Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตอนที่ 1 “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” ติดต่อทีมงาน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่  1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้”

สัปดาห์ที่ 26

วันนั้นเป็นวันพฤหัสก่อนช่วงสงกรานต์เพียงไม่กี่วัน ภรรยาผมพึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 26 ของการตั้งครรภ์ลูกน้อยคนแรกของเรา กำลังคิดว่าจะพาภรรยาไปพักผ่อนสบายๆ ที่ไหนดี พรุ่งนี้ก็ทำงานเป็นวันสุดท้ายก่อนเข้าสู่วันหยุดยาว พาไปเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยดีกว่า แต่กลับกลายเป็นว่า มันเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น นาทีต่อนาที ความรู้สึกของเหตุการณ์ในวันนั้น ผมยังคงจำมันได้ดี ไม่มีวันลืมเลือน

เวลา 16.30 น.

วันนั้นผมต้องไปทำงานนอกสถานที่แถวๆ Siam Discovery ประมาณ 4โมงครึ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากภรรยา ในใจคิดว่า “คงโทรมาถามว่าจะไปรับกี่โมงเหมือนเคยแน่นอน หมู่นี้โทรตามตลอด นี่มันเวลาทำงานนะ” ในใจคิดเช่นนั้น ขณะนั้นกำลังสรุปงานกับน้องๆ ในทีมอยู่ ก็เลยรับด้วยน้ำเสียงเข้มนิดๆ

“ฮัลโหล มีอะไรด่วนไหม กำลังคุยงานอยู่”

พอผมพูดจบก็ค่อนข้างแปลกใจ  ปกติต้องได้ยินเสียงตอบกลับมาอยู่ 2 แบบ

แบบที่หนึ่งแบบโทรจิก “อยู่ไหนแล้ว จะมารับหรือยัง ทำอะไรอยู่ ถ้ามาช้าแล้วต้องรอที่บริษัท บริษัทจะปิดแอร์แล้วหน่องจะหายใจไม่ค่อยออก รีบๆมานะ”......... อารมณ์ประมาณกดดันผู้ฟังอย่างที่สุด และมีวิธีเดียวที่จะแก้โจทย์นี้ได้คือ ไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด !!!!!!!

แบบที่สองแบบคิกขุอารมณ์ดีอย่างที่สุด “เมื่อตอนกลางวันลงไปกินข้าว ไปเจอพี่ที่บริษัทเก่ามา บังเอิญมากเลย ทีแรกเค้าจำหน่องไม่ได้หรอก เพราะหน่องท้อง หน่องเลยเข้าไปทักเองหละ พี่เค้าตกใจใหญ่เลย หน้าพี่เค้าตอนทำหน้าตกใจขำมากเลย”......... สรุปใจความได้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย สนุกสนานเฮฮา หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องมาบอกตอนนี้ก็ได้ ก็คือแค่อยากเล่าให้เราฟัง

ถ้าเสียงตอบมาตามสายของหน่องเป็นแบบใดแบบนึงแล้ว ผมจะไม่แปลกใจเลย แต่วันนี้กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรแบบนั้น มันเงียบมากจนน่าประหลาดใจ

“ฮัลโหล”ผมพูดซ้ำไปอีกที แต่ปลายสายก็ยังเงียบ

“ฮัลโหล หน่องเป็นอะไรหรือเปล่า !!”  ตอนนี้ผมก็เริ่มกระวนกระวายใจแล้ว เพราะมันไม่ใช่นิสัยของหน่องที่จะทิ้งช่วงคุยนานขนาดนี้  แล้วหน่องก็ตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบามากๆ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

“พี่ตี้”  .........

“หน่องไม่ไหวแล้ว” .........

“ปวดท้อง” .........

