Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่แปด ; เชือด/ชม/ชิม ติดต่อทีมงาน

เรื่องสั้นชุด Love Like Blood - รักรสเลือด

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 1
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/07/W12451148/W12451148.html

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 2

http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/08/W12462582/W12462582.html

เลือดหยดที่สอง กลิ่นคาวของความตาย
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12527580/W12527580.html

เลือดหยดที่สาม ทรายในหลุมดำ ฉบับไฟเขียว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12670872/W12670872.html

เลือดหยดที่สี่ ขย้ำ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12683725/W12683725.html

เลือดหยดที่ห้า คำขอร้องของตั๊กแตน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12733988/W12733988.html

เลือดหยดที่หก แดนบูชายักษ์

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12766041/W12766041.html

เลือดหยดที่เจ็ด รักรสเลือด

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12797419/W12797419.html

----------------------------------

คำเตือน; งานเขียนชิ้นนี้มีเนื้อหาความรุนแรงและพฤติกรรมไม่เหมาะสมค่อนข้างมาก ผู้มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ! หมอผี


Love Like Blood – รักรสเลือด

เรื่องที่ 8

เชือด/ชม/ชิม

ชาลีแทงมีดลงไปบนหน้าท้องของเหยื่อที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ เลือดสีแดงไหลพรูออกมาราวน้ำที่ล้นเอ่อออกจากเขื่อน ชาลีกรีดมีดเป็นทางยาวมาด้านล่าง บังเกิดรอยแยกของบาดแผลกว้างขึ้น กลิ่นคาวเลือดที่คุ้นเคยชอนไชเข้ามาในรูจมูก ชาลียิ้มด้วยความพึงใจ เขาวางมีดลงบนโต๊ะด้านข้างและล้วงมือเข้าไปในท้องของเหยื่อ

ชาลีดึงขดลำไส้ออกมาจากรอยแยกนั้น เขาวางไว้ในชามใบโต ลำไส้ช่างกองเกลื่อนเชิญชวนชิมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบต้มเครื่องในอย่างเขามาก ชาลีควานมือผ่านอวัยวะภายในเข้าไปอีกครั้ง มือของเขาเคลื่อนไปแตะก้อนเนื้อที่มีขนาดเท่ากำปั้นก้อนนั้น ชาลีจับก้อนเนื้อแน่นและกระชากสุดแรง แว่วเสียงอะไรสักอย่างขาดผึง ชาลีดึงมือกลับออกมาและพบว่าในอุ้งมือที่แดงฉานด้วยเลือด มีหัวใจสีแดงสดที่รอให้เขาปรุงรสในน้ำซุปสุดโอชา

พลัน เสียงนาฬิกาปลุกกรีดร้อง

ชาลีสะดุ้งตื่นจากความฝัน

เขากระพริบตาเร็วถี่ สูดหายใจลึกและถอนหายใจออกมาทันทีด้วยความเสียดายเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง

ชาลีสบถและชันกายลุกขึ้นนั่ง ความฝันที่เพิ่งขาดห้วงลงไป เป็นความฝันที่รบกวนจิตใจของเขามาหลายเดือนแล้ว ชาลีรู้สึกหงุดหงิดที่ในความฝันเขายังไม่เคยลิ้มรสเนื้อของเหยื่อได้สำเร็จเลยสักครั้ง แต่คืนนี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เขาได้กำหัวใจของเหยื่อในมือแล้ว เหลืออีกแค่ไม่กี่ขั้นก็จะได้หย่อนมันใส่ในหม้อต้มน้ำซุปแล้ว

เสียงกริ่งปลุกยังคงดังไม่หยุด ชาลีเอี้ยวตัวไปเอื้อมมือตบปุ่มบนตัวนาฬิกา เสียงกริ่งแสบหูหายไป ชาลีหลับตาลงเพื่อรวบรวมความรู้สึกของความสุขในความฝัน เขาเหวี่ยงขาลงจากเตียงทั้งที่หลับตา ภาพของผิวหน้าท้องที่ถูกกรีดลอยเด่นชัดในความความมืด ชาลียิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาดึงขดลำไส้ไหลพรวดออกมาจากหน้าท้องนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากกว่าการชำแหละครั้งใดๆ

ชาลีลืมตาขึ้น หน้าปัดของนาฬิกาปลุกเป็นแบบพรายน้ำ ขณะนี้แสงเรืองเขียวของมันกำลังแจ้งเวลาว่าตีหนึ่งสี่สิบนาที เวลาเริ่มงานของเขาคือตอนตีสอง ชาลีลุกจากเตียง เดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเรียกความสดชื่นก่อนจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ตรงไปโรงฆ่าสัตว์ท้ายหมู่บ้าน

งานของเขาอยู่ที่นั่น

การชำแหละ

++++++++

ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า โรงฆ่าสัตว์มีชีวิตในยามกลางคืน และเมื่อชาวบ้านตื่น โรงฆ่าสัตว์จะหลับใหล

ชาลีทำงานเป็นพนักงานชำแหละเนื้อในโรงฆ่าสัตว์ของเถ้าแก่เพียว เวลาทำงานของเขาคือช่องว่างระหว่างสองนาฬิกาถึงห้านาฬิกาของทุกวัน หากโรงฆ่าสัตว์มีชีวิต นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่โรงฆ่าสัตว์จะคึกคักและมีชีวิตชีวามากที่สุดด้วยการขับเคลื่อนของพนักงานหลายสิบคน

แต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกันไป ทว่าต้องทำงานให้สอดคล้องไม่มีผิดพลาด เริ่มต้นจากฝ่ายเพชฌฆาตในห้องเชือดที่ใช้ปืนยาสลบยิงสัตว์จนหลับใหล ก่อนนำแขวนขึ้นบนรอกยกเพื่อใช้มีดแหลมแทงคอให้เลือดไหลออกมาจนหมด เมื่อเรียบร้อยก็ส่งต่อมายังฝ่ายชำแหละที่ต้องแยกเครื่องในและอวัยวะส่วนต่างๆ ส่งไปตามรางเลื่อนสู่แผนกทำความสะอาดเครื่องใน ส่วนที่เหลือก็ถูกส่งไปยังแผนกลวกหนังและขูดขนก่อนจะฉีดน้ำทำความสะอาดและแยกย้ายไปยังห้องแช่เย็นหรือห้องแช่แข็งตามแต่คำสั่ง

