Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นิยายรักโรแมนติกวงการแพทย์ ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ บทที่ 10 แล้วเราก็คลาดกันจนได้ ติดต่อทีมงาน

ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้





ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ หรือ ลิขิตรัก เสื้อกาวน์สีขาว

นิยายรักโรแมนติกในวงการแพทย์

เรื่องราวความรัก ความแค้นระหว่างอดีตนักศึกษาแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  ที่มีเหตุจำเป็นถูกใส่ร้ายจนเรียนไม่จบ ต้องจากไปต่างบ้านต่างเมือง จากหญิงคนรักที่ทำให้เขาเจ็บปวดสุดแสนสาหัส สิ้นรัก สิ้นอนาคต ชีวิตจะมีความหมายอะไร

หากหัวใจเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ

แต่แล้วสวรรค์ก็ลิขิตให้เขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในนามมหาเศรษฐีชาวจีน เพื่อกลับมาแก้แค้นหญิงคนรัก แต่บัดนี้ เธอกลายเป็นแพทย์อาชีพที่เขาเคยใฝ่ฝัน แต่เรียนไม่จบ

เพราะความผิดพลาดทางการแพทย์ ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เขาจึงฉวยโอกาสใช้ช่วงจังหวะนี่ กลับมาผูกพัน แก้แค้นเธอ

เขาจะทำให้เธอรักเขาอีกครั้งในสถานะใหม่ และทิ้งเธอไปเช่นที่เธอเคยทิ้งเขาไปในอดีต

แต่แล้วกลายเป็นว่า เขานั่นแหละกลับมาหลงรักเธออีกรอบ ไม่ใช่สิ เขาไม่เคยหยุดรักเธอเลยต่างหาก  และปมในอดีตที่ต้องการสะสางกลับค่อยเผยตัวมาทีละนิด

ขณะเดียวกันความเป็นหมอทั้งจิตวิญญาณของเธอกลับก่อความวุ่นวาย ทำให้เขาเดือดร้อน ต้องคอยตามช่วยเธอตลอด

แล้วนี่ เขาจะเอาเวลาที่ไหนมาแก้แค้นเธอกันล่ะ

เขียนถึงตอนนี้ ที่จริงอยากให้พระเอกนางเอกเจอกันเร็วๆนะคะ
แต่ต้องหาเหตุผลที่หมอกล้วยปฏิเสธไม่ได้

เพราะการจะให้นางเอกซึ่งเป็นหมอจะยอมไปอยู่กับพระเอกนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยกเว้นเกี่ยวกับพี่เตย เพราะพี่เตยคือจุดอ่อนของหมอกล้วย

เช่นเดียวกับที่หมอกล้วยคือจุดอ่อนของพี่เตยหรือเฉินฮ่าวหมิง

หมอกล้วยยอมไปก็เพื่อตามหาพี่เตยค่ะ เหตุผลหลักของเรื่อง

เพราะในความเป็นจริง ไม่มีหมอที่ไหนยอมไปเป็นคนเฝ้าไข้ง่ายๆหรอกนะคะ
เลยต้องหาเหตุผลให้หมอกล้วยปฏิเสธไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับพี่เตย เลยต้องไปค่ะ


คุณแมวเหมียวพุงป่องแอบกระซิบว่าเรื่องนี้คล้ายๆเรื่องจำเลยรัก
อิอิ เพิ่งนึกได้ เออ ใช่จริงๆด้วย เพราะพระเอกบีบให้นางเอกไปอยู่ด้วย

แต่จำเลยรักพระเอกแก้แค้นพี่สาวนางเอกแต่จับผิดคน
แต่เรื่องนี้ พระเอกแก้แค้นนางเอกเพราะความเข้าใจผิด












ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย  ยืนกอดอกนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใส นัยน์ตาสีดำเข้มคมกริบล้อมกรอบด้วยแพขนตาดกหนาโค้งงอน มองเหม่อออกไปไกลละม้ายกำลังชื่นชมวิวธรรมชาติภายนอก

ทั้งที่ก็เห็นเพียงแสงดาวระยิบระยับกระพริบแพรวพราวท่ามกลางฟากฟ้าในยามราตรีสีดำสนิท หากในใจนั้นหาได้รับรู้ภาพตรงหน้าไม่ นานๆ เขาจะเหลียวกลับมามองร่างแบบบางบนเตียงในห้องผู้ป่วยวีไอพีสักครั้ง และทุกครั้งสีหน้าจะฉายแววครุ่นคิดเสียใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
               
นอกจากสายให้อาหารที่พันขดเป็นช้อนหอยออกจากจมูกแล้ว  ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างไปจากการนอนหลับธรรมดา ไม่มีแม้แต่สัญญาณที่จะบอกว่า ทอฝันจะไม่มีวันลืมตาขึ้นมาอีกต่อไป
               

