Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พระจันทร์สีเพลิง บทที่1-2 ติดต่อทีมงาน

เคยลงบทที่1ไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ได้ลองรีไรซ์แล้วจึงเอามาลงใหม่อีก เรื่องที่สองในชีวิตค่ะอาจจะยังไม่ค่อยกลมกล่อม ยินดีรับคำวิจารณ์ติชมทุกรูปแบบค่ะ

บทที่ 1
   
   เสียงท้องฟ้าคำรามรุนแรงดังจะประกาศให้มนุษย์ผู้ลุ่มหลงในความเก่งกาจของตนเองได้รับรู้ว่าไม่มีสัตว์โลกชนิดไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติผู้ให้กำเนิดแรกเริ่มชีวิตเหล่านั้นมา

แสงขาววาบปรากฏเส้นแนวระแหงบนท้องฟ้าเพียงแวบเดียวก็อันตรธานไปในเมฆครึม ทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นในใจเด็กหญิง  ฝนเกรี้ยวกราดสาดพัดโหมไร้แววปราณีแม้กับร่างเล็กบางของเด็กน้อยผู้ไม่เดียงสา

เด็กหญิงห่อตัวกระชับวงแขนขับไร้ความเหน็บหนาวที่ปกคลุมร่างกายหากแต่มันไม่สามรถปลดเปลื้องความหนาวเหน็บที่เกาะกุมหัวใจดวงน้อยให้หลุดออกไปได้

“หยุดนะยัยพิมพ์ แกจะไปไหน กลับมานี่ ฉันบอกให้แกกลับมาหาฉัน”
เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวเบื้องหลังทำให้เด็กหญิงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น  ไม่สักนิดแม้จะหันหลังไปมองบุคคลต้นเสียง

“ยัยพิมพ์ฉันบอกให้แกกลับมา ได้ยินมั้ย นี่แกกล้าดื้อกับฉันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
ประโยคต่อมาทำให้เด็กหญิงก้าวเท้าวิ่งแทนการเดินเร็วๆ

ร่างเล็กเปียกโชกน้ำฝนไม่ต่างจากร่างใหญ่ที่วิ่งตามมา เท้าเล็กย่ำไปบนแอ่งน้ำเฉอะแฉะ ไม่พรั่นพรึงต่อความโหดร้ายของพายุฝนสักนิด หากเสียงความเกรี้ยวโกรธของคนที่วิ่งตามมาต่างหากที่ทำให้เด็กหญิงหวาดกลัว

เด็กน้อยกลัวเสียงนั้นกลัวจนบางครั้งนึกชิงชังไปถึงร่างใหญ่ต้นเสียง  ชิงชังในความผูกพันที่เขาหยิบยื่นให้  ชิงชังในโชคชะตาของเธอและหล่อน  คนร่างใหญ่ออกวิ่งตามมาติดๆ  เด็กน้อยเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นข้อเท้าเล็กยังเปราะบางมากนัก เด็กหญิงสะดุดล้มลงทว่าไม่มีเสียงร้องให้โอดครวญอย่างเด็กเล็กทั่วไป

เด็กหญิงดื้อรั้นและทิฐิพอที่จะลุกขึ้นวิ่งต่อ แต่ไม่เร็วไปกว่าร่างใหญ่ที่มาถึงตัวเธอพอดี  หญิงสาววัยสามสิบต้นๆกระชากร่างเด็กหญิงอย่างไม่ปราณีปราศรัยมือเรียวใหญ่ฟาดสะเปะสะปะไปตามตัวเด็กน้อย  หนักและแรงพอที่จะทำให้ร่างเล็กนั้นดิ้นเร้าๆได้

หากแต่เรียวปากบางเล็กนั้นยังไม่เล็ดลอดคำขออุทธรณ์  มีเพียงเสียงจากคนร่างใหญ่เท่านั้นที่แผดร้องอย่างบ้าครั่ง

“แกกล้าอวดดีกับฉันขนาดนี้เชียวเหรอ ทำไมแกถึงได้ดื้อรั้นเกินตัวขนาดนี้ อายุแค่ 7 ขวบแก่แดดริจะหนีเที่ยว”

