Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 17 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12815512/W12815512.html

บทที่ 17

ดึกสงัดท่ามกลางสายลมซาตาน ณ ก้นเหวอันลึกแสนลึก มีเพียงความมืดที่แผ่ผืนดั่งกำแพงยักษ์

กลุ่มคนที่หมกมุ่นกับไสยเวทย์เถื่อนรวมตัวกันที่นั่น หมั่นศึกษามนตราที่สามารถจะตรึงชีวิตให้เป็นอมตะ ประชาชนหลายคามพลัดหลงมา ก็จะถึงคราเคราะห์ร้าย ถูกลอบฆ่าเพื่อนำซากศพมาทดลองมนตราที่คิดค้นขึ้น

จะมียกเว้นไม่ต้องลอบฆ่า ก็น่าจะเป็นวจาเขยเจ้าฟ้าถูกปลดนั่นล่ะ ร่างที่ลอยละลิ่วลงมาจากเบื้องบนตามบัญชาเฉียบขาดของแม่นางกณิการ์ยังไม่ถึงฆาต

เพราะผู้นำไสยเวทย์ส่งม่านแหมนตราไปรองรับ แต่ก็ไม่ใช่เพราะเมตตาด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นเพราะวจาเป็นเหยื่อทดลองรายใหม่เท่านั้นเอง

"เจ้าบาดเจ็บไม่น้อย"

ผู้นำไสยเวทย์ตั้งข้อสังเกตเสียงแหบเครือ ร่างแคระนุ่งห่มหนังสัตว์สีตุ่นๆ ผมยาวแห้งกรอบและชี้แข็งเหมือนว่าตั้งแต่เกิดไม่เคยสระสักหน

รอบคอห้อยสายสร้อยสายโซ่และพวงรากไม้สีดำ ต้นแขนและขาสักยันต์ลายพร้อยสีดำ มีไม้เท้าหงิกงอประดับยอดด้วยอัญมณีสีดำ มันคอยแผ่รังสีคร่าวิญญาณออกมาข่มขวัญให้รู้สึกสยดสยองลึกๆ

ร่างบาดเจ็บสาหัสถูกนำมานอนในหลุมที่ปูทับด้วยใบตองสด เลือดข้นส่งกลิ่นคาวไหลเปรอะ ช่างตีเหล็กสันดานชั่วค่อยๆ ลืมตาเพื่อพบเจอความมืดอันน่าสะพรึงกลัว แต่คนอย่างวจาไม่เคยกลัวฟ้ากลัวดิน ร่างที่นอนนิ่งพยายามขยับในทันทีที่สำนึกรู้ว่ายังไม่ตาย

"เจ้าเป็นใคร" ครั้นเห็นเงาวูบวาบมาใกล้ตาพร่า วจาชั่วก็รีบส่งเสียงอ่อนล้าถามอย่างหวาดระแวง

"ข้าเป็นคนช่วยเจ้า"

ผู้นำร่างแคระตอบเสียงแหบเครือดังเดิม พลางสองมือหยาบค่อยกุมพวงสร้อยเต็มคอ บริกรรมคาถางึมงำ แล้วก้มลงกอบดินหยาบขึ้นมาจรดปาก หลับตาแล้วเปล่งเสียงสวดลี้ลับดังกังวาน

วจาเจ็บร้าวทั่วร่างกายบอบช้ำ อยากลุกขึ้นเพื่อสำรวจสภาพอาการบาดเจ็บแต่ก็ทำไม่ไหว เคียดแค้นเหลือเกิน แม่นางกณิการ์น่าชังยิ่ง ชาตินี้ถ้าไม่ได้ย่ำยีให้สิ้นศักดิ์หมดศรี ก็อย่ามาเรียกชื่อวจาช่างตีดาบอีกเลย