“พี่มาเร็วหน่อยได้ไหม”

ได้ฟังแค่นี้ผมก็รีบสั่งงานให้น้องๆ  และพุ่งพรวดออกมาจากตรงนั้นเลย ส่วนในมือยังถือโทรศัพท์คุยกับหน่องอยู่ตลอด และบอกหน่องว่าผมจะไปถึงภายในครึ่งชั่วโมง  ไม่ถึง 5 นาทีผมก็ออกจากออฟฟิศลูกค้าตรงไปที่จอดรถ   ระยะทางจาก Siam Discovery ไปอโศกมันไม่ได้ไกลเท่าไรเลย และวันนั้นก็เป็นวันพฤหัสไม่ใช่วันศุกร์เย็นวันเงินเดือนออกอะไรแบบนั้น  แต่ผลคือ แค่ออกจากที่จอดรถผมก็ใช้เวลาไปแล้วครึ่งชั่วโมง!!!!  พอเป็นอย่างนี้ยิ่งทำให้จิตใจผมร้อนรน เป็นห่วงหน่องมาก

เวลา 17.00 น.

ผมลองโทรไปหาหน่องอีกทีว่าอาการเป็นยังไงบ้าง หน่องยังมีอาการเหมือนเดิมคือ ปวดท้อง ปวดมากๆ  แบบว่าต้องก้มตัวไว้ ยืดตัวตรงไม่ได้ สิ่งที่ผมคิดอย่างแรกคือ อาการเหมือนกับวันที่ต้องเข้ารพ.เหมือนช่วงสัปดาห์ที่ 22 หรือเปล่า ครั้งนั้นหน่องมีอาการปวดท้องเหมือนกัน แต่สุดท้ายพอได้พักผ่อนที่รพ. 2 -3 ชั่วโมงก็ดีขึ้นและกลับบ้านได้ แล้วคราวนี้จะเหมือนกับตอนนั้นหรือเปล่า อาจจะไม่ได้เป็นอะไรรุนแรงมาก แต่ตอนนี้หน่องก็ไม่สามารถตอบได้ว่าอาการปวดในวันนี้เหมือนกับวันนั้นหรือเปล่า สิ่งที่หน่องบอกมีเพียงว่า อยากให้รีบมารับกลับบ้าน ถ้าได้นอนพักผ่อนเดี๋ยวก็คงดีขึ้น  ผมเลยบอกให้หน่องลองโทรไปหาหมอที่หน่องฝากครรภ์อยู่

“หน่องโทรหาหมออนุวัฒน์หน่อยไหม เผื่อคุณหมอจะแนะนำอะไรได้”   ผมตอบไปด้วยความกังวลใจ แต่พยายามทำน้ำเสียงให้ปกติ ท่ามกลางรถที่ค่อยๆ ขยับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทำให้ผมยิ่งอึดอัด กระวนกระวาย

“ไม่เป็นไร…” หน่องตอบ

“ได้นอนพัก หน่องก็ดีขึ้นเอง”

“พี่ขอเบอร์หมออนุวัฒน์ได้ไหม” ผมพูดออกไปทันทีเพราะคำตอบที่ว่า “ได้นอนพัก หน่องก็ดีขึ้นเอง” ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเลย

พอได้เบอร์มา ผมก็โทรหาคุณหมอทันที โชคดีจังคุณหมอรับสาย ปกติแล้วไม่ใช่คุณหมอจะสะดวกรับสายง่ายๆ เพราะคุณหมอมีคนไข้เยอะ เป็นอาจารย์สอนด้วย แต่วันนี้โทรติดแล้วคุณหมอก็รับสายเองด้วย ?

ผมรีบอธิบายอาการเจ็บของหน่องให้คุณหมอฟัง ซึ่งจริงๆ แล้วพึ่งได้พบกับคุณหมอเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเอง และคุณหมอก็บอกแล้วว่าท้องแข็งไปหน่อย ต้องระวัง และหมอก็ตรวจช่องคลอดโดยละเอียดไปแล้วว่า มดลูกเคลื่อนลงมาเร็วไปหน่อย แต่ยังไม่อันตรายอะไร แต่คุณแม่ต้องไม่เครียด ไม่ออกท่าทางอะไรเสี่ยงๆ กับตัวเอง

“พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้เลยนะ”  

เสียงคุณหมอจากปลายสายทำเอาผมรู้สึกวูบๆ  ใจมันหวิวๆ ยังไงบอกไม่ถูก จริงๆ แล้วการที่โทรหาคุณหมอผมไม่ได้นึกถึงขนาดว่าจะได้รับรู้อันตรายที่กำลังจะมาเยือน  แค่รู้สึกว่าปรึกษาคุณหมอดีกว่า เผื่อจะต้องทำยังไงเวลาที่อยู่ที่บ้านหรือถ้าจะต้องไปตรวจเพิ่มเติมกับคุณหมอในวันถัดๆ ไป  โดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนกับคำตอบที่หมอบอกเลย