หลายครั้ง เขาเฝ้าสงสัยว่า ที่ทอฝันเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะความผิดของเขาด้วยหรือเปล่า   เขาละเลยเอาใจใส่หล่อน ทั้งที่รู้ว่าหญิงสาวกำลังตั้งครรภ์ และทั้งที่เขาเองเป็นคนขอร้องให้หล่อนเก็บลูกที่ผู้เป็นแม่หาต้องการไม่ไว้
              
 และถึงเขาจะรับผิดชอบให้ใช้ชื่อเขาเป็นพ่อของเด็กในครรภ์ แต่นั่นอาจยังไม่เพียงพอ ทอฝันจึงหนีกลับเมืองไทยเพื่อมาคลอดลูกคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวหงอยเหงา จนเกิดเรื่องราวมากมาย โศกนาฏกรรมในชีวิตของหล่อนมีสาเหตุมาจากเขาแทบทุกครั้ง
               
"ฉัน หมอปันนาขอพบเจ้าของไข้คุณทอฝัน"
               
"ไม่ได้ครับ ถ้าท่านไม่อนุญาต ก็เข้าไปไม่ได้"
              
 ชายหนุ่มยืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ เหมือนทุกส่วนในร่างกายจะหยุดทำงานกะทันหัน เมื่อได้ยินเสียงสนทนาลอดจากบานประตูที่เปิดแง้มอยู่ แม้ไม่เห็นหน้า แม้ไม่ได้บอกชื่อ เขาก็รู้ว่าหนึ่งในเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร

               
ดวงตาคม เป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาแวบหนึ่ง ใจเต้นถี่รัวเร็ว มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
               

เสียงใสฟังรื่นหูที่ห่างหายจากชีวิตไปนานแล้ว ยังกังวานใสราวกับได้ย้อนไปในอดีตก่อนหน้านี้ 10 ปี
              

 เสียงไม่เปลี่ยน หน้าตาจากรูปภาพที่ส่งมาทางอินเทอร์เน็ตครั้งล่าสุด นอกจากที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากสาวน้อยวัย 18 ที่เคยเห็นครั้งสุดท้ายนั่นเลย
              

 ไม่มีวันที่เขาจะลืม เสียงนี้มืใช่หรือที่ยามใดได้ยินยล ความสุขจะท่วมท้นทะลักทลาย ความทุกข์ที่แอบซ่อนอยู่ พลันโบยบินหนีจากไปสิ้น
               

ในที่สุดก็กำลังจะได้พบกันแล้วสินะ
               

แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่วันนี้        

สัมผัสความรู้สึกเปลึ่ยนแปลงในใจได้ดี
               

เขายังไม่พร้อม รู้ตัวเองดีว่ายังไม่พร้อม และที่าสำคัญ หล่อนยังไม่ได้เดินไปตามทางที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับ
              
 ฮ่าวหมิงส่ายหน้าให้กับชายหนุ่มอีกคนที่ยืนห่างออกไปเพื่อเฝ้าทางเข้าออกใกล้บานประตู
             
 เพียงเท่านี้ ชายผู้นั้นก็ก้มศีรษะรับปฎิบัติอย่างเข้าใจเป็นอันดี โดยไม่ต้องใช้วาจาใดๆ 

เขาดึงประตูเปิดกว้างขึ้น ยื่นหน้าออกไปพูดกระซิบกับเพื่อนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้านตรงข้าม เพียงครู่เดียว เสียงคนข้างนอกก็บอกปันนาว่า

              
 "ท่านต้องการอยู่กับคุณทอฝันตามลำพัง ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน"
              

 เสียงบอดี้การ์ดด้านนอกพูดกับใครคนหนึ่งที่กำลังพยายามจะผ่านประตูมาให้ได้
              

 “ฉันขอเข้าไปไม่นาน ไม่เกิน 10 นาที” คนอยู่ข้างนอกยังดื้อดึง ไม่ยอมจากไปง่ายๆ
              

 “ไม่ได้ ท่านไม่ต้องการให้พบ ก็แปลว่าเข้าไปไม่ได้”
              
 “งั้นฉันจะรออยู่หน้าห้องนี่แหละ จนกว่าสามีคุณทอฝันจะออกมา”
              
 คนข้างในสะอึก เขากลายเป็นสามีทอฝันตั้งแต่เมื่อไหร่
              
 
หากไม่เกรงว่าแผนทุกอย่างจะพังพินาศ หากหล่อนเห็นหน้าเขา เขาก็อยากจะออกไปพบและอธิบายบางสิ่งบางอย่างให้หล่อนฟัง
              
