เวียนนิมิตศาลา..............กว้างยาวกว่าเก่าขึ้นทุกที
โตออกเท่าใดด้วยฤทธิ์นั้น....กายมันยิ่งใหญ่ออกกว่าที่ จึงว่าดูดู๋ไอ้ลิงนี้......................กาลีเจ้าเลห์เป็นพ้นไป
อันตัวของมันนี้สู่รู้..................มาลองกูผู้เฒ่าก็เป็นได้ จำจะทารกรรมให้หนำใจ...........ไอ้........จะได้เห็นฤทธิ์
หลังจากนั้นแล้ว ท่านฤาษีจึงเข้าอาโปกสิณ บันดาลให้ฝนตกจนหนุมานเปียกปอนหนาวสั่นงันงก จึงสำนึกผิด คลายมนตราให้ตัวเล็กเท่าเดิม แล้วไปกราบขอขมาท่านฤาษี ท่านฤาษีจึงให้ไปผิงไฟ พื่อคลายหนาว
แต่ไหน ๆ แล้ว จะสั่งสอน ก็ต้องเอาให้จดจำกัน ให้เข็ดหลาบเลยทีเดียว จึงเสกไม้เท้าเป็นปลิงแล้วโยนลงสระน้ำหน้าอาศรม ครั้นพอรุ่งเช้า หนุมานล้างหน้า ปลิง ( ไม้เท้าเสก ) ก็เกาะหมับที่คางทันที แกะก็ไม่ออก ยิ่งดึงยิ่งยาว ยิ่งสาวยิ่งเกาะแน่น จึงอับจนปัญญาเข้าไปกราบขอขมาท่านพระนารทฤาษี พระนารทฤาษีจึงหัวเราะชอบใจ ความว่า
..... เมื่อนั้น......................................พระมหานารทฤาษี ยิ้มแล้วจึ่งกล่าววาที..............ชี้หน้าว่าเหวยไอ้สาธารณ์ เป็นไฉนไม่แผลงฤทธิรอน..... มาวอนกูไยไอ้เดียรัจฉาน ปลิงนิดติดอยู่เท่าสสายพาน..... ร้องอึงอลม่านไม่อายใจ
หลังจากนั้น หนุมานจึงกราบลาพระนารทฤาษีผู้เรืองฤทธิ์ ไปทำหน้าที่ที่กรุงลงกา ....
สามหาว จึงเป็นที่มาจากการประพฤติตัวโอหังมมังการแบบไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ไม่รู้จักการมีสัมมาคารวะ ของหนุมาน นั่นเองครับ โดยได้เน้นถึงท่าทีน่าหมั่นใส้ แบบซุกซนไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกไม่รู้กาลเทศะของหนุมาน ตอนที่ขออาศัยนอนในอาศรม พูดไปหาวไป หาวไปพูดไป ว่าง่วงนอนแต่นอนไม่ได้ เพราะอาศรมเล็กบ้างละ ตัวโตบ้างละ คับแคบบ้างละ โดย หนุมาน ลิงทโมน ได้ยั่วยุลองดีกับท่านพระนาทรทฤาษีถึงสามครั้ง ( ? ) จริง ๆ น่าจะต้องมีคำเต็ม ๆ ว่า มีวาจาสามหาว คือพูดไปหาวไปถึงสามครั้ง นั่นเองครับ
หากเราจะสังเกตกันให้ดี นะครับ ว่าคำว่า สามหาว นี้ ปรากฏในวรรณคดี ที่ท่านสุดยอดนักประพันธ์วรรณกรรมไทย คือ เจ้าพระยาพระคลัง หน นั่นเองครับ
ที่กล่าวว่าท่านใช้คำว่า สามหาว เป็นท่านแรกเพราะวรรณคดีของท่านเก่าที่สุดที่ปรากฏคำว่า สามหาว อายุของท่าน ฯ อยู่ในยุคปลายกรุงศรอยุธยา ถึง กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( สมัยล้นเกล้า ร.1 )
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า สามหาว ที่ท่านใช้ในบทวรรณกรรมของท่าน หรือ การประพันธ์รจนาวรรณคดีของท่าน จึงเป็นคำจำกัดความ กิริยาท่าทางบุคลิกภาพของบุคคลผู้ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง คุยโตโอ้อวด ไม่รู้กาลเทศะ ถือแย่งแข่งดี ไม่มีสัมมาคารวะ และอาจรวมไปถึงอุปนิสัยที่ออกไปในทางไม่ดี นั่นเอง คำนี้ จึงมีอิทธิพลต่อการประพันธ์ต่อการเขียนผลงานด้านวรรณกรรมในยุคต่อ ๆ มา ครับ
แต่ขอทักไว้ก่อนว่า ที่ว่า หนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน ตอนรบกับ มัจฉานุ เพื่อแสดงว่า ตัวจริงเสียงจริงนั้น ไม่ใช่จุดสำคัญที่จะอ้างอิงมาอธิบายคำนี้ นะครับ เพราะผมมุ่ง ตอนหนุมาน พูดยียวนกวนประสาทท่านนารทฤาษีไปพลาง หาวไปพลาง นั่นเอง
และ ได้เคยมีท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ออกรายการโทรทัศนืกล่าวถึงเรื่องนี้ เหมือนกัน แต่ผมีมีความเห็นที่แย้งจากท่านนั้น ดังความปรากฏเบื้องต้นแล้ว
หวังว่า นี่คืออีกมุมมองหนึ่ง และรอคอยท่านผู้รู้ มาเมตตาอรรถาธิบายเพิ่มเติม ครับ
สามหาวราวบุตรไท้. พระพายองค์ พ่อเฮย หมายอวดดีจนหลง. หยาบช้า ต่อพระนารทผู้ทรง- พรตสิท. ธิศักดิ์แฮ จึงเบ่งกายคับฟ้า. โอ่อ้างฤทธี
พลางหาวพลันโห่จ้อ. เจรจา กายเบ่งตนบวมสา- รรูปได้ จนโตใหญ่คับอา. ศรมท่าน เพียงซุกซนจนไร้. จิตรู้คุณธรรม
ว่าแล้ว ก็ง่วงแสนง่วงครับ ขอหาวสักหนึ่งหาว ก่อน เพราะหากถึง สามหาว คงต้องหลับคาคอมพ์เป็นแน่แท้
ราตรีสวัสดิ์ คร๊อกกกกก ฟรีรีรีรีรีรี๊
zzzzzz
ปล. ( เปล่าหลอก ) ที่มาของกระทู้นี้ คือมีผู้ส่งหลังไมค์ มาหาผม ว่าอ้างอิงคลาดเคลื่อนจากวคามเป็นจริง ในห้องสมุด ภาษาไทย และ คำติหนิออกจะหนักไปหน่อย เลยมาแปะข้อความหลาย ๆ ที่ เพื่อใครคนนั้น จะผ่านหูผ่านตา หากรกหูรกตาก็ปราบขออภัยทุกท่านด้วย
ส่วนตัว ผมยังยืนยันเช่นเดิมอยู่ ดังที่ปรากฏ ณ เบื้องบน ครับ
แต่ไหน ๆ จะแปะที่ ถนน ฯ ห้อง บทกวี แล้ว จึงต้องหาโคลงมาลงบ้าง เดี๋ยวผิดกติกา
อาจผิดแผกแหวกแนวจากที่ผมเคยเขียนบ้าง นิดหน่อย ครับ
แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 06:13:58
แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 05:41:28
จากคุณ |
:
นกมีหูหนูมีปีก (ฮกกงจื้อ)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันปิยมหาราช 55 05:36:41
|
|
|
|
|