“หนูไม่ได้จะหนีเที่ยว หนูจะไปหาพ่อ” เสียงเล็กใสตามวัยผ้าขาวแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าว

“นี่แกกล้าเถียงฉันเหรอ แกนี่มันเหมือนพ่อแกไม่มีผิดอวดดี”  
หญิงสาวหายใจกระหืดกระหอบมือข้างหนึ่งจับต้นแขนเด็กหญิงมั่น  มืออีกข้างหยุดทุบตีไปนานแล้ว

“อ๋อ...คงสอนกันมาสิท่า ชอบมากสินะไอ้นิสัยชั่วๆอย่างพ่อแกนะ”
เด็กหญิงตะหวัดสายตาจ้องมองใบหน้าของผู้ให้กำเนิดแน่นิ่ง นัยน์ตาดำคมขุ่นข้นแข็งกร้าว  เด็กหญิงพ่นคำพูดเสียงดังช้าชัดและแม่นมั่น

“หนูเกลียดแม่ แม่ได้ยินมั้ยหนูเกลียดแม่” เสียงนั้นดังพร้อมๆกับเสียงฟ้าร้อง รุนแรงเดือดดาลไม่แพ้กัน

ฟ้าคำรามดังสะนั่นหญิงสาวสะดุ้งตื่น อากาศค่อนข้างเย็นสบายแต่หญิงสาวกลับเหงื่อแตกท่วมตัว ภาพฝันชัดเจนดั่งเช่นเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน  ฟ้าแลบปลาบแปลบให้นึกหวาดหวั่น  หญิงสาวลุกขึ้นดึงผ้าม่านสีเหลืองนวลมาบรรจบกันปิดกั้นสายตาจากแสงสายฟ้าภายนอก  รู้สึกคอแห้งผาดจึงเดินออกจากห้องนอนลงบันไดไป

ไม่แปลกใจสักนิดเมื่อเห็นสตรีวัยกลางคนยังนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังในเวลาค่อนดึกอย่างนี้  หญิงสาวเดินผ่านร่างนั้นไปแสร้งเป็นไม่เห็นหรืออีกนัยหนึ่งเธอไม่อยากเห็น

“ยังไม่นอนอีกเหรอยัยพิมพ์”  
เสียงพูดอ๋อแอ๋อย่างคนไร้สติ  พิมพ์จันทร์เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาเปิดดื่มอย่างไม่ยี่ระต่อคำถามนั้น

“ตกใจเสียงฟ้าร้องเหรอไง”
 
“เปล่าค่ะ แม่ล่ะคะ ทำไมยังไม่นอน” หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ  

แม่มักจะกลายเป็นอีกคนเสมอเมื่อสติถูกลดทอนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แม่จะพูดกับเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใยไม่เจือความประชดประชันหรือขุดเอาโคตรเหง้าบรรพบุรุษของพ่อมาด่าทอให้ฟังอย่างตอนที่สติยังครบดีอยู่

“นอนไม่หลับ พ่อแกยังไม่โทรกลับมาเลย ไหนบอกว่าคืนนี้จะโทรมา นี่ก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว”

กับพ่อก็เช่นกันดูเหมือนว่าพ่อจะมีความหมายกับแม่ขึ้นมาบ้างเมื่อแม่เมาแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนในเวลาปรกติพ่อกับแม่เหมือนอยู่กันคนละโลก  พิมพ์จันทร์รู้...ตัวเธอเท่านั้นที่ทำให้พ่ออดทนกับทุกอย่างมาได้  หากแต่กับแม่เธอคิดไม่เคยออกเลยว่าแม่อดทนอยู่เพื่ออะไร

“ไม่ต้องรอหรอกค่ะ แม่ไปนอนเถอะ”

“อือ ฉันก็ว่างั้นแหละ แกก็อย่าลืมห่มผ้าล่ะอากาศชื้นๆจะไม่สบายเอา”

พิมพ์จันทร์เดินขึ้นบันไดไปนานแล้วแต่ยังทันได้ยินประโยคสุดท้ายไล้หลังมาเบาๆ  ความห่วงใยของแม่เธอจะมีโอกาสรับรู้มันตอนที่แม่เมาเท่านั้น  มันหาแทบไม่ได้ในเวลาที่แม่ครองสติครบถ้วน  หญิงสาวยังเกิดคำถามในใจอยู่เสมอว่าแม่เป็นห่วงเธอจริงๆหรือเป็นเพราะฤทธิ์เหล้ากันแน่