 แต่ขณะนี้ เขาคือเฉินฮ่าวหมิง หาใช่พี่เตยของใครไม่ จึงไม่จำเป็นต้องแครความรู้สึกของใครหน้าไหนทั้งสิ้น
              
 ใครจะคิดยังไงก็ช่าง
              
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ปันนายังปักหลักนั่งรอผู้ชายที่หล่อนคิดว่าคือสามีทอฝันอยู่ที่ด้านในเคาน์เตอร์พยาบาล ซึ่งอยู่กลางหอผู้ป่วยนอก สามารถดักทางเข้าออกจากห้องคนไข้ได้ทั้งหมด ยกเว้นจะออกทางบันไดหนีไฟด้านหลัง


และหล่อนไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะทำ ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะลงทุนหลบหน้าหลบตาหล่อนถึงเพียงนั้น
              

 ‘จะเยี่ยมนานแค่ไหน ก็จะรอ ให้มันรู้ไปสิว่าวันนี้หล่อนจะพลาดอีก’
               

              
 หญิงสาวคงจะนั่งรอต่อไปเรื่อยๆ ถ้ากนกอรไม่เดินมายื่นโทรศัพท์ไร้สายให้แล้วบอกว่า "หมอกล้วย มีเคสไอซียูเมด คอนซัลท์ด่วน"
       
ปันนาขมวดคิ้ว วันนี้หล่อนไม่ได้อยู่เวรสักหน่อย แต่กระนั้นก็ยื่นมือไปรับโทรศัพท์อยู่ดี ขณะเดียวกันก็เหลือบมองตารางแพทย์เวรสูติที่แปะไว้ข้างฝาใกล้เครื่องอินเตอร์คอม

      
 ชื่อแพทย์เวรคืนนี้คือ หมอพิมพ์ดาว
       
"วันนี้เวรพี่พิมนะ" หญิงสาวกรอกเสียงลงไป เพราะเข้าใจว่าตามผิดคน
       
"ใช่ แต่พี่พิมกลับบ้านไปแล้ว" เสียงหมอแพรวาแพทย์เวรศัลย์คืนนี้นั่นเอง
       
"อ้าว! ..." ปันนาอุทานอย่างประหลาดใจ ปกติหมอพิมพ์ดาวแพทย์รุ่นพี่ของปันนาเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ไม่น่าจะหนีเวรกลับบ้านได้
       

"กล้วยรีบลงมาดูก่อนเถอะ สงสัยเอคโตปิก รับเจอร์ ช็อก เราเพิ่งแทงจูกูลาร์ โหลดไอวีไป บีพียังไม่ขึ้นเลย" เสียงหมอแพรวารัวเร็ว แสดงว่าร้อนใจมาก
       
ปันนาคืนโทรศัพท์ให้พยาบาลก่อนจะรีบวิ่งไปกดลิฟต์เพื่อลงไปไอซียู แต่ยังไม่ลืมหันมาสั่งกนกอรว่า

"ถ้าออกมา" ชี้มือไปที่ห้องคนไข้วีไอพี "รีบโทรบอกเลยนะ"
       
หมอแพรวากำลังเขียนคำสั่งการรักษาในชาร์ตกลางเคาน์เตอร์พยาบาลห้องไอซียู หน้าตาหญิงสาวดูเคร่งเครียด เมื่อเห็นเพื่อนมา หล่อนรีบยื่นผลเลือดและโอพีดีการ์ดหรือประวัติคนไข้ตอนอยู่ที่แผนกตรวจผู้ป่วยนอกให้ดู
      
 ปันนามองกราดเดียวก็พอเข้าเค้า ที่เพื่อนสงสัยแต่แรก
      
 "ทำไมมาแอดมิทเมด?" หมอสูติอดสงสัยไม่ได้ เคสสูติ แต่มานอนแผนกอายุรกรรมแถมยังเป็นไอซียูอีกต่างหาก
     
  "คนไข้มาด้วยปวดท้อง ท้องเสีย หมอโอพีดีคิดว่าเป็นลำไส้อักเสบ เลยไปอยู่เมด"
      
 ปันนาพลิกประวัติจากโอพีดีการ์ดที่เพื่อนส่งให้แล้วก็นิ่วหน้า "ความดันต่ำตั้งแต่ที่โอพีดีแล้วนี่"
       
"ใช่ ทีแรกเขาคิดว่าความดันต่ำเพราะคนไข้ถ่ายหลายครั้ง เลยให้โหลดน้ำเกลือ แต่ความดันไม่ขึ้น เลยย้ายขึ้นมาไอซียู พอดีคนไข้บ่นปวดท้องน้อยข้างขวา หมอเวรไอซียู เลยตามเรามาดู กลัวแอบเพนดิกรับเจอร์"