ในเมื่อรอดชีวิตแล้ว ต่อให้ที่นี่จะเป็นขุมนรก แรงอาฆาตแค้นก็จะกลายเป็นพลังฮึกเหิมให้ปีนป่ายหลบหนี แม่นางชั่วต้องได้รับการตอบโต้อย่างเจ็บแสบและสาหัส ตายก็ไม่ได้ตายในทันที ศัตรูต้องถูกทรมานให้ค่อยๆ ตาย ต้องให้ขาดใจต่อหน้าและแทบเท้า

"เจ้าทำอะไร สวดมนต์ชั่วช้าทำลายชีวิตข้าใช่ไหม ข้าคือวจา ช่างตีดาบผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่เจ้าจะพร่าชีวิตได้ง่ายๆ เจ้าทำอะไรข้า ทำไมถึงลุกไม่ขึ้น"

ผงดินร้อนจัดโปรยปรายลงบนร่างกายบอบช้ำ วจาสะดุ้งเฮือกแล้วเฮือกเล่าพร้อมกับแผดเสียงทรมานโหยหวน มันเป็นแค่ผงดิน แต่ยามต้องเนื้อหนังกลับแหลมคมดั่งร้อยมีดพันดาบ กรีดเฉือนและทิ่มแทงพร้อมเพรียงกัน ก่อความเจ็บปวดสุดจะทานทน

ร่างบนใบตองสดเปื้อนเลือดคาวดิ้นพล่าน คู้ตัวหดแขนขาหงิกงอ ใบหน้าดุร้ายแหงนหงายสลัดบ้าคลั่ง หากแต่ดวงตาแดงก่ำกลับถลึงถลนอาฆาตพยาบาทคนแคระที่เห็นได้อย่างพร่ามัวหลังม่านน้ำตา

"ในที่สุด มนตราอมตะของข้าก็ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคือผู้สืบทอด โอ้ ข้ายินดียิ่ง ข้ามีผู้สืบทอดไสยเวทย์อันเลื่องลือแล้ว"

"ไอ้คนแคระชั่ว เจ้าทำอะไรข้า หยุดความชั่วของเจ้าลง หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าเจ็บปวดมาก หยุด ข้าบอกให้หยุด"

"ข้ากำลังจะเปลี่ยนแปลงเจ้า"

ผู้นำร่างแคระไม่สนใจเสียงแผดร้องดุร้าย นอกจากหัวเราะแหบพร่า เบื้องหลังค่อยปรากฏคนร่างแคระสองกลุ่ม แยกย้ายรายล้อมผู้นำกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มกระจายไปนั่งโอบล้อมหลุมดิน

จากนั้น เสียงสวดประหลาดก็ดังระงมขึ้น ผงดินมากมายก็พรูประดังลงพรมร่างดิ้นพล่านบนใบตอง

"ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวด แต่จงวางใจเถอะ มันจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะได้เผชิญ"

"ไอ้คนชั่ว หยุดรังแกคนไม่มีทางสู้ อย่าอวดจิตขี้ขลาดของเจ้าให้ข้าหัวเราะเยาะ หยุด ข้าเจ็บ บอกให้หยุด"

วจาแผดเสียงร้องโหยหวนและยาวนานขึ้น น้ำตาที่ไหลทะลักค่อยๆ แปรเป็นสีแดงข้น ดวงตาถลึงถลนไม่ใช่แค่พร่ามัว แต่ยามนี้มันหรุบหรู่เหมือนดาวใกล้ดับ

ช่างตีดาบใจเถื่อนหวาดหวั่นพรั่นพรึงว่าตนอาจตาบอดไปแล้ว เสียงโหยหวนลากยืดไปอย่างยาวนาน กลมกลืนการดิ้นพล่านทุรนทุรายของร่างใหญ่ที่แปดเปื้อนด้วยผงดินอาคม

จากเสียงแผดร้องเจ็บปวดสุดแสน ก็กลายเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญ คนชั่วสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกาย

เลือดลมติดขัด หัวใจเต้นถี่และดังรัวน่ากลัว กล้ามเนื้อพองขยายและค่อยๆ ตึงเหมือนมีคนมาดึงมาขึง เส้นเอ็นดีดสะท้านให้ร่างสะดุ้ง แล้วตามด้วยเสียงปริร้าวคล้ายว่ามันขาดสะบั้นหมดสิ้น

"ทรมาน โอ๊ย ข้าทรมานเหลือเกิน ข้าจะตายแล้ว ไม่ได้นะ ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังไม่ได้แก้แค้น ข้าต้องแก้แค้นก่อน ข้าต้องกลับไปฆ่าแม่นางกณิการ์ ข้าต้อง โอ๊ย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย"

"เจ้าจะไม่มีวันตาย ความเจ็บปวดทารุณที่เจ้ากำลังเผชิญคือประตูไปสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เจ้าไม่ต้องอดทน เพราะความเป็นอมตะจะทำให้เจ้าปราศจากความรู้สึก ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ จะทำร้ายชีวิตยั่งยืนตลอดกาลของเจ้าได้อีกต่อไป จงรอสักครู่เถอะ ซาตานวจา"

พอสิ้นคำแหบพร่าที่แทรกบทสวดลี้ลับดังระงม วจาก็สะท้านขึ้น ตลอดร่างกระตุกเกร็งแข็งทื่อ ตาถลนเหลือกเบิกโพลงขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด

แต่ทันใดนั้น ก็พลันปรากฏดวงดาวสีแดงเพลิงลอยมาหยุดนิ่ง ผู้นำไสยเวทย์แหงนคอตั้งบ่าแล้วเบิกตากว้างลิงโลด พลางอุทานปลาบปลื้มขึ้นว่า

"ดาวอาสภ โอ้ ในที่สุด ข้าก็ทำให้เจ้ามีชีวิตได้สำเร็จ ซาตาวจาเอ๋ย เจ้าเห็นหรือยัง สีแดงเพลิงมันช่างสวยงามยิ่ง นั่นคือสีของความเป็นอมตะ สีที่มันดูดซับเอาได้จากเลือดทุกหยดในร่างกายของเจ้า อีกไม่นานแล้ว รอเพียงแค่ดาวตกดั่งพลุแตกกระจาย เพียงแค่จันทร์ยอมถอยไปอับแสงหลังก้อนเมฆ ชีวิตของเจ้าก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล"

วจาตายแล้ว เขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่อาจต้านทานกระแสคลุ้มคลั่งแกมอำมหิตของไสยเวทย์คร่าชีวิต ซากศพแข็งทื่อ อวัยวะภายในแตกระเบิด เลือดแปรสีเป็นดำไหลทะลักเหมือนน้ำผุด อึดใจเดียวมันก็ท่วมซากแข็งและเอ่อท้นขึ้นปริ่มขอบหลุม

โอ.. น่าสยดสยองขนลุกขนพองยิ่ง ยามนี้ แสงอันสลัวกำลังส่องให้เห็นเลือดดำนองเต็มหลุมมนตรา มันกำลังเดือดปุดๆ ได้เอง ควันสีแดงจางลอยขึ้นอ้อยอิ่งดั่งมวลไอของหมอกรุ่งอรุณ

ปรากฏการณ์ประหลาดอุบัติขึ้นหลังจากนั้น แสงสีแดงจางทอเข้มขึ้นจากปากหลุมจนเห็นเป็นลำกรวย มันพุ่งทะยานขึ้นไปกรีดเฉือนสีดำมืดของรัตติกาล

ไม่ถึงอึดใจก็บรรจบกับฟากฟ้า ประสานกับแสงสีแดงเพลิงของดาวอาสภ อานุภาพอันแรงร้อนของลำแสงสองสาย ทำให้หมู่ดาวใกล้เคียงแตกระเบิด แล้วร่วงพรูอวดแสงวูบวาบดั่งพลุกระจาย