มีเพียงพ่อเท่านั้นที่เป็นห่วงและดูแลเอาใจใส่เธออย่างสม่ำเสมอ  แม้กับแม่พ่อก็ทำหน้าที่ของสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง  ถึงกระนั้นพ่อก็ยังแย่ที่สุดในสายตาแม่  ทุกอย่างที่รวมกันเป็นพ่อเป็นเธอไม่เคยมีสิ่งไหนดีเลยสำหรับแม่

บางครั้งพิมพ์จันทร์ก็นึกสงสัยพ่อกับแม่มีเธอขึ้นมาได้ยังไง  ในเมื่อเขาทั้งสองไม่ได้รักกัน  แม้เด็กสาวจะรับรู้ว่าพ่อรักแม่อยู่ไม่น้อย แต่ความเกลียดชังที่แม่มีให้พ่อก็ไม่น่าจะทำให้เธอกำเนิดขึ้นมาได้ ก็ในเมื่อคนสองคนจะตกลงอยู่ด้วยกันมันจะต้องมีใจให้กันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ  แล้วถ้าแม่เกลียดพ่อขนาดนั้นอะไรล่ะที่ทำให้พ่อยังรักแม่อยู่ได้ มันเป็นแง่มุมมืดๆของความรักที่เธอยังไม่เข้าใจ  และมันก็เป็นเงาเทามัวของชีวิตเธอที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักที

พิมพ์จันทร์กลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง  ฟ้าแลบแปลบขึ้นที่ปลายฟ้าก่อนเสียงฟ้าร้องจะดังขึ้น  สาวน้อยหมดอารมณ์ที่จะนอนต่อ เธอเดินตรงไปยังโต๊ะอ่านหนังสือแทนที่จะเป็นเตียงนอนนุ่มๆ  เปิดลิ้นชักหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมอีกที ภาพที่มีทั้งพ่อ แม่และเธอถ่ายพร้อมหน้ากันทั้งสามคน สาวน้อยในชุดนักเรียนใบหน้าคมเข้มผมยาวดำขลับผิวเนียนขาวราวหยวกปลอกเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับจากแม่ไม่มีสิ่งไหนละหม้ายพ่อสักนิด

เธอเหมือนแม่ชีวิตถึงได้อาภัพอย่างนี้ ในภาพสาวน้อยกำลังโอบกอดบุคคลข้างกายทั้งสองหน้ายิ้มระรื่นเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดาแต่สตรีเบื้องซ้ายกลับวางสีหน้านิ่งเฉย พิมพ์จันทร์จำได้แม่นยำภาพนี้ถ่ายที่โรงเรียนก่อนที่เธอจะจบชั้น ม. ต้น  พิมพ์จันทร์ขึ้นรับรางวัลนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นพ่อและแม่ก็ได้รับเชิญในงานนี้ด้วยทั้งสามจึงมีโอกาสได้ถ่ายรูปพร้อมหน้ากัน

ภาพนี้เป็นเพียงภาพเดียวที่พ่อและแม่ได้ร่วมถ่ายภาพด้วยกันเพราะตั้งแต่จำความได้พิมพ์จันทร์ยังไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ถ่ายภาพคู่กัน แม้แต่ภาพถ่ายวันแต่งงานของคนทั้งคู่พิมพ์จันทร์ก็ยังไม่เคยเห็น  ภาพถ่ายในบ้านถ้ามีเธอถ่ายคู่แม่ก็ต้องไม่มีพ่อ ถ้าเธอถ่ายคู่พ่อก็ไม่มีแม่  

ภาพนี้จึงทำให้พิมพ์จันทร์รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่หยิบออกมาดู  ไม่ใช่เพราะได้ถ่ายภาพพร้อมหน้ากัน  แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของพ่อที่กว้างขว้างสดใสกว่าทุกๆครั้ง    รอยยิ้มแห่งความภูมิใจในตัวบุตรสาวคนเดียว  รอยยิ้มที่พิมพ์จันทร์ไม่มีโอกาสได้พบเห็นบ่อยๆตั้งแต่เล็กจนโตมาถึงวันนี้