บรรยากาศภายในโรงฆ่าสัตว์เต็มไปด้วยความเงียบงันที่วุ่นวาย ทุกอย่างต้องพร้อมสรรพสำหรับการส่งขายเมื่อรถกระบของเถ้าแก่ขายหมูเจ้าแรกแล่นมาจอดที่หน้าโรงฆ่าสัตว์เวลาตีห้าสิบนาที ซึ่งหนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น จะมีรถของพ่อค้าขายเนื้อวัวและเนื้อหมูหลายสิบคันเดินทางเข้าออกทุกๆ ห้านาทีและเนื้อสัตว์แดงสดเหล่านั้นก็จะไปนอนอวดโฉมอยู่บนเขียงขายเนื้อตามตลาดสดต่างๆ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

กิจการโรงฆ่าสัตว์ของเถ้าแก่เพียวรุ่งเรืองมาหลายปีแล้ว พนักงานแต่ละคนล้วนทราบดีว่าเถ้าแก่เพียวมีรายได้เข้ากระเป๋าต่อวันเป็นหลักแสน และเถ้าแก่เพียวไม่ใช่คนขี้ตืด เขาจ่ายค่าจ้างให้พนักงานแต่ละคนมากกว่าเงินเดือนมาตรฐานของคนทำงานออฟฟิศเสียอีก ทุกคนจึงรักใคร่และเคารพเถ้าแก่เพียวกับครอบครัวมาก

ชาลีเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่นับถือเถ้าแก่เพียวสุดหัวใจ ด้วยว่าเถ้าแก่เพียวเป็นผู้ที่ให้ชีวิตใหม่กับเด็กกำพร้าอย่างเขา เถ้าแก่เพียวเจอชาลีตอนไปทำบุญบ้านเด็กกำพร้าและนำชาลีมาฝึกงานในโรงฆ่าสัตว์ตั้งแต่อายุสิบห้าปี  หน้าที่ของเขาเริ่มจากการเป็นพนักงานฉีดน้ำทำความสะอาดซากวัว ก่อนขยับมาอยู่ฝ่ายขูดขน แล้วจึงเลื่อนมาอยู่แผนกชำแหละเมื่อปีที่แล้ว

รวมเบ็ดเสร็จก็เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่ชาลีรับใช้เถ้าแก่เพียว

จากชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์ ถึงวันนี้ชาลีมีทุกอย่างเหมือนดั่งฝัน เขามีข้าวกิน มีบ้านอยู่ มีรถขับคือมอเตอร์ไซค์ มีเงินเก็บสำหรับจับจ่ายใช้ของฟุ่มเฟือยอย่างมีดเดินป่าและดาบซามูไรที่เขาชื่นชอบ ชาลีควรจะมีความสุขกับชีวิตนี้เมื่อเทียบกับความลำบากตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้า แต่ทว่าสวรรค์ย่อมไม่เคยประทานความสุขให้แก่ใครอย่างจริงจังนัก

ชาลีจะมีความสุขมากกว่านี้แน่ หากว่าโลกนี้จะไม่มีไอ้เด็กเวลตะไลคนนั้นเสียคนเดียว

“แบร่ๆ :-)ประหลาด แบร่ๆ ไอ้เอเลี่ยน มาทำอะไรที่บ้านข้า ออกไปนะ ออกไป๊!”

น้องกัส ลูกชายวัยหกขวบของเถ้าแก่เพียวต้องตะโกนใส่ชาลีเช่นนั้นเสมอเมื่อเห็นเขาเข้าไปหาเถ้าแก่เพียวที่บ้าน

“ไม่เอานะคะ คุณกัส ไปไล่พี่เขาทำไม อย่าดื้อสิค่ะ” ป้าลำไยผู้เป็นพี่เลี้ยงของน้องกัสทำเสียงดุ
แต่น้องกัสเป็นเด็กดื้อ ชอบเอาแต่ใจตัวเอง บางทีอาจเป็นเพราะพ่อแม่ตามใจมากเกินไปตามประสาลูกคนเล็ก น้องกัสจึงวิ่งมาเก็บหินข้างสระปลาคาร์พและเขวี้ยงใส่ชาลีอย่างสนุกสนาน

“นี่แน่ะ ออกไปจากบ้านข้านะ ไอ้เอเลี่ยน กลับดาวของแกไปเดี๋ยวนี้”

ชาลีทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มตัวลงและยกแขนป้องกันใบหน้า เขาใส่เสื้อผ้าหนาอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่เวลาก้อนหินลอยมากระทบ

แต่ความแค้นที่ก่อเกิดในจิตใจนั้นเป็นคนละเรื่อง

น้องกัสทำให้เขาหวนรำลึกถึงวัยเยาว์อันแสนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจในบ้านเด็กกำพร้า ชาลีผิดปกติจากเด็กคนอื่นตรงที่ร่างกายของเขาไม่มีสีใดนอกจากสีขาว ผิวของชาลีเป็นสีขาวเหมือนกระดาษ เส้นผม ขนคิ้วและขนแขนล้วนมีแต่สีขาว มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่มีสีอื่น ทว่าสีอื่นนั้นกลับเป็นสีแดง ซึ่งส่งเสริมให้ทุกคนเห็นเขาเป็นตัวประหลาดมากขึ้นไปอีก