"โอ.. ถึงเวลาแล้ว ข้าจะหล่อหลอมซากร่างของเจ้าให้เป็นอมตะ เนื้อหนังจะแข็งแกร่งฟันแทงไม่เข้า เจ้าจะไม่มีจุดอ่อนใดๆ ให้อาวุธวิเศษทั่วหล้าคร่าชีวิตได้อีก เจ้าเป็นอมตะ จะมีชีวิตยั่งยืนชั่วนิรันดร์ โอม มนตราซาตานบันดาล"

บทสวดซาตานระงมขึ้น กระแสลี้ลับกังวานไกลไปทั่วก้นหุบเหวร้าง ลอยเคว้งคว้างไปเรื่อย และสูงขึ้นสู่ปากเหว ปลุกเร้าให้หมู่สัตว์สารพัดละแวกนั้นแตกตื่น ขยับย้ายเร่งหนีกระแสเสียงคร่าชีวิตกันอลหม่าน

แล้วไม่นาน ดาวปริศนาก็ค่อยถอยห่างออกไป มันโคจรละลิ่วผ่านม่านหมอกมนตราลี้ลับ อีกทั้งยังลากดาวดับมากมายให้ปลิวคว้างตามหลังดั่งบริวาร จุดหมายปลายทางของมันก็คือ 'ห้องนอนแม่นางกณิการ์'  




กลิ่นสาปรุนแรงกระจายฟุ้งทั่วห้องนอนสมถะของแม่นางกณิการ์ไม่ใช่เหตุปกติ พระครูลาพุชลอบพรั่นพรึงใจ หากแต่สีหน้าแววตากลับเปิดเผยโจ่งแจ้ง

แม่นางเจ้าฟ้าลุกจากโต๊ะกลมที่ก่ายกองด้วยภารกิจใหญ่น้อย รูปร่างระหงสง่างามในชุดกระโปรงสีเทาอมฟ้ามาหยุดเบื้องหน้า ชายบานประดับเลื่อมโลหะและเหล่าอัญมณีงดงาม บางชิ้นยังส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งปลุกภวังค์พรั่นพรึงใจของพระครูจนต้องรีบเปลี่ยนอิริยาบถครุ่นคิด

"ท่านกำลังวิตกกังวลเรื่องกลิ่นสาปแปลกปลอมในห้องเราใช่ไหม เรารู้สึกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เห็นว่ามันดึกแล้ว จึงไม่อยากขบคิด แต่ตอนนี้เราอยากขบคิด รู้สึกดีที่มีท่านมาช่วยขบคิดเป็นเพื่อน"

พระครูผู้เคร่งขรึมส่ายหน้าระอา แม่นางเจ้าฟ้ากำลังจะออกเหย้าออกเรือนในวันพรุ่งวันมะรืนอยู่แล้ว ทำไมยังไม่สำรวมความซุกซนอีก รู้ทั้งรู้ว่าท่านกลุ้มจริงจัง หากแต่แม่นางกลับสัพยอกตาพราวดั่งว่าเหตุไม่ปกติมันไม่น่ากลุ้มมากไปกว่าน่าขบขัน

"เราไม่ขบขันสักหน่อย" แม่นางกณิการ์นั่งพื้น แกว่งชายผ้าคาดเอวเล่น "เรากำลังช่วยพระครูท่านให้กลุ้มน้อยลงต่างหาก"

"แม่นางเจ้าข้า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย เมื่อคืนวาน.. "

"เมื่อคืนวานเรารู้สึกร้อนอบอ้าวจนสะดุ้งตื่น เหงื่อออกเต็มกาย ต้องลุกไปเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ด้วย เราเห็นดาวอาสภเปล่งประกายเจิดจรัส สีแดงเพลิงของมันน่ากลัว มีความลี้ลับบางอย่างเป็นปริศนาที่พระครูยังไม่เจอคำตอบ"