พิมพ์จันทร์เก็บภาพถ่ายใบเล็กลงกล่องสี่เหลี่ยมตามเดิม  หัวใจที่กำลังแห้งแล้งเต็มทีกลับรู้สึกสิ้นหวังหดหู่มากยิ่งขึ้น เมื่อหวนนึกว่าพรุ่งนี้แล้ววันที่ความเป็นครอบครัวจะสิ้นสภาพลง  เมื่อพ่อกับแม่ตกลงยุติบทบาทสามีภรรยาของกันและกันไว้เพียงเท่านี้  พิมพ์จันทร์ไม่เข้าใจว่าอะไรที่มันทำให้จิตใจแห้งผาดได้ถึงขนาดนี้

แม้จะรับรู้ว่าการหย่าเป็นหนทางเดียวที่จะยุติความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่ได้  แต่เด็กสาวก็พอใจในความเป็นครอบครัวที่มีครบทั้ง พ่อ แม่ และลูกมากกว่า เพราะพิมพ์จันทร์คิดมาตลอดว่าความรักความผูกพันในครอบครัวอาจจะทำให้บ้านอบอุ่นขึ้นมาได้ในสักวัน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับคนที่ก้าวเข้ามาในห้องนั้นเป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดกระโปรงยาวคร่อมเข่าสีน้ำเงินเข้มและเสื้อสูทสีเดียวกัน พิมพ์จันทร์ไม่ได้หันไปมองคนสูงวัยกว่าในทันทีสาวน้อยยังคงทอดสายตามองผ่านบานหน้าต่างไปอย่างเลื่อนลอย  จนเมื่อมีเสียงร้องถามจากคนเป็นแม่นั้นแหละจึงคืนสติกลับมาได้

“อ้าว ทำไมถึงใส่สีดำอย่างนี้ล่ะ ไปเปลี่ยนชุดอื่นเดี๋ยวนี้นะ” ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่เสียอารมณ์กับอะไรทั้งนั้นแต่เมื่อเห็นชุดที่บุตรสาวสวมอยู่แสงอุษาก็อดโมโหไม่ได้

“ก็หนูไม่รู้นิคะ ว่าการไปเป็นพยานในวันจดทะเบียนหย่าของพ่อกับแม่เนี้ยต้องใส่ชุดไหนถึงจะเหมาะสม” สีหน้าของคนเป็นแม่กระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้น ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าของแสงอุษาผู้เย่อหยิ่งเหมือนเดิม  คนสูงวัยกว่าเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดกระโปรงสีเหลืองพาสเทลออกมาส่งให้บุตรสาว

“เปลี่ยนเป็นชุดนี้แล้วกัน” สาวน้อยรับชุดไปเปลี่ยนอย่างจำยอม สำหรับแม่พิมพ์จันทร์ไม่เคยมีทางเลือกอยู่แล้ว

“อืม ค่อยดูสดใสสมวัยหน่อย” แสงอุษาจับโบที่เอวของบุตรสาวผูกให้แน่นอีกครั้ง

“แม่รู้ว่าแกยังทำใจไม่ได้ แต่อีกหน่อยแกก็จะเข้าใจว่าแม่เลือกทางออกที่ดีที่สุดแล้ว” พิมพ์จันทร์กัดฟันแน่นพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำตาไว้ สิ่งที่แม่อยากให้เธอเข้าใจมันต้องใช้เวลา  แต่สิ่งที่เธออยากให้แม่เข้าใจมันเกิดขึ้นแล้วในวันนี้...เด็กบ้านแตก...หากแม่เปิดใจสักนิดแม่ก็จะเข้าใจมันได้โดยไม่ต้องอาศัยเวลาพิสูจน์

“พ่อล่ะคะแม่”
“เมื่อเช้าโทรมาบอกว่าเจอกันที่เขตเลย รีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะสาย”