หลังจากมีงานมีการทำ ชาลีเคยเก็บเงินไปหาหมอที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองเพื่อทำการรักษา แต่หมอกลับส่ายหน้าตอบว่ารักษาไม่ได้เพราะโรคที่ชาลีเป็น คือโรคที่เรียกอย่างเป็นทางการว่าโรคอัลบินิซึม (albinism) และการศึกษาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในบ้านเด็กกำพร้าก็ไม่เคยช่วยให้เขาจำชื่อเรียกที่ฟังดูยุ่งยากเหมือนภาษาต่างดาวอย่างนั้นได้ ชาลีจึงจำได้เพียงชื่อภาษาไทยที่ขนานนามโรคของเขาว่า "โรคคนผิวเผือก" เท่านั้น

แต่เหนืออื่นใดที่เขาจำได้อย่างแม่นยำก็คือ โรคคนผิวเผือกไม่มียารักษา เขาต้องทำใจและอยู่ร่วมกับสภาพอันแปลกประหลาดนี้ไปตลอดชีวิต

ด้วยความเป็น “คนผิวเผือก” ซึ่งผิวหนังเปราะบางไม่สามารถกระทบแสงแดดได้ เวลาออกนอกบ้านแต่ละที ชาลีจึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาและมิดชิดชนิดที่กลัดกระดุมถึงคอและตั้งปกเสื้อขึ้นมาปิดกั้นท้ายทอยทั้งที่อากาศร้อนไม่เกรงใจคนจน ส่วนศีรษะนั้นก็สวมหมวกไหมพรมและทับด้วยหมวกปีกกว้างอีกหนึ่งชั้น ด้านใบหน้าก็ปลอดภัยด้วยหน้ากากอนามัยสีขาวกับแว่นกันแดดสีดำที่เถ้าแก่เพียวซื้อมาฝากหลังกลับจากทริปเที่ยวไต้หวัน

ดังนั้น ชาลีจึงเป็นที่จดจำของเพื่อนพนักงานทุกคนในลักษณะของไอ้หนุ่มผู้สวมเสื้อโค้ท คาดหน้ากากอนามัย สวมใส่แว่นดำไม่ว่าจะอยู่ในร่มหรือนอกร่ม ไม่เคยมีใครเคยเห็นใบหน้าอันแท้จริงของชาลีนอกจากเถ้าแก่เพียว แต่จะว่าไปแล้ว ชาลีก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของตัวเองมานานแล้วเหมือนกัน

ตั้งแต่อายุสิบหกปี ชาลีไม่เคยส่องกระจกมองหน้าตัวเองเลยสักครั้ง

มันเป็นความหลังฝังใจที่เคยแอบรักเด็กสาวคนหนึ่งหลังหลุดพ้นออกจากบ้านเด็กกำพร้าได้ไม่นาน แน่นอนว่าเธอไม่กล้าแม้แต่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ชาลีเจ็บปวดมาก เขานอนร้องไห้คิดอยู่หลายคืนว่าหากเขาไม่ใช่คนผิวเผือก หากเขาไม่ได้มีร่างกายขาวซีดและดวงตาแดงก่ำ เธอคนนั้นจะรักเขาหรือไม่  

ทุกครั้งที่เขาเห็นกระจกซึ่งสะท้อนเงากายอันน่าหวาดกลัว ชาลีจะต้องคิดถึงเธอ หัวใจของเขาจะปวดร้าวเหมือนถูกตอกด้วยตะปู เหตุนี้เขาจึงเลิกมองกระจกนับแต่นั้นเป็นต้นมา กระจกในส่วนต่างๆ ของบ้านเขาจึงมีผ้าขนหนูและกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดคลุมไว้หมด

จริงอยู่ที่เขาโกนหนวดและโกนผมด้วยตัวเองทุกๆ สองวัน แต่กระจกที่เขาใช้ ก็เป็นกระจกขนาดเล็กอย่างที่พวกคนโบราณเรียกว่าคันฉ่อง ซึ่งจะส่องให้เห็นแค่เฉพาะส่วนที่ต้องการ แต่ในระยะหลังมานี้ ชาลีคุ้นเคยกับมีดโกนและแบ็ตตาเลี่ยนไฟฟ้าดีถึงขั้นที่ไม่ต้องพึ่งพากระจกอีกต่อไป

ชาลีใช้ชีวิตอย่างคนปกติเรื่อยมา เขาไม่เคยมีความคิดแค้นเคืองจนอยากถลกหนังใครสักคนเท่าความรู้สึกที่มีต่อน้องกัสมาก่อน

เปล่าหรอก ชาลีไม่ได้ต้องการถลกหนัง แล่เนื้อ สับ หั่น ชำแหละเพราะน้องกัสด่าว่าเขาเป็นตัวประหลาด แต่ชาลีอยากถลกหนังน้องกัสเพื่อแก้แค้นให้เจ้าดอกรัก แมวน้อยผู้เป็นเพื่อนสนิทบนโลกนี้เพียงผู้เดียวของเขา

ความฝันที่เขาได้ชำแหละร่างน้องกัส เกิดขึ้นหลังจากที่น้องกัสเป็นต้นเหตุให้เจ้าดอกรักต้องเสียชีวิต อุบัติเหตุอันเลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าน้องกัสไม่วิ่งไล่จับเพื่อจุดไฟเผาหางของเจ้าดอกรัก น้องกัสเป็นเด็กเกเร ชอบรังแกสัตว์โดยเฉพาะกับหมากับแมว น่าเสียดายที่เถ้าแก่เพียวและอาซ้อไม่เคยตักเตือนลูกชายเลย

ซึ่งหากมีใครสักคนถามว่าชาลีมีเรื่องอะไรที่ไม่ชอบใจเกี่ยวกับตัวเถ้าแก่เพียวบ้างไหม? ชาลีคิดว่าเขาคงตอบได้โดยทันทีว่าเป็นเรื่องนี้นี่เอง บางครั้งเขาก็อยากเข้าไปตะโกนใส่หน้าเถ้าแก่เพียวด้วยซ้ำว่า ‘หัดสั่งสอนลูกซะมั่งสิ!’ แต่เขาก็ไม่กล้า ไม่เคยมีใครกล้าตะโกนใส่หน้าผู้ที่มีพระคุณหรอก ชาลีรู้ดีว่าไม่มีคนเจริญแล้วที่ไหนเขาทำกัน