"แม่นางเจ้าข้า" พระครูทอดเสียงระอา รอยยิ้มซุกซนยังฉายพราวทั่ววงหน้าผุดผาด

"พระครู" แม่นางเจ้าฟ้าสลายรอยยิ้ม แล้วกล่าวจริงจังขึ้น "เราสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุอาเพศในเร็ววันนี้ อาจจะเป็นในวันออกเหย้าออกเรือนของเรา หรือไม่ก็.. "

"ตามดวงชะตายังไม่ใช่เจ้าข้า"

"อะไรไม่ใช่"

"พิธีออกเหย้าออกเรือนจะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่ว่า.. "

กิริยากลืนน้ำลายแล้วเว้นจังหวะวาจาดึงสายตาใคร่รู้ของแม่นางกณิการ์ให้จับขึงดั่งบีบคั้นให้คายกรายๆ ในความทรงจำเมื่อวัยเยาว์ แม่นางเคยเห็นกิริยาเช่นนี้ขณะที่พระครูลาพุชกล่าวบางอย่างกับเจ้าแม่

ตอนนั้นสีหน้าของทั้งสองเคร่งเครียด เจ้าแม่พยักหน้าเนิบช้า พระครูก็ก้มหน้าถอนหายใจ วันนี้ท่านก็กำลังทำอย่างนั้นอยู่ มีบางอย่างที่ท่านรู้ล่วงหน้าแล้วใช่หรือไม่ ในเมื่อครั้งหนึ่งเคยกล้ารายงานเจ้าแม่ แล้วทำไมวันนี้จึงไม่กล้ารายงานแม่นางเล่า

"เราเข้มแข็งไม่ได้ต่างไปจากเจ้าแม่" แม่นางกล่าวขึ้นเมื่อเก็บความคิดสุขุม "หากท่านพระครูมีสิ่งใดต้องรายงาน ก็จงรายงาน เราจะพิจารณาเองว่าควรกลุ้มดีหรือไม่ดี"

"แม่นางเจ้าข้า"

"กล่าวมาเถอะท่าน เรารอฟังอยู่"

พระครูผู้รอบรู้ถอนใจเฮือก ไม่ทันเห็นว่าองครักษ์ศมะเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หุ่นองอาจตรึงสงบข้างโต๊ะทรงเรียวประดับแจกันแก้ว ดอกไม้หอมก้านยาวกำลังส่งกลิ่น

เขากำลังฟังสิ่งที่บิดารายงานด้วยด้วงตาเบิกโพลง ใบหน้าค่อยๆ ซีดเผือดลงด้วยแรงตระหนก เช่นเดียวกับจังหวะการทำงานของหัวใจที่แลสับสนปั่นป่วน

เป็นไปไม่ได้ บิดาคงทำนายผิดพลาดไปบางอย่างแน่ ท่านบอกว่านับจากวันออกเหย้าออกเรือนไปอีกสามปี ชะตาแม่นางเจ้าฟ้าก็จะหายสาบสูญไป ดวงดาวประจำกายจะซ่อนอยู่ในความมืด ไม่แตกดับแต่ก็คลับคล้าย มันจะไร้ประกายและอับแสงอันเคยเจิดจรัส

"ทั่วคามจะประสบเหตุหายนะ ทุกซอกทุกมุมจะถูกปกคลุมด้วยหมอกควันปีศาจ สายลมแห่งความแห้งแล้งจะพัดพามาแต่ความโรยรา คามดารกะจะถึงกาลเสื่อมถอย ประชาชนจะล้มหายตายจาก จะเร่งหลบหนีไปปักหลักยังต่างคาม ทั่วทุกหนแห่งจะกลายเป็นร้างและเงียบเหงายิ่งเสียกว่าก้นเหวปีศาจที่ไม่มีใครลงไปถึง"

"ท่านพ่อ กล่าวอะไรออกมา" องครักษ์ผู้กล้าหมดความอดทนในการฟัง แรงพลุ่งพล่านผลักวาจาขุ่นออกมาสะกด "วันพรุ่งวันมะรืน แม่นางเจ้าฟ้าต้องออกเหย้าออกเรือน ถ้อยคำอัปมงคลยาวเหยียดเช่นนั้น ท่านกล่าวออกมาได้ยังไง"