“พาไปตอนนี้เลยใช่ไหมครับ” ผมทวนไปอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ

“โทรไปหาสีออนนะ บอกให้สีออนติดต่อกับทางศิริราชไว้ก่อน” คุณหมอใจเย็นมากๆ อธิบายผมที่ละสเต็ปเลยว่าให้ผมติดต่อใครยังไงก่อนหลัง

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวไปเจอกันที่ศิริราชนะ” คุณหมอบอกกับผมอย่างสุขุม ให้ผมคลายความกังวลใจ

ในความเป็นจริงแล้ว ภรรยาผมไม่ได้ฝากท้องกับทางศิริราช แต่ด้วยเหตุจำเป็นคุณหมอเองคงเล็งเห็นแล้วว่า การมาที่ศิริราชน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่การเข้าไปรักษาที่ศิริราชโดยที่ไม่มีประวัติการฝากท้องไว้ก่อน คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทางโรงพยาบาลจะอนุมัติให้หน่องเข้าไปแน่ๆ คุณหมอเลยให้ผมติดต่อกับทางสีออนก่อน เพื่อทำการเปิดทางให้หน่องสามารถเข้าไปที่ศิริราชได้สะดวกขึ้น จริงๆแล้วสีออนไม่ใช่ใครที่ไหน สีออนเป็นพี่สาวเพื่อนสนิทของหน่องเอง ทำงานอยู่ที่ศิริราช และเป็นคนที่แนะนำให้เรามาฝากท้องกับคุณหมออนุวัฒน์ด้วย

แล้วผมก็รีบโทรทันทีในขณะที่ผมขับรถมุ่งหน้าไปหาหน่อง แต่ยังไปได้ไม่ถึงไหน  รถมันติดมากขนาดที่ผมมีเวลาหาเบอร์โทรของคนที่ผมไม่ค่อยได้โทรหาบ่อยๆ ได้ง่ายมาก แต่มาโชคร้ายตรงที่โทรเท่าไรก็ไม่มีใครรับสายเลย

“ได้โปรดเถอะ ช่วยรับสายด้วย” ผมพึมพำกับตัวเอง

มันช่างเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลาที่คุณอยากโทรหาใครสักคน แล้วโทรเท่าไรก็โทรไม่ติด ยิ่งในช่วงที่เวลาทุกอย่างดูมืดมน ดูจำกัดไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ คุณรู้สึกยังไง สำหรับผมมันอึดอัด สับสน มันตื้อๆ รู้อยู่อย่างเดียวว่า ต้องโทรหาสีออนให้ได้ โทรหาให้ได้  แต่สุดท้ายหลังจากโทรไปติดๆ กันหลายรอบ แต่ไม่มีใครรับ ผมก็หยุดคิดและบอกตัวเองว่า “สติ”  เราต้องมีสติ เมื่อคิดได้ ก็ค่อยๆ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย สมองที่ตึงเครียดก็เริ่มผ่อนคลายลง ความคิดก็เริ่มดีขึ้นๆ ผมก็นึกได้ว่างั้นก็โทรหาส้ม เพื่อนสนิทหน่องซึ่งเป็นน้องสาวของสีออนก็ได้นี่นา

ผมกดโทรไปหาส้ม เธอรับสายทันทีและได้รับรู้เป็นคนแรกว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน่อง ส้มยังคงทำงานอยู่

“พี่ตี้โทรไปหาพี่โชติ สามีพี่ออนนะ ส่วนส้มจะตามหาพี่ออนให้อีกทาง” ส้ม สาวมั่นคนนี้ก็ให้เบอร์โทรสามีของสีออนมาให้

ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมา และรีบโทรไปหาโชติ สามีของสีออนทันที  คราวนี้โชติเป็นคนรับสายเอง ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้โชติฟัง แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง ผมดีใจได้แป๊บเดียวก็ทราบว่า โชติมาทำงานต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่กับสีออน แต่ก็รับปากว่าจะหาทางติดต่อสีออนไปให้ได้  ผมวางสายจากโชติไปด้วยความหวัง ในขณะที่ขับมาถึงแยกอโศกพอดี

เวลา 18.00 น.