แต่กระนั้น ชาลีก็อดคิดไม่ได้ว่า การเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาแบบผิดๆ ก็ไม่ต่างจากปล่อยอาชญากรตัวฉกาจออกจากคุกสักเท่าไหร่ ทางเดียวที่จะขจัดปัญหาได้ก็คือต้องฆ่าให้ตายเสียแต่ยังเด็ก จะได้ไม่มีโอกาสเติบโตไปทำร้ายใครอีก

แต่ชาลีก็รู้ดีว่าความคิดของเขาเป็นได้เพียงภาพฝันที่ไร้ตัวตน เขาไม่มีทางหลอกล่อจับน้องกัสมาเชือดได้อย่างในฝัน เพียงโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังยังไม่มี แม้บ้านพักของเขาจะอยู่ติดรั้วบ้านของเถ้าแก่เพียวก็ตาม แต่จู่ๆ จะให้น้องกัสหายตัวไปโดยไม่มีใครสงสัยมันเป็นไปไม่ได้

เหตุนี้เอง ตลอดทั้งวันชาลีจึงสนุกกับการได้ฝัน ได้จินตนาการ ได้วาดภาพว่าหากเขามีน้องกัสอยู่ในมือ เขาจะทำอะไรบ้าง ชาลีคิดว่าอย่างแรกที่จะทำคือจุดไฟแช็กลนกระปู๋ไอ้เด็กนั่นให้ไหม้เกรียมเหมือนที่มันเคยทำกับหางของหมาจรจัดและยังพยายามมาทำกับเจ้าดอกรักของเขาด้วย

เผาเสร็จแล้วเขาก็จะจับมันนอนบนโต๊ะชำแหละ ใช้สว่านเจาะมือเจาะตีนตอกติดกับโต๊ะไม่ให้ดิ้น แล้วค่อยๆ ใช้มีดกรีดลงไปบนเนื้อหนังที่บำรุงด้วยสบู่ราคาสูงและนุ่มนวลด้วยการแช่น้ำนมราคาแพง ผิวขาวอมชมพูอย่างพวกคุณหนูผู้รากมากดีจะถูกเขาถลกลอกออกมาสับ สับ และสับเพื่อคลุกกับแป้งเกร็ดขนมปังและนำไปทอดในน้ำมันเดือดปุด

ชาลีอธิบายไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงอยากกินเนื้อมนุษย์นัก โดยเฉพาะพวกผิวพรรณขาวสวย เกลี้ยงเกลาไร้ราคี มองด้วยตาเปล่ายังนุ่มนิ่มน่าแลบลิ้นสัมผัสรส ความรู้สึกนี้อยู่กับเขาตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าออกจากบ้านเด็กกำพร้า บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกนั้นอาบน้ำแร่แช่น้ำนมเหมือนเนื้อสัตว์ชั้นดีที่คลุกเคล้าหมักเครื่องปรุงรสเลิศเตรียมพร้อมสำหรับการนำไปประกอบอาหารก็ได้

แต่ความต้องการนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับความคิดชำแหละน้องกัส สำหรับชาลีแล้ว เรื่องราวเหล่านี้มีอยู่จริงได้เพียงแค่ในโลกแห่งความเพ้อฝันของเขา มันไม่สามารถอุบัติขึ้นมาบนโลกแห่งความจริง สังคมยังมีกฎหมายตีกรอบบังคับ ชาลีไม่อยากโดนตำรวจจับ ทว่าตำรวจพวกนั้นมาจับเขาในโลกของจินตนาการไม่ได้ เขาจึงกลายเป็นฆาตกรที่ชาญฉลาดอย่างหาตัวจับยากมาพักใหญ่แล้ว

การชำแหละยังดำเนินต่อไป ทั้งในโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน

++++++++

“พรุ่งนี้โรงฆ่าสัตว์ปิดหนึ่งวัน เถ้าแก่จะทำบุญใหญ่”

คำพูดประโยคนี้กระจายไปถึงหูของพนักงานในโรงฆ่าสัตว์ทุกคนแบบปากต่อปากในเช้าวันหนึ่งหลังชั่วโมงเร่งด่วนผ่านพ้นไป  งานทุกอย่างเสร็จสิ้นลงด้วยดี ชาลีรับทราบข่าวนี้ขณะออกจากห้องอาบน้ำและเปลี่ยนกลับมาใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน

“ทำบุญทำไมวะ ยังไม่ถึงสิ้นปีสักหน่อย”

“เห็นพี่ง้วนบอกว่าเมื่อคืนเถ้าแก่กับซ้อนอนฝันร้าย เลยหยุดฆ่าสัตว์แล้วนิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน”

“หึๆ คนรวย ฝันร้ายก็หยุดงานได้ด้วย วันก่อนกุฝันว่าโดนเมียไล่แทง ยังหยุดไม่ได้เลย”

“เฮ้ย ทำเป็นเล่นไปนะ ที่กุได้ข่าวมา เห็นว่าเถ้าแก่กับซ้อฝันร้ายเหมือนกันเป๊ะๆ เลยนี่สิ”

“เป๊ะยังไงวะ?”

“ก็เป๊ะแบบที่ว่าต่างคนต่างฝัน แต่เหตุการณ์ในความฝันดันเป็นเหตุการณ์เดียวกันน่ะซี่ มันน่าขนลุกตรงนี้แหลเมิงเอ๊ย”

“หือ? ไหนเล่ามาซิ เถ้าแก่กับซ้อฝันว่าอะไร?”