"มาแอบฟังหรือเจ้า" พระครูติไม่จริงจัง

"แอบฟังเมื่อไหร่กัน ลูกเข้ามาตั้งนานแล้ว แค่ทันได้ฟังแล้วไม่ชอบใจก็เท่านั้น แม่นางเจ้าข้า อย่าได้ไปใส่ใจกับถ้อยคำเหลวไหล คามดารกะยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประชาชนอยู่ดีกินดีและมีความสุขถ้วนหน้า ไม่มีทางที่จะเกิดอับปางเช่นนั้นได้ จงอย่าเชื่อ"

"ท่านก็ไม่เชื่อหรือ แล้วทำไมต้องชักเสียงดุเดือดเช่นนั้นเล่า จะประลองดาบหรือกระบี่กับเราดีเล่าท่านองครักษ์"

"แม่นาง"

องครักษ์ผู้ห้าวหาญขมวดคิ้ว สาวเท้ายาวหนักมากระแทกนั่ง มีแต่เขาที่แสดงกิริยาไม่พอใจต่อหน้าแม่นางเจ้าฟ้าได้ ไม่ใช่อภิสิทธิ์สำคัญ หากแต่ในสายตาแม่นางกณิการ์ เขาคือเพื่อนที่รู้ใจ

"ท่านศมะ สำรวมกิริยาไว้หน่อย ต่อหน้า.. "

"ไม่เป็นไรพระครู" แม่นางกณิการ์ขัดขำๆ "ท่านศมะของเราก็ชอบแสดงอารมณ์น้ำเดือดแบบนี้เสมอ ประดาบแพ้ก็โวยวาย ควบม้าพ่ายก็เอะอะ ตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่เป็นหนุ่ม ไม่เคยยอมรับสักทีว่าฝีมืออ่อนด้อยกว่าเรา"

"พูดได้ไม่ละอายปากเลยนะแม่นาง"

"ทำไมต้องละอาย ความจริงเมื่อกล่าวออกไปแล้ว ผู้กล่าวต้องละอายด้วยหรือ ใครปลูกฝังความคิดประหลาดเช่นนี้ไว้ในสมองของท่านหรือศมะ"

"แม่นาง" เสียงทุ้มกระด้างขุ่นขึ้นทุกที "อย่ามาเฉไฉ เราไม่ได้ขุ่นเคืองเรื่องพวกนี้นะเจ้าข้า เรากำลังขุ่นเคืองท่านพ่อที่กล่าวเหลวไหลบั่นทอนความสุขของแม่นางต่างหาก เอ๊ะ.. "

ตอนท้ายคล้ายสะดุดกับกลิ่นสาปผิดปกติ เข้ามาตั้งนานแล้ว หรืออันที่จริงก็น่าจะได้กลิ่นตั้งแต่เข้ามานั่นเอง หากแต่บังเอิญว่าตำแหน่งที่ยืนใกล้แจกันดอกไม้หอม กลิ่นหอมจึงช่วยอำพรางชั่วครู่

ครั้นพอมาฟังบิดากล่าวลางร้ายเหลวไหล หัวใจปั่นป่วนก็พลันกลบกลืนสิ่งผิดปกติไปเสียอีก ก็เพิ่งจะเดี๋ยวนี้ที่ทำให้การต่อปากต่อคำหยุดชะงักกะทันหัน

"นี่มันกลิ่นอะไร สาปสางคล้ายซากศพที่แห้งกรังเป็นเวลานาน ทำไม.. "

"มันมาพร้อมกับเหตุอัศจรรย์เมื่อค่ำคืนวานยังไงเล่าท่านศมะ"