ผมรีบโทรถามอาการของหน่องอีกและบอกให้หน่องรู้ว่าผมจวนจะมาถึงแล้ว หน่องบอกปวดท้องน้อยลงแล้ว ไม่ต้องห่วง ผมก็เลยเล่าให้หน่องฟังว่า ผมโทรไปหาคุณหมอแล้ว และคุณหมอแนะนำว่า ให้ไปตรวจที่ศิริราชดีกว่า ซึ่งในความเป็นจริงผมรู้อยู่แล้วว่า คุณหมอให้หน่องรีบไปที่ศิริราชโดยทันที ซึ่งแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน แต่ในเวลานี้สิ่งที่ผมควรจะทำคือ ไม่ทำให้หน่องจิตตกมากเกินไป บางครั้งการที่บอกอะไรตรงๆ ไปอาจจะทำให้สถานการณ์ที่เผชิญอยู่แย่ลงไปกว่านี้ได้อีก  ผมเลยต้องระมัดระวังคำพูดที่จะสื่อสารกับหน่องพอสมควร

เวลา 18.20น.

ผมไปถึงหน้าตึกที่ทำงานหน่อง และเห็นว่าหน่องยืนรออยู่แล้ว  ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมค่อนข้างตกใจมาก คือ หน่องมาในสภาพที่หน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้ม ดูเหนื่อยมาก คงเป็นเพราะอาการปวดท้องของหน่องแน่นอน  เธอค่อยๆ เดินมาในสภาพที่ไม่สามารถยืดตัวตรงตามปกติได้ ต้องค่อยๆพยุงร่างตัวเองมาที่รถอย่างช้าๆ

“นี่ดีขึ้นแล้วหรือ” ผมคิดในใจ รู้สึกไม่ดีเลย

แต่สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือ จับมือของหน่องเอาไว้  “หน่องไหวมั้ย มีอาการยังไง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“หน่องโอเคแล้ว พักหน่อยก็คงดีขึ้น”  หน่องมองหน้าผมด้วยสายตาที่ไม่สดใสเหมือนปกติ

“ผมพาไปศิริราชนะ คุณหมอนัดให้ไปดูอาการนิดนึง”  ผมพยายามตอบแบบรวบรัดและสิ่งที่ผมคิดออกอยู่ตอนนี้ คือ ไปถึงศิริราชให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งติด ยิ่งอยากไปให้ถึงเร็วๆ ก็ยิ่งช้า ทำไมรถมันเยอะแยะอย่างนี้ ทำไมมีแต่ไฟแดงตลอดเลย ระหว่างทางหน่องก็เล่าเรื่องงานให้ฟัง “เอาอีกแล้ว” ในใจผมคิดทำไมยังไปคิดถึงเรื่องงานอีกทั้งๆที่ปวดท้องมากขนาดนี้  แต่ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะถ้าหน่องอยากคุย พี่ตี้ก็รับฟังอยู่แล้ว อย่างน้อยก็คงดีกว่าบรรยากาศเงียบๆขณะขับรถ

สักพักหนึ่งสีออนก็โทรตรงเข้ามาหาหน่องเองเลย ได้รับรู้เรื่องราวและอาการของหน่องเอง และบอกผมโดยละเอียดว่าต้องพาหน่องไปที่ตึกไหน ตัวผมเองยอมรับเลยว่า ไม่เคยไปศิริราชแบบฉุกเฉินแบบนี้มาก่อน ต้องไปตึกไหนยังไงก็สับสนอยู่พอสมควร พอได้คำแนะนำเรื่องตึกที่ต้องไปติดต่อด้วยก็ทำให้รู้สึกว่ามั่นใจขึ้น สบายใจขึ้น ในความมืดมนมันก็ยังพอมีแสงสว่างนำทางให้เราเดินไป