“ฝันว่าคุณแก้มกับคุณกัสถูกยมทูตมาลากตัวไปยมโลกไง”

เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้านตรงข้ามห้องอาบน้ำชี้เวลาห้านาฬิกายี่สิบห้านาทีขณะชาลีเดินออกมา เขากำลังใช้ผ้าขนหนูซับผิวแขนให้แห้งพร้อมกับเดินเข้าสู่ห้องเก็บตู้ล็อคเกอร์ พนักงานร่วมแผนกชำแหละคนอื่นๆ ยังคงยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าตู้ล็อคเกอร์ของตนเองพร้อมสวมใส่เสื้อผ้า เสียงพูดคุยดังจ้อกแจ้กก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในอากาศราวมีเงาที่มองไม่เห็นช่วยประสานเสียง ทั้งที่ในห้องล็อคเกอร์มีคนอยู่เพียงห้าถึงหกคนเท่านั้น

โรงฆ่าสัตว์ของเถ้าแก่เพียวได้รับการกล่าวขานว่าเป็นโรงฆ่าสัตว์ที่มีการจัดการอย่างสะอาดสะอ้านถูกหลักเกณฑ์เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจโรคสัตว์และตรวจเครื่องในสัตว์อย่างเข้มงวดแล้ว เมื่อถึงเวลาเลิกงาน พนักงานทุกคนทุกแผนกก็ต้องอาบน้ำและพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคก่อนกลับบ้านไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หากใครคนไหนละเลยการกระทำเหล่านี้ ถ้าถูกจับได้ในภายหลังจะมีโทษสูงถึงขั้นหักเงินเดือนเลยทีเดียว

ชาลีมักเป็นคนสุดท้ายเสมอที่เข้าไปอาบน้ำและกลับออกมาที่ห้องล็อคเกอร์ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครเห็นร่างกายที่ปราศจากเสื้อผ้าห่อหุ้ม ทว่าก็มีบางครั้งที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นชาลีจึงไม่นิยมออกจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวพันกายท่อนล่างอวดท่อนบนเปลือยเปล่าที่อุดมมัดกล้ามบึกบึนเหมือนทุกคน

แต่เขาจะเดินออกมาด้วยร่างกายที่สวมกางเกงบ๊อกเซอร์ขาสั้นและใส่เสื้อกล้ามสีดำเรียบร้อยแล้ว ชาลีทราบดีว่ามันคงดูประหลาดเกินไปหน่อยที่จะสวมหมวกออกจากห้องน้ำ เขาจึงเก็บมันไว้ในตู้ล็อคเกอร์ร่วมกับเสื้อผ้าและสัมภาระชิ้นอื่นๆ ส่วนแว่นตาดำกับหน้ากากอนามัยนั้นเขายังคงใส่อยู่

“นี่ ชาลี ได้ข่าวรึยังว่าพรุ่งนี้โรงฆ่าสัตว์หยุดนะ” พี่ตงผู้เป็นคนเล่าเรื่องราวความฝันของเถ้าแก่เพียวกับอาซ้อโพล่งถามขณะชาลีเดินเข้าไปเปิดตู้ล็อคเกอร์ของตัวเองที่เป็นตู้สุดท้ายมุมห้อง เงาของเด็กหนุ่มศีรษะโล้นผิวขาวเผือกสะท้อนกับฝาตู้ด้านใน สีหน้าของเขาราบเรียบราวรูปปั้นขณะขยับปากกล่าวตอบ

“รู้แล้วครับ ผมได้ยินพวกพี่คุยกันเมื่อกี้”

“เหรอ อื้อ ดีแล้ว ว่าแต่เย็นนี้พวกพี่นัดเตะบอลกัน ชาลีสนใจจะไปด้วยกันไหม?” พี่ตงถามต่อ

“นั่นสิ ไปด้วยกันไหม ออกกำลังกายจะได้แข็งแรงไง นอกจากเห็นแกที่นี่แล้ว พวกพี่ไม่เคยเห็นแกออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นไหนเลยนิ” พี่ต่อเพื่อนสนิทพี่ตงรบเร้าโดยมีพรรคพวกอีกสามคนส่งเสียงเห็นพ้องสนับสนุน

“ไม่ล่ะครับ” เงาของเด็กหนุ่มศีรษะโล้นในฝาตู้ด้านในสั่นหน้าปฏิเสธขณะชาลีสอดเท้าใส่กางเกงขายาวก่อนจะหยิบเสื้อยืดมาสวมทางศีรษะ เสร็จแล้วจึงสวมหมวกไหมพรม “ผมชอบอยู่บ้านมากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ชาลีล่ะกัน แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็บอกได้นะ ทีมพี่ยินดีต้อนรับเสมอ” พี่ตงกล่าวอีกครั้งเมื่อชาลีพาดเสื้อโค้ทไว้กับแขนข้างซ้าย มีหมวกปีกกว้างหนีบอยู่กับซอกแขนขวา ชาลีใช้ข้อศอกดันปิดประตูตู้ล็อคเกอร์และหมุนตัวกลับไป

“ครับ ยังไงก็ขอบคุณที่ชวนครับ” ชาลีก้มศีรษะให้พี่ตงเล็กน้อย พี่ตงส่งยิ้มให้ชาลีอย่างรุ่นพี่ใจดีเอ็นดูรุ่นน้อง ทุกคนเอื้อมมือมาตบบ่าชาลีขณะเขาเดินผ่าน แต่พอเดินผ่านออกมาแล้ว ชาลีก็หยุดเท้าและแนบแผ่นหลังติดผนังด้านนอก สองหูเงี่ยฟังสรรพเสียงด้านในอย่างตั้งใจ

เขาไม่ประหลาดใจเลยกับสิ่งที่ได้ยิน

“ไอ้h ่า แปลกคน shipหาย” พี่ตงสบถ “ทำเป็นหยิ่ง นึกว่ากุอยากชวนเมิงนักรึไงวะ เห็นเถ้าแก่ขอร้องให้คบเมิงเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มหรอกนะถึงได้ยอมมาตีสนิทด้วย ไอ้วอกเผือกเอ๊ย ไม่สำเหนียกตัวเองซะบ้าง”