บิดาช่วยทบทวนด้วยแววตากลัดกลุ้ม องครักษ์หนุ่มค่อยฉุกคิดถึงเหตุพิสดารที่ตนเห็นก่อนเมื่อกลางดึกคืนวาน ยังจำได้ว่าเร่งบิดาให้รีบทำนาย แต่จู่ๆ ท่านก็ปลีกตัวไปเงียบๆ ทิ้งเขาไว้ตามลำพัง อยู่โยงกับเวรยามอันเป็นภาระหน้าที่

"ท่านพ่อ" เสียงเขาแหบแห้งไปเอง ใจพรั่นพรึงประหลาดขึ้น

"เอาล่ะ" แม่นางกณิการ์หัวเราะ ส่งเสียงปรามความเคร่งเครียดของสองพ่อลูกผู้จงรักภักดี "เลิกแข่งกันปั้นหน้าเครียดตาเคร่งให้เราตัดสินได้แล้ว สองพ่อลูกปั้นได้เสมอกัน เราไม่มีรางวัลให้ นอกจากขอให้ออกกันไปก่อน"

"ครื้นเครงให้เป็นเวลาหน่อยเถอะเจ้าข้า" องครักษ์ติเตียนดั่งลามปาม บิดาพระครูขึงตาใส่ เขาก็ทำไม่สนใจ

"เจ้าข้าท่าน" แม่นางเจ้าฟ้าก็มีแก่ใจสัพยอกตอบด้วยรอยยิ้มไม่ถือสา "เรามีภารกิจมากมายบนโต๊ะ โน่น เห็นไหม" แม่นางบุ้ยปากแล้วยิ้มขำๆ "เราต้องการสมาธิอย่างจริงจัง เชิญกลับออกไปเถอะท่าน เราสัญญาว่าจะไม่ครื้นเครงอีก"

สาวใช้สามนางเข้ามาสมทบในภายหลัง ถาดอาภรณ์เครื่องประดับวางลงเรียงบนโต๊ะกระจกยาวชิดชายผ้าม่าน หนึ่งในสามรายงานนอบน้อมว่า

"อาภรณ์สำหรับพิธีออกเหย้าออกเรือนเจ้าข้า เจ้าฟ้าคู่หมายให้นักรบคู่ใจส่งมาเจ้าข้า"

"รู้แล้ว เดี๋ยวเราจะดูเอง กลับกันออกไปเถอะ"

ท่านศมะหนุ่มลอบกลืนความรันทดเงียบงัน บิดาพระครูเห็นอากัปกิริยาหม่นหมองก็สุดแสนเวทนา ท่านจึงได้แต่ส่ายหน้ากับทอดถอนใจเงียบๆ

ครั้นพอผินไปจับวงหน้าเรียบเฉยของแม่นางเจ้าฟ้า ท่านก็สะทกสะท้อนอีก เพราะตระหนักรู้เช่นกันว่าแม่นางไม่ได้ปีติยินดีกับพิธีผูกมัดที่ใกล้เข้ามา




องครักษ์หนุ่มยังไม่หายเคืองใจ ยังคับข้องและกังขากับลางร้ายที่ได้รับรู้ เขาลากบิดามาเจรจายืนยันใกล้ลานฝึกอาวุธ เขย่าแขนเร่งด้วยท่าทีร้อนรุ่มใจ บิดาจะนิ่งเฉยกับส่ายหน้าเหมือนรำคาญเขาทำไมกัน เขาถามอะไรก็ตอบออกมาสิ

"เจ้านี่เหลวไหลใหญ่แล้วท่านศมะ"

"ลูกรู้ ลูกขอโทษ พอใจหรือยัง ไม่ได้ดึงตัวมาให้ติเตียน ลูกอยากรู้ว่าเหตุพิสดารพวกนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครทำให้เกิด แล้วทำไมมันถึงส่งผลกระทบร้ายแรงถึงกับทำให้คามดารกะอับปางหายนะได้ ท่านพ่อทำนายรอบคอบแล้วหรือไม่ เผลอลืมตัวเลขไปสักตัวหรือเปล่า"