แต่ด้วยความไม่ชินเส้นทางยิ่งรีบกลายเป็นยิ่งแย่ จากถนนราชดำเนินกลางมุ่งสู่สะพานปิ่นเกล้า ผมก็ชิดขวาเลย เพราะปกติเวลากลางวันเราเคยวิ่งแบบนี้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ไหนได้ ช่วงเย็นจะมีการเปิดการจราจรให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทางโดยให้หนึ่งช่องทางฝั่งขาเข้ากลายเป็นช่องทางฝั่งขาออก ผลคือเมื่อข้ามสะพานปิ่นเกล้ามา ผมถูกเกาะกลางขวางไว้โดยปริยาย และบังคับให้เข้าทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนีไปเลย จริงๆ แล้วผมต้องชิดซ้ายหลังจากข้ามสะพานปิ่นเกล้ามา เพื่อเข้าสู่ถนนอรุณอมรินทร์เพื่อไปถึงรพ.ศิริราช

ผมนั่งคิดหาเส้นทางว่าจะกลับไปศิริราชยังไง สลับกับหันไปมองหน้าหน่อง เห็นแล้วว่าหน่องอาการไม่ค่อยดีเลย ผมจึงคิดได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัดแล้ว ผมตะโกนอยู่ในใจ “เอาหล่ะ”  จังหวะนั้นตัดสินใจทันที ผมกลับรถตรงก่อนทางขึ้นทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนีดื้อๆเลย   ยังดีที่ว่าถนนอีกฝั่งหนึ่ง รถไม่ได้แล่นเร็วเท่าไรนัก การกลับรถเลยไม่ลำบาก แต่ก็มีเสียงแตรกดสรรเสริญจากรถข้างหลังผม มันก็น่าอยู่หรอก เล่นกลับรถซะดื้อๆแบบนั้น

สุดท้ายเราก็มาถึงศิริราชจนได้ในเวลาเกือบๆ สองทุ่ม  เรารีบตรงไปที่ตึกผู้ป่วยนอกโดยทันที แต่แม้ว่าจะมาถึงศิริราชแล้วก็ตาม การจะไปถึงมือหมอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ...........................

“ไม่มีใบฝากท้อง จะเข้ามาได้ยังไง”

นี่คือคำตอบที่ผมได้รับหลังจากที่ผมได้แจ้งว่า มาติดต่อห้องคลอดพิเศษ เป็นคนไข้ของคุณหมออนุวัฒน์ตามที่สีออนได้แนะนำไว้แล้วว่าต้องแจ้งกับทางศิริราชยังไง เพราะเธอได้ติดต่อกับทางห้องคลอดพิเศษไว้แล้วว่า มีเคสด่วนเข้ามา

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ปริมาณคนไข้ที่มาใช้บริการกับทางศิริราชค่อนข้างเยอะมาก ข้อมูลคนไข้ ประวัติคนไข้ทุกอย่างต้องชัดเจน แต่ในกรณีภรรยาของผม แม้ว่าหน่องจะมีประวัติคนไข้กับทางศิริราชอยู่แล้วก็ตาม แต่ไม่ได้ฝากครรภ์ไว้ที่นี่  สถานภาพในทะเบียนประวัติของหน่องยังโสดอยู่เลยด้วยซ้ำไป เพราะครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ น่าจะซักสี่ปีก่อนได้ ดังนั้น ห้ามเข้าครับ  ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมถึงต้องมีกฎเหล็กขนาดนี้  ไม่อย่างนั้นทางโรงพยาบาลจะจัดการคนไข้ทั้งไทยทั้งเทศที่แวะเวียนมาที่ศิริราชในจำนวนมากๆได้ยังไง ดังนั้นผมกับภรรยาก็ไม่มีเงื่อนไขอื่น นอกจากต้องรออยู่อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงถึงจะได้รับการอนุมัติโดยสีออนเป็นผู้ประสานงานให้  จนถึงวันนี้ผมยังรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่สีออนกับครอบครัวช่วยเหลือทุกๆ อย่างเลย จนหน่องได้รับไฟเขียวจากทุกฝ่ายให้เข้าศิริราชได้

เวลา 20.30 น.