คำพูดของแสงอุษาราบเรียบเสียจนพิมพ์จันทร์อดคิดไม่ได้ว่า  เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่มีอะไรสะเทือนใจแม่ได้เลย  มันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่อีกไม่นานแม่ก็จะ...ลืม...มันไปอย่างง่ายดาย

เมื่อแสงอุษาและพิมพ์จันทร์ก้าวลงจากบันไดก็ทันกับสตรีสูงวัยที่ก้าวเข้ามาในบ้านพอดี ใบหน้าเหยี่ยวหย่นนั้นละหม้ายกับแสงอุษามากกว่าพิมพ์จันทร์แต่เด็กสาวก็ยังมีเค้าความเหมือนอยู่บ้าง คุณหญิงดวงแขตรงรี่เข้ามาสวมกอดบุตรสาวก่อนจะพูดว่า

“เสร็จกันพอดีเลยเหรอ แม่ว่าจะไปรอที่เขตเลย แต่เป็นห่วงเลยคิดว่าไปพร้อมกันเลยดีกว่า”  

“เป็นห่วงอะไรคะคุณแม่หนูไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย”
แสงอุษาพูดกลั้วเสียงใสย้ำคำว่า...ไม่เป็นอะไร...ให้ชัดขึ้นในความรู้สึกของพิมพ์จันทร์

“สวัสดีค่ะคุณยาย” สาวน้อยพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม คุณหญิงดวงแขยกมือรับไหว้แล้วจึงหันไปพูดกับบุตรสาวต่อ

“พร้อมแล้วใช่มั้ยลูก”

“พร้อมกว่าตอนจดทะเบียนสมรสอีกค่ะ” เหมือนว่าแต่ละคำพูดของแม่จะเปล่งออกมาเพื่อทำลายจิตใจของพิมพ์จันทร์โดยเฉพาะ

“เราล่ะพร้อมรึยัง ยัยพิมพ์” เสียงอ่อนหวานที่เคยพูดกับแสงอุษาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงแข็งกระด้างทันทีเมื่อพูดกับพิมพ์จันทร์

“ค่ะ”   สาวน้อยกล่าวตอบพร้อมพยักหน้ารับเบาๆ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนพิมพ์จันทร์อาจจะรู้สึกน้อยเนื้อตำใจที่คุณหญิงดวงแขผู้มีศักดิ์เป็นยายแท้ๆมักจะมีท่าทีเฉยชาห่างเหินต่อเธอ แต่ตอนนี้สาวน้อยเริ่มชินชากับกิริยาท่าทางเช่นนั้น  พิมพ์จันทร์ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้เป็นยายถึงได้ชิงชังรังเกลียดเธอนัก

ตั้งแต่เล็กจนโตสาวน้อยยังไม่เคยทำอะไรให้บุคคลผู้นี้ต้องเดือดร้อน ลำบากใจหรือเสื่อมเสียไปถึงเกียรติศักดิ์ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลได้เลย อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นลูกของพ่อ  ลูกของนาย ทัตพล ตื่นกสิกรรม  ข้าราชการต่ำต้อย ไม่ใช่ลูกหลานผู้รากมากดีเก่าแก่อย่างเชื่อวงศ์ของแม่ ยายก็คงจะเกลียดเธอเกลียดพ่อเธอด้วยเหตุผลเดียวกับแม่และญาติพี่น้องของแม่คนอื่นๆ

เพียงแค่รถยุโรปคันหรู่เลียวเข้าสู่สำนักงานเขตภาพของชายกลางคนร่างสูงโปร่งที่เพิ่งก้าวลงจากประตูรถออกมาทำให้พิมพ์จันทร์กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทันทีที่รถจอดสนิทสาวน้อยก็เปิดประตูวิ่งตรงไปหาผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็ว  ทันทีที่พิมพ์จันทร์โอบกอดบิดาน้ำตาแห่งความอัดอั้นก็หลั่งไหลเหมือนทำนบพัง

“พ่อค่ะ พ่อไปไหนมาไม่กลับบ้านตั้งหลายวัน หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้มั้ยคะ”

“พ่อก็ไปทำงานไง” คุณทัตพล จูบหน้าผากบุตรสาวพรางปัดผมที่ปิดหน้าให้อย่างถะนุถนอม

“ร้องไห้อีกแล้ว ไอ้ลูกแมวมอมแมมของพ่อ”  