ชาลีถอนหายใจ ยืดแผ่นหลังเหยียดตรง หยิบหมวกจากซอกแขนขึ้นครอบบนศีรษะและก้าวเดินออกมาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

ดุจดั่งเงาที่ไร้ตัวตน

++++++++

รสชาติของคมดาบที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มแห่งความปรารถนาดี เป็นรสชาติของความเจ็บปวดที่ชวนให้ผู้ลิ้มรสนึกอยากระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ เพื่อเยาะเย้ยมิตรภาพอันจอมปลอมกับความหวังที่ถูกวาดขึ้นด้วยคำลวงและการทรยศไร้ค่า

ชาลีคุ้นเคยดีกับรสชาตินี้ เขายิ้มให้กับตัวเองขณะโปรยไส้ขนาดพอดีคำลงไปในหม้อต้มน้ำซุปที่กำลังเดือดได้ที่ คำสบถของพี่ตงไม่อยู่ในหัวเขาอีกแล้ว ชาลีผิวปากอย่างสบายใจอยู่ในห้องครัวของบ้านพักที่มีขนาดกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับบ้านหลังโตที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของรั้วกั้น เขากำลังทำอาหารกลางวันให้ตัวเองก่อนจะงีบนอนสองชั่วโมงเพื่อตื่นขึ้นมาฝึกรำดาบ

ที่นี่คือบ้านของเขา คือดินแดนของเขา ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกังวลอีกต่อไปเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้

ชาลีชื่นชอบการอยู่คนเดียวเป็นที่สุด ถึงชื่อผู้ครอบครองที่ดินตามกฎหมายจะยังคงเป็นชื่อของเถ้าแก่เพียว แต่ทุกครั้งที่อยู่ที่นี่ ชาลีจะรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากจักรพรรดิผู้ครอบครองอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล เขาจะรำดาบ ฟันตุ๊กตายัดนุ่นหรือกรีดรูปคนที่เกลียดก็ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้  

ห้องนอนของเขาคือสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดในโลก ฝาผนังที่มีดาบซามูไรแขวนเรียงรายเป็นชั้นๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจเวลาจ้องมอง

ชาลีไม่เคยต้องอ่านหนังสือก่อนนอน ฟังเพลงบรรเลงคลอเคล้าบรรยากาศหรือสวดมนต์ทำสมาธิเพื่อให้นอนหลับสบาย สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขา ชาลีสามารถหลับตานอนได้อย่างสุขสบายเมื่อได้หยิบมีดเดินป่าออกมาลูบคลำและจินตนาการว่าเขาจะใช้มีดเล่นนี้กรีด ทิ่ม แทง กระซวก จ้วง ปาดและชำแหละเหยื่อในความฝันอย่างไรดี

ชาลีสามารถล้างแค้นทุกคนที่เขาโกรธเกลียดได้ในความฝัน

บ้านที่ชาลีอาศัยอยู่ในขณะนี้ เมื่อหกปีก่อนมีค่าเป็นเพียงสถานที่เก็บของเหลือใช้ของครอบครัวเถ้าแก่เพียว มันมีขนาดยี่สิบเก้าตารางวา เมื่อแบ่งห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นและห้องนอนอย่างละหนึ่งห้องก็เป็นพื้นที่ที่แสนลงตัวและถือว่ากว้างขวางมากสำหรับสิ่งมีชีวิตผู้โดดเดี่ยวอย่างเขา

ชาลีไม่ปฏิเสธว่าเขาเหงามากที่ไม่มีเจ้าดอกรัก เมื่อก่อนเวลาเขากลับจากโรงฆ่าสัตว์ เจ้าดอกรักจะเข้ามาพันแข้งพันขาทันทีที่เขาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เจ้าดอกรักจะปีนขึ้นมานอนบนตักเขาอย่างออดอ้อน สายตาใสซื่อของมันเว้าวอนขออาหาร บางครั้งมันก็ส่งสายตาตัดพ้อเมื่อเขาลืมให้อาหารมัน

ดวงตาของเจ้าดอกรักเป็นสิ่งที่ชาลีโหยหา ดวงตาที่บริสุทธิ์ ดวงตาที่แสดงประกายแห่งความรู้สึกออกมาอย่างปราศจากการเสแสร้ง  แต่ก็เป็นดวงตาที่มีอันต้องแหลกเละเพราะศีรษะของมันถูกล้อของรถบรรทุกแล่นทับ  ความตายไม่เคยปราณีใคร แม้แต่เจ้าแมวน้อยผู้น่าสงสารก็ไม่มีข้อยกเว้น

ชาลีอยู่ในเหตุการณ์แห่งความตายของเจ้าดอกรักด้วย เขาทันเห็นวินาทีที่เจ้าดอกรักวิ่งหนีการไล่กวดของน้องกัสขึ้นไปบนถนนคอนกรีตหน้าบ้านและรถบรรทุกสัตว์คันนั้นก็วิ่งผ่านมาพอดี ล้อหน้าของมันทำหน้าที่บดกระดูกสันหลังของเจ้าดอกรัก ก่อนที่ล้อหลังจะแล่นทับและขยี้ศีรษะของเจ้าสัตว์ตัวน้อยจนเศษเลือดเศษเนื้อบี้แบนติดถนน บางส่วนก็ติดไปกับล้อรถบรรทุกที่คนขับไม่ได้รับรู้เลยว่า มีอีกหนึ่งชีวิตได้ถูกเขาพรากลมหายใจไปแล้วอย่างง่ายดาย

มันเป็นวันอาทิตย์เหมือนวันนี้ ชาลีจำได้ขึ้นใจว่าตอนนั้นเขากำลังเดินตามหาเจ้าดอกรักเพราะต้องการพามันไปหาหมอ เจ้าดอกรักมีอาการอ้วกเป็นหย่อมๆ โดยไม่มีสาเหตุมาได้สองสามวันแล้ว แต่เขาก็ไม่มีโอกาสพามันไป ชาลีได้แต่นั่งโอบกอดซากของเจ้าดอกรักอยู่กลางถนน โดยมีน้องกัสยืนหัวเราะเยาะอยู่ด้านหลัง