ทางศิริราชได้จัดเตรียมรถเข็นให้หน่องที่อยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้ามากๆ หน่องค่อยๆหย่อนตัวเองลงไปในรถเข็นอย่างช้าๆ แล้วเจ้าหน้าที่ก็เข็นหน่องไปที่อาคาร 100 ปีสมเด็จพระศรีฯ ชั้นแปด แผนกห้องคลอดพิเศษ ส่วนผม ทางแผนกห้องคลอดพิเศษก็มีพยาบาลมาขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการ อายุครรภ์ของภรรยาและข้อมูลอื่นๆ ที่ทำให้ผมตกใจมาก

“จะตั้งชื่อลูกว่าอะไรค่ะ” พยาบาลถาม

“หา!!!!” ผมงง

“พอเด็กคลอดออกมา จะได้บันทึกลงในสูจิบัตรค่ะ” พยาบาลตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และเป็นเรื่องปกติ

แต่ผมยิ้มไม่ออก เพราะมันเป็นคำถามที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อน หน่องมีอายุครรภ์เพียง 26 สัปดาห์ก็ประมาณ 6 เดือนเท่านั้นเอง ทำไมพยาบาลมาถามอะไรแบบนี้ กำลังจะบอกว่าหน่องจะคลอดก่อนกำหนดหรือ ผมเริ่มอึ้ง

“ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยครับ ....... แล้วผมเข้าไปให้กำลังใจแฟนได้ไหม ”  ผมตอบไปด้วยความไม่แน่ใจว่านี่มันอะไรกัน

“ไม่ได้ค่ะ เพราะที่นี่เป็นห้องคลอดพิเศษ ที่จะให้คุณแม่มาพักเตรียมรอความพร้อมก่อนคลอดธรรมชาติค่ะ”พยาบาลตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นเดิม

“แต่แฟนผมพึ่งตั้งครรภ์แค่ 26 สัปดาห์เองนะ” ผมตอบไปด้วยสีหน้าที่ตกใจมาก

ทางพยาบาลเริ่มเข้าใจแล้วว่า ผมตกใจเรื่องอะไร ซึ่งเธอก็ไม่ได้ถามข้อมูลใดๆ ต่อ ให้ผมใจเย็นๆ รอการตรวจเบื้องต้นก่อนจะดีกว่า แต่ถึงจะตอบแบบนั้นก็เถอะ ผมเองก็อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว ไม่อยากจะนึกเลยว่า มันจะจบลงแบบไหนในคืนนี้  สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือการรอเท่านั้น

ระหว่างที่รออยู่หน้าห้องคลอดพิเศษ มองจากด้านนอกผมจะเห็นตำแหน่งห้องที่เข็นภรรยาผมเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นจากนั้นคือ มีแต่คนใส่ชุดอนามัยสีเขียวคล้ายๆชุดที่เห็นในหนังเวลาหมอเข้าห้องผ่าตัดนั่นละ เข็นอุปกรณ์เดินเข้าออกไปมาตรงห้องนั้นตลอด แถมยังมีอาการส่ายหน้าไปมา จากความรู้สึกของผมที่มองจากด้านนอกแบบนี้  “ทำไมมันดูวุ่นวายแบบนี้  หน่องเป็นอะไรมากหรือเปล่า นี่ผมต้องอยู่กับอาการไม่แน่ใจแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน” การรอคอยแบบนี้มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง

เวลา 21.15 น.

“ญาติของทางคุณอาภาพรค่ะ” หัวหน้าพยาบาลในชุดอนามัยสีเขียวเดินออกมาถามหา

“ครับแฟนผมเป็นยังไงบ้างครับ” ผมรีบลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปหาหัวหน้าพยาบาลทันที

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องห่วงนะค่ะ ทางเราดูแลคุณอาภาพรอยู่ค่ะ มีการให้ยาลดอาการเกร็งแล้วนะคะ” หัวหน้าพยาบาลกล่าว

“เบื้องต้นพบว่าทางคุณอาภาพร ปากมดลูกบางมาก เหลือประมาณครึ่งเซนติเมตร แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ อาการยังคงที่ค่ะ ” พยาบาลพูดอย่างระมัดระวัง ให้ผมคลายกังวล

ผมเองไม่ได้ถามอะไรกับหัวหน้าพยาบาลอีก ได้แต่พยักหน้าอย่างเดียว พร้อมกับเดินกลับไปทิ้งตัวลงบนที่นั่ง

“ปากมดลูกบางมาก เหลือประมาณครึ่งเซนติเมตร” ได้ยินแบบนี้ ผมรู้สึกวูบ ชาไปทั้งตัว  หรือว่าลูกของเราจะต้องคลอดก่อนกำหนดแล้วจริงๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 55 18:30:56

แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 18:19:42

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 18:19:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com