พระครูผู้รอบรู้หมั่นไส้จริงๆ จะห่วงใยแม่นางเจ้าฟ้า ท่านก็พอเข้าใจและเห็นอกเห็นใจไม่น้อย แต่ถึงกับปรามาสความเชี่ยวชาญของท่านเต็มเสียงเช่นนั้น ต้องเขกหัวเสียหน่อย

หรือลืมตัวหลงเหลิงไปว่าเวลานี้เติบใหญ่เป็นหนุ่มกำยำ มีตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงองครักษ์ประจำกายแม่นางกณิการ์ จึงนึกไปว่าบิดาชราคนนี้ไม่กล้าเอาเรื่อง

"ท่านพ่อ" ศีรษะร้าวเพราะแรงเขกหมั่นไส้ องครักษ์ผู้กล้าลูบป้อยๆ แล้วทอดเสียงประท้วง

"มีอะไร จะเขกกลับหรือยังไงท่าน ใหญ่โตโอ่อ่าในลาภในยศแล้วนี่ พ่อชราอย่างเราคงไม่อาจประสานสู้กับรัศมีอันรุ่งเรืองของท่านแล้วกระมัง"

"เรี่ยวแรงประชดประชันไม่มีตกมีชะลอจริงๆ นะท่าน" บุตรชายประชด แล้ววกเข้าเรื่องเดิม "เอาล่ะ ตอบลูกมา"

"อย่าได้ร้อนรุ่มไปกับชะตาที่ฟ้ากำหนดให้อย่างนั้นเลยท่านศมะ" บิดากล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม สลายท่าทีอบอุ่นลง "ในโลกของเราไม่มีสิ่งใดตั้งมั่นตลอดกาลได้ คามดารกะรุ่งเรืองผ่านสายลมแสงแดดมานานนับร้อยปีแล้ว คนรุ่นหลังแทบจะลืมไปแล้วว่าต้นสายบุกเบิกชุมชนเป็นใคร ชื่ออะไร"

"ลูกเข้าใจ"

"เข้าใจก็ดีแล้ว" พระครูยิ้มสุขุม "ล่วงมาจนถึงยุคสมัยของแม่นางกณิการ์ มันจึงเดินเข้าสู่สายลมโรยแสงแดดล้า วัฏจักรบนโลกของเราเป็นเช่นนี้เองท่านศมะ มีแสงสว่างก็ต้องมีความมืด เราไม่อยากให้เกิด แต่เราก็ขัดขวางใดๆ ไม่ได้"

"แล้วแม่นางเล่า"

"ก็ตามที่เจ้าได้ยิน ชะตาของแม่นางจะหายสาบสูญไป แต่ดวงดาวประจำกายจะไม่แตกดับ พ่อก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมจึงพิสดารอย่างนั้น เพราะตามปกติแล้ว เมื่อคนคนหนึ่งดับสูญ ดวงดาวประจำกายก็จะดับสูญไปพร้อมกัน แต่เท่าที่เห็น.. "

องครักษ์ศมะไม่เข้าใจกิริยาถอนใจส่ายหน้าที่บิดากำลังทำ แล้วพระครูลาพุชก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะอธิบายให้บุตรชายเข้าใจว่าสิ่งที่ท่านเห็นมันอัศจรรย์แกมลี้ลับยิ่งแค่ไหน

มันไม่เคยมีปรากฏเลยที่ดวงดาวประจำกายของแม่นางหน่อเนื้อจะโคจรเคียงคู่ไปกับดาวอาสภอย่างไม่ลดละ

ในขณะที่ประกายในดาวปริศนาทวีความเจิดจ้าร้อนแรงจนกลายเป็นสีเพลิงน่าขนลุกขนพอง ดาวแห่งหน่อเนื้อเจ้าฟ้ากลับมีแต่จะหม่นลง มืดลง กระทั่งสุดท้ายก็ 'มืดสนิท'

แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 22:52:48

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:46:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com