“ฮ่ะๆๆ ไอ้แมวโง่ เฟอะฟะนักสมองเละตุ้มเป๊ะเลย ฮ่ะๆๆ”

ยิ่งคิดถึงเสียงหัวเราะนั้น ชาลีก็ยิ่งแค้น หลังต้มเครื่องในพร้อมรับประทาน เขาก็ตักใส่ถ้วยและนำมานั่งกินที่โต๊ะ ทุกครั้งที่ฟันกรามขบเคี้ยวไส้หมูที่เหนียวหยุ่น เขาจะจินตนาการถึงลำไส้ของน้องกัสที่เห็นในความฝัน ชาลีหลับตาพริ้มด้วยความสุข ก่อนจะลืมตาและสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแหลมใสของเด็กชายวัยหกขวบคำรามขึ้น

“กินอะไรอยู่น่ะ ไอ้เอเลี่ยน”

ที่ประตูห้องครัว น้องกัสยืนกังจ้าพร้อมกับเล็งปืนอัดลมที่บรรจุกระสุนเต็มเปี่ยมตรงมาที่ชาลี

“คุณกัส มาทำอะไรที่นี่ครับ?” ผู้ถูกเล็งปืนใส่โพล่งถามด้วยความประหลาดใจ เขาถึงกับลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้ตนเองไม่ได้สวมเสื้อโค้ทตัวหนา ไม่มีหน้ากากอนามัยปิดใบหน้า ไม่มีหมวกกำบังศีรษะ ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยลดทอนความเจ็บปวดได้เลยหากน้องกัสนึกสนุกยิงปืนอัดลมใส่เขาจริงๆ

“ข้าเพิ่งเคยเห็นลูกกะตาแกเต็มๆ ก็ครั้งนี้เอง ทำไมตาแกแดงแบบนั้นล่ะ? เอาไว้ปล่อยแสงใส่ศัตรูใช่ไหม?” น้องกัสขยับเท้าก้าวเข้ามาในห้องครัวสองก้าว ปืนยังเล็งตรงไปที่ชาลีซึ่งนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน

“พี่ว่าคุณกัสกลับบะ – ”

“ - ข้าไม่เคยมีพี่เป็นเอเลี่ยน!”

“ผมว่าคุณกัสกลับบ้านดะ – ”

“ - หยุดพูด! ข้าไม่อยากคุยกับสัตว์ประหลาดต่างดาวอีกแล้ว ตายซะเถอะ!”

ชาลีเบิกตาโตเมื่อเห็นน้องกัสสอดนิ้วเข้าไปในไกปืน เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากก้มศีรษะลงและยกแขนป้องกันเป็นรูปกากบาท รอรับแรงอัดของเม็ดพลาสติกที่จะพุ่งเข้ามา

ทว่าสิ่งที่พุ่งเข้ามากลับมีเพียงเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของน้องกัสเท่านั้น

“กลัวอ่ะเด้ ฮี่ๆๆ ไอ้ขี้ขลาด”

ชาลีลืมตาขึ้น ลดแขนลง ใบหน้าร้อนวูบวาบด้วยความอับอาย น้องกัสเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นจนถึงอีกด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร หากชาลียืดตัวขึ้นและเอื้อมมือกระชากคอเสื้อ เขาก็คงจับตัวน้องกัสได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่สิ่งที่ชาลีกระทำ คือยกมือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เขารู้ดีว่าไม่อาจทำร้ายน้องกัสบนโลกแห่งความจริงได้ เพราะนั่นจะทำให้เถ้าแก่เพียวโกรธเขา

ชาลีไม่อยากให้เถ้าแก่เพียวเกิดความรู้สึกด้านลบกับเขา เถ้าแก่เคยบอกว่ารอให้เขาอายุครบยี่สิบปีเมื่อไหร่ เถ้าแก่จะยกบ้านและที่ดินผืนนี้ให้กับเขา อีกแค่ปีเดียวเท่านั้น ชาลีก็จะได้เป็นเจ้าของบ้านน้อยหลังนี้อย่างแท้จริง

“เหงื่อแตกเลยรึไอ้โล้น หน้าตาแกนี่น่าเกลียดจริงๆ เมื่อไหร่แกจะกลับดาวของแกสักทีล่ะเนี่ย  แกมีพ่อแม่พี่น้องบ้างรึเปล่า? แล้วพวกนั้นตัวขาวตาแดงแบบนี้เหมือนกันหมดมั้ยอ่ะ?” น้องกัสถาม แต่เมื่อชาลีอ้าปากจะพูด น้องกัสก็รีบพูดต่อ “แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะส่งแกลงนรก เหมือนไอ้แมวโง่ลูกสมุนแกตัวนั้น นี่แน่ะ!”

อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว น้องกัสเหนี่ยวไกยิงเม็ดพลาสติกใส่หน้าอกของชาลีระรัว ชาลีผงะหงายหลังตกเก้าอี้ ความเจ็บปวดแล่นพล่านจุดความเดือนดาลให้คุโชนในจิตใจ ถึงแม้จะสวมเสื้อกล้าม แต่มันก็เป็นเสื้อกล้ามเนื้อบาง น้องกัสวิ่งอ้อมโต๊ะอาหารเข้ามาและระดมยิงเม็ดพลาสติกใส่แขนขาของชาลีอย่างมันส์ในอารมณ์  

“พอแล้วครับ อย่าทำผมเลย พอแล้ว”

เสียงขอร้องด้วยความเจ็บปวดของชาลีดังผสานเสียงหัวเราะของน้องกัส

“หยุดเถอะครับ คุณกัส ผมเจ็บ”