“อย่าชักช้าอยู่เลยรีบๆไปจัดการให้เสร็จๆเสียที”   เสียงของคุณหญิงดวงแขทำให้คุณทัตพลต้องหันไปมอง

“สวัสดีครับคุณแม่”   คุณหญิงดวงแขเพียงแค่ยกมือรับไหว้หากแต่ใบหน้านั้นเบือนมองไปทางอื่น

“ถ้าคุณพร้อมแล้วก็อย่าชักช้าอยู่เลย”   คุณทัตพลแทบพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของว่าที่อดีตภรรยา

“ไปกันเถอะลูก” สองพ่อลูกสบตากันความเจ็บปวดชัดเจนในแววตา ความรักความอาวรณ์รวมทั้งกำลังใจถูกส่งผ่านให้กันและกัน

ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จะทำให้ใครเสียใจได้บ้างก็คงจะมีแค่คุณทัตผลกับพิมพ์จันทร์เท่านั้น ความทุกข์ทนจากการพรากจากจะทรมานปานใดคนที่รักและผูกพันกันเท่านั้นเข้าใจดี ทว่าคนที่หมดรักกันแล้วนั้นแม้หยาดน้ำตาก็ไม่อาจทำให้หัวใจสะเทือนได้ หลังจากขั้นตอนการจดทะเบียนหย่าเสร็จสิ้นพิมพ์จันทร์เข้าสวมกอดบิดาอีกครั้ง

“พ่อค่ะ หนูไปอยู่จันทบุรีกับพ่อไม่ได้เหรอค่ะ”

“หนูอยู่กรุงเทพกับแม่นี่แหละดีแล้วลูก พ่อต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้หนู ถ้าหนูไปอยู่กับพ่อหนูก็ต้องย้ายโรงเรียน อยู่ที่นี่ดีกว่าทุกอย่าง” เท่านั้นที่คุณทัตพลบอกแก่บุตรสาวได้ทว่าสิ่งมากกว่านั้นยังไม่ถึงเวลาต้องพูด

“แต่หนูคิดถึงพ่อ”   เสียงพูดป่นสะอื้นคุณทัตพลต้องจับไหล่บุตรสาวบีบเบาๆ

“คิดถึงพ่อก็ไปหาได้นิลูก พิมพ์หนูต้องเข้มแข็งนะลูก อย่าอ่อนแอให้ใครเห็นเขาจะรังแกเราได้ พ่อขอโทษถ้าสิ่งที่พ่อทำในวันนี้ทำให้ลูกต้องเสียใจ แต่พ่อสัญญาว่าพ่อจะไม่แต่งงานใหม่พ่อจะรักลูกและแม่ของลูกคนเดียวเท่านั้น”   แม้คำพูดนั้นจะเบาแสนเบาแต่แสงอุษาก็ได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน เหมือนหินก้อนใหญ่ถูกทิ้งลงกลางตะกอนใจที่สงบนิ่ง ขุ่นมัวเสียจนทนยืนฟังนิ่งๆต่อไปไม่ได้

“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันจะดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด” คุณทัตพลหันมองใบหน้านั้น สีหน้าเรียบเฉยคอตั้งตรงคางเชิดเล็กน้อยแววตาที่มองเมินหาความสลดหดหู่ไม่เจอ

“ผมฝากยัยพิมพ์ด้วย ยัยพิมพ์นะเขาเหมือนคุณมากเลยนะ คุณไม่ควรจะไปบังคับเขามาก”

“ถ้าคุยกันเสร็จแล้ว ฉันว่าเรากลับกันได้ซะที เสียเวลามามากแล้ว”

  แสงอุษารีบพูดตัดบทแล้วจึงจูงมือพิมพ์จันทร์เดินจากไป สาวน้อยหันหลังมองบิดาจนลับสายตาน้ำตาหลั่งไหลอาบแก้มนวล ความเจ็บปวดไม่ต่างจากโดนเฉียดเนื้อ คุณทัตพลก็มองบุตรสาวไม่วางตาเช่นกันแม้ภายนอกจะแสดงออกถึงความเข้มแข็งตามวิสัยบุรุษเพศแต่ความรู้สึกในใจสุดแสนทรมานเมื่อต้องทนมองคนที่ตนรักสุดหัวใจสองคนเดินจากไป

บ้านสีขาวหลังใหญ่แม้พิมพ์จันทร์จะเคยมาที่นี่บ้างแต่เมื่อต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆก็อดรู้สึกเงียบเหงา โดนเดี่ยวไม่ได้  บ้านหลังใหญ่มีผู้คนอาศัยอยู่หลายคนก็จริงหากแต่มันไม่ได้ทำให้บ้านหลังนี้อบอุ่นขึ้นมาเลย  ตรงกันข้ามมันกลับทำให้พิมพ์จันทร์อ้างว้างมากขึ้น

แม้จะมีแม่อยู่ด้วยทว่าความรักความเอาใจใส่ที่แสงอุษามีให้ลูกกลับดูผิวเผินเหลือเกิน  เมื่อแสงอุษาต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆพิมพ์จันทร์ก็เหมือนต้องอยู่บ้านคนเดียวครั้นจะอาศัยพูดคุยนั่งเล่นกับอัญชิสาลูกสาวคุณน้าสิราวรรณน้องสาวแท้ๆของแม่นั้นก็คงจะยาก เพราะรายนั้นไม่เคยจะชายตาแลพิมพ์จันทร์เลยด้วยซ้ำ คุณสิราวรรณผู้เป็นน้าก็ไม่ต่างจากลูกสาว ส่วนคุณสารัชน้าชายนั้นก็ไม่ค่อยสนใจความเป็นไปในบ้านหลังนี้อยู่แล้ว  ความคิดคำนึงถึงคุณทัตพลผู้เป็นพ่อจึงมากขึ้นเป็นทบทวี

“ทำไมเราต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยคะแม่ ทำไมเราไม่อยู่ที่บ้านเรา” พิมพ์จันทร์พูดขึ้นเมื่ออยู่ตามลำพังสองคนกับแสงอุษา

“ก็บ้านหลังนั้นน่ะอยู่ตั้งชานเมืองโน้นไปไหนมาไหนก็ลำบาก อยู่ที่นี่แหละดีแล้วสะดวกสบายกว่ากันตั้งเยอะ” แสงอุษาว่าพรางยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม

“แต่หนูไม่ชอบที่นี่เลย คนที่นี่ก็มองหนูแปลกๆ วันๆไม่เคยเห็นมีใครพูดอะไรกัน เดินสวนกันอย่างกับคนไม่รู้จัก”

“แกก็คิดมากไปคนอื่นเขาก็ต้องทำการทำงาน ต้องคิดอะไรเยอะแยะมากมายจะให้เขามานั่งคุยไร้สาระอยู่กับแกได้ไง” คนเป็นแม่ยังคงมองไม่เห็นปัญหาของลูกสาว

“แต่หนูไม่ชอบที่นี่เลย เรากลับไปอยู่บ้านเราเหมือนเดิมนะค่ะแม่ หนูอยากกลับบ้านเรา” สาวน้อยจับแขนมารดาเขย่าเบาๆ

“เอ๊ะ...แกนิพูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกว่าอยู่ที่นี่แกก็ต้องอยู่ที่นี่อย่าเรื่องมากนักเลย”

“งั้นถ้าแม่ไม่ไปหนูไปเองก็ได้ หนูไปอยู่บ้านเราคนเดียวก็ได้”

“ยัยพิมพ์ ทำไมแกมันถึงได้ดื้อรั้นขนาดนี้นะ ฉันจะบอกอะไรแกให้นะ บ้านหลังนั้นน่ะฉันขายไปตั้งแต่วันที่ฉันหย่ากับพ่อแกแล้ว ถ้าแกอยากไปอยู่ที่นั่นนักก็เชิญถ้าเจ้าของบ้านเขายอมให้แกอยู่ด้วยนะ” ข้อความที่ได้ยินทำเอาพิมพ์จันทร์แทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความคาดไม่ถึง