ชาลีน้ำตาไหล พยายามข่มกลั้นความเดือดดาลให้กลับลงไปอยู่ในซอกหลืบของจิตใจตามเดิม เขากระถดกายถอยหนีจนแผ่นหลังติดตู้เก็บจาน

น้องกัสชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าชาลีกำลังร้องไห้จริงๆ

เม็ดพลาสติกไม่ได้พุ่งเข้ามาอีก ชาลีปรือตามองน้องกัสด้วยใบหน้านองน้ำตา ริมฝีปากของเขาสั่นระริก น้องกัสลดปืนที่เล็งใส่ลำตัวของเขาลง ชาลีหอบหายใจ ยกมือปาดน้ำตา  แต่แล้วน้องกัสก็แสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่อิ่มเอมในชัยชนะอันโสมมของปิศาจในวัยเยาว์ที่แสนโฉดชั่ว

“จำใส่กะลาหัวของแกไว้ บนโลกนี้ไม่มีใครต้องการเอเลี่ยนอย่างแก อย่ามายุ่งกับพวกข้าอีก ไม่งั้นข้าจะฆ่าแก ฮ่ะๆๆ”

คำพูดที่ถอดความมาจากละครโทรทัศน์ผสมการ์ตูน ปลิวผ่านปากของน้องกัสทะลุรูหูชาลีและไหลเรื่อยลงไปกรีดแทงหัวใจของเขาอย่างรุนแรง ชาลีกัดฟันกรอด ท้าวมือกับขอบตู้เก็บจานและดึงตัวเองลุกขึ้นยืน ผิวขาวเผือกของเขาปรากฏรอยแดงเป็นจุดๆ ด้วยพิษของเม็ดพลาสติกที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นในขณะนี้

พลัน หูของชาลีกึกก้องด้วยถ้อยคำเหยียดหยามจากเพื่อนร่วมรุ่นในบ้านเด็กกำพร้า

“ไอ้เผือก คนอ่อนแออย่างแก อยู่ไปก็ไร้ค่า ไปตายซะเหอะ ขนาดพ่อแม่ยังเอาแกมาทิ้ง นับประสาอะไรกับคนอื่น แกไม่สมควรเกิดมาบนโลกนี้ ไม่มีใครต้องการแกหรอกโว้ย ฮ่ะๆๆๆ”

ลมหายใจของชาลีพ่นผ่านจมูกฟืดฟาด นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์

น้องกัสเงยหน้ามองชาลีอย่างประหลาดใจว่าชายผู้ไม่เอาไหนและอ่อนข้อให้เขามาตลอดกำลังจะทำอะไร

น้องกัสยังคงประหลาดใจเมื่อฝ่ามือของชาลีตบเพี๊ยะเข้ากับแก้มด้านซ้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว

ร่างของเด็กชายเซไปกระแทกกับโต๊ะวางของข้างเตาแก๊สไฟฟ้า ปืนอัดลมในมือหลุดหล่น ชาลีผวาตามเข้าไปขยุ้มคอเสื้อด้านหลังของน้องกัสก่อนเหวี่ยงเต็มแรงอัดกับผนังห้องครัว ร่างของน้องกัสไหลลงมานอนกองกับพื้น จังหวะที่คว่ำหน้าลงมา ใบหน้าของน้องกัสก็กระแทบกับพื้นห้องครัวที่เป็นกระเบื้อง ฟันซี่หนึ่งกระเด็นออกจากปาก เลือดสีแดงไหลย้อยหยดลงพื้นผสานน้ำลายเป็นดวงๆ

หลังความประหลาดใจหมดไป น้องกัสก็ได้สติรับรู้ความเจ็บปวด เขาลุกขึ้นนั่ง มองเลือดที่ไหลออกจากปากสลับกับเงยหน้ามองชาลีด้วยความแตกตื่น

น้ำตาไหลทะลักอาบสองแก้ม น้องกัสลุกขึ้นยืนและพูดอย่างโกรธแค้น “แกทำข้าเลือดออก ข้าจะไปฟ้องพ่อ!”

คำพูดของน้องกัสลอยมาถึงหูของชาลี มันทำให้เขากลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ชาลีก้มมองหยดเลือดบนพื้นก่อนมองฝ่ามือขวา แล้วเงยมองรอยแดงบนแก้มเด็กชายอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป

“คุณกัส ผมไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ!” ชาลีละล่ำละลัก พยายามจะเดินเข้าหาน้องกัส แต่น้องกัสก็ถอยหนีไปจนแผ่นหลังติดผนัง

“ข้าไม่ยกโทษให้แกแน่ ไอ้เอเลี่ยน ข้าจะให้พ่อเอาตำรวจมาจับแก!” น้องกัสตะโกนและวิ่งหนีไปที่ประตู แต่จากการที่โดนเหวี่ยงอัดกับผนังเมื่อครู่ก็ส่งผลให้เคลื่อนไหวได้อย่างกะโผลกกะเผลกเต็มทน ชาลียืนละล้าละลังมองแผ่นหลังของน้องกัสอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี

แน่นอนว่าชาลียอมให้น้องกัสไปฟ้องเถ้าแก่เพียวว่าถูกเขาทำร้ายไม่ได้ เขาไม่อยากสูญเสียอาณาจักรของเขาไปเพราะการตบสั่งสอนไอ้เด็กเปรตคนนี้แค่ครั้งเดียว

เท้าของชาลีขยับไปข้างหน้า น้องกัสกะโผลกกะเผลกผ่านประตูห้องครัวไปแล้ว แต่เมื่อเร่งฝีเท้า ชาลีก็รวบตัวน้องกัสได้ที่ห้องนั่งเล่น

น้องกัสพยายามดิ้นและกรีดร้อง แต่เสียงที่ควรดังก้องบ้านกลับอุดอู้อยู่ในลำคอเพราะถูกฝ่ามือของชาลีปิดปาก

ลมหายใจของชาลีกลับมาฟืดฟาดอีกครั้งขณะลากน้องกัสเข้าไปในห้องนอน

++++++++

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 10:29:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com