“แม่ขายบ้านของเรา แม่ขายบ้านของพ่อ แม่ทำอย่างนั้นได้ยังไงคะ ทำไมแม่ไม่บอกหนูสักคำแม่กำลังคิดอะไรอยู่ถ้าแม่จะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับพ่องั้นแม่ก็ไม่สมควรจะอยู่ใกล้ๆหนูเพราะหนูเป็นลูกพ่อเป็นตัวแทนของพ่อ ทำไมแม่ไม่ขายหนูไปด้วยซะเลยล่ะคะ”
น้ำเสียงสั่นเครือเจือไปด้วยความน้อยใจผิดหวัง ร่างบางสะอื้นให้ด้วยความเสียใจ หากแต่เสียงนั้นกลับเข้มแข็งชัดเจน

“แกหยุดพูดอะไรบ้าๆได้แล้วยัยพิมพ์” แสงอุษาก็เสียงแข็งกร้าวไม่แพ้กัน

“ไม่ค่ะ แม่ไม่อยากฟังหนูพูดเพราะสิ่งที่หนูพูดมันจี้ใจดำแม่ใช่มั้ยล่ะคะ”

“ฉันบอกให้แกหยุดพูดไง”

“แม่ไม่เคยฟังหนูเลย แม่ใจดำ” ทันทีที่คำพูดสุดท้ายสิ้นสุดลงแสงอุษาก็คว้าแก้วน้ำสาดเข้าเต็มหน้าพิมพ์จันทร์

“แม่ แม่ใจดำกว่าที่หนูคิดไว้มาก” สายตาเยือกเย็นจนแสงอุษาต้องเบือนหน้าหลบ

“พิมพ์....” ไม่ทันจะพูดคำต่อไปร่างบางก็วิ่งจากไป คนเป็นแม่ได้แต่ยืนมองตามหลัง ทัตพลเคยบอกว่าพิมพ์จันทร์เหมือนเธอ ตอนนั้นเธอแค่เข้าใจว่าพิมพ์จันทร์แค่ก้าวร้าว ดื้อรั้นตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่ตอนนี้มีอีกสิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นในตัวบุตรสาวนั่นคือความอยากเอาชนะ หรือจะเป็นสิ่งนี้ที่ทัตพลหมายถึง

พิมพ์จันทร์วิ่งออกมาจากประตูโดยไม่ทันสังเกตว่าอัญชิสากำลังเดินเข้ามาทั้งสองคนจึงชนกันอย่างจัง แจกันดอกไม้ที่อัญชิสาถือมาตกแตกระจัดกระจาย  พิมพ์จันทร์ลุกขึ้นทำท่าจะวิ่งต่อแต่อัญชิสากลับขว้างทางไว้

“เธอทำของของฉันแตก”

“ขอโทษ”

“แค่นั้นเองเหรอ ของของฉันเสียหายขนาดนี้เธอบอกว่าขอโทษแค่นั้นเหรอ” พิมพ์จันทร์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะพูดว่า

“เดี๋ยวฉันจะซื้อใช้ให้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วกรุณาหลีกทางให้ฉันด้วย” สาวน้อยทำท่าจะเดินจากไปแต่อัญชิสาไม่มีทีท่าจะยอมง่ายๆ

“เดี๋ยวแล้วดอกไม้ล่ะจะว่าไง”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะซื้อคืนให้” อีกครั้งที่พิมพ์จันทร์พยายามที่จะเดินจากไป แต่คราวนี้อัญชิสากลับยืนขว้างเต็มประตู

“หลีกไปนะ”   คนฟังยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

“ฉันบอกว่าให้หลีกไปไง” เมื่อไม่มีทีท่าว่าเรื่องจะจบลงง่ายๆคนอย่างพิมพ์จันทร์ก็ไม่จำเป็นต้องขอร้องใครอีกต่อไป

“ไม่ยอมหลีกใช่มั้ย” สิ้นเสียงสาวน้อยก็ใช้ข้างลำตัวชนกระแทกเข้ากลางร่างของอัญชิสาเต็มแรงจนอีกฝ่ายล้มลงไปกองตัวงออยู่กับพื้น พิมพ์จันทร์รีบวิ่งจากไปไม่สนใจมองคนข้างหลังสักนิดแม้เสียงร้องของอัญชิสาจะดังเพียงใด

-------------######################--------------

จากคุณ : idakok
เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 21:46:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com