หมอแพรวาเล่าลำดับเหตุการณ์ให้ฟังด้วยความรวดเร็ว "แต่เราว่าไม่ใช่  ไส้ติ่งแตกที่ไหน ซีดขนาดนี้"
       
หากครั้นปันนาจะเข้าไปในห้องคนไข้ แพรวาก็ดึงมือเพื่อนไว้ กระซิบเตือนว่า
              
 "แม่เด็กอยู่ข้างใน คนไข้ไม่อยากให้แม่รู้ ถ้าท้องนอกมดลูกจริง ให้บอกเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับท้อง"
             
  ปันนาทำปากจิ๊กจั๊ก แบบนี้อีกละ
              
 ถ้าการโกหกต้องตกนรกจริงๆ คงหาหมอขึ้นสวรรค์ได้ยาก
              
 เมื่อเห็นคนไข้ ปันนาก็พอเข้าใจ 
               
ยังเด็กอยู่แท้ๆ สงสัยเพิ่งพ้นคำนำหน้าว่าเด็กหญิงไม่กี่วันนี่เอง แต่แม่เด็กนี่สิ ทำหน้าตึงทันทีที่หญิงสาวบอกให้ออกไปรอนอกห้องก่อน     

                                                                                                                                                         
  “หมอจะถามอะไร ก็ถามไปสิ ทำไมต้องให้ฉันออกไป  ลูกสาวฉันยังเด็ก เราสองคนแม่ลูกไม่เคยมีความลับต่อกัน อีกอย่างเด็กกำลังช้อก ฉันก็อยากอยู่ดูแลตลอดเวลา”      

                                                                                           
แต่เมื่อปันนาซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับรอบเดือนของเด็ก หญิงสาวก็ถูกต่อว่า       
                                                  

"หมอคะ ลูกสาวฉันเป็นเด็กดี อยู่ในโอวาท ไม่เคยทำตัวเหลวไหล ทำไมหมอซักยังกับลูกสาวฉันเป็นเด็กใจแตก เสียความรู้สึกจริงๆ" 
               
ปันนาคันปากยิบๆ อยากจะพูดอะไร แต่ก็ตองยั้งปากไว้


  หมอโรงพยาบาลเอกชนคงไม่ต่างจากโรโบคอปสักเท่าไหร่  คิดอะไรได้แต่ต้องอยู่ในใจเท่านั้น

พูดออกมาไม่ได้

จะกลายเป็นเรื่องยาว ต้องระมัดระวังตัวให้มาก

หมอไม่ใช่เทวดา โอกาสพลาดอาจมีได้สักวัน หากสัมพันธ์ระหว่างหมอและญาติผู้ป่วยไม่ดี เรื่องราวจะลุกลามบานปลายใหญ่โต      
    
ฉะนั้นเมื่อแม่เด็กมีความเชื่อมั่นในตัวลูกสาวสูงส่งนัก ปันนาก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรมาก ตรงเข้าประเด็นสำคัญเลย
               
"คิดว่าลูกสาวคุณกำลังตกเลือดในท้อง ถึงได้ซีดมาก ความดันไม่ขึ้น"
              
 "ตกลงลูกฉันเป็นอะไรกันแน่ เข้ามาทีแรก หมอก็บอกเป็นลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ นอนให้น้ำเกลือไม่ถึงสองชั่วโมงก็บอกว่าช็อก ให้ย้ายขึ้นไอซียู สงสัยไส้ติ่งแตก แล้วนี่กลายเป็นตกเลือดในท้องอีกแล้ว แถมหมอ _ยังมาซักประวัติเหมือนลูกฉันกำลังท้องยังงั้นแหละ เด็กที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง”

แม่เด็กย้ำอย่างมั่นใจเต็มที่ “มาโดนถามเรื่องแบบนี้ จะรู้สึกอับอายแค่ไหน  หมอมีจรรยาแพทย์หรือเปล่า?” 
               
ปันนาโดนเข้าไปเต็มๆ นึกๆก็โมโห นายเฉินนั่นจริงๆ นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะมานั่งงีบรอนายล่ะก็ ป่านนี้ ฉันก็กำลังหลับสบายอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ใช่มาถูกด่าฟรีๆ     

                                                                                                                           
"เดี๋ยวหมอจะตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูว่ามีเลือดในท้องจริงหรือเปล่า แต่ยังไงก็ตามลูกสาวคุณคงต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อหาจุดที่เลือดออก ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม"                                                                                 
               
"จะทำยังไงต่อ ก็รีบๆทำเข้าเถอะ ไม่งั้นฉันจะขอย้ายไปโรงพยาบาลบำรุงรักษ์แทน"
              
 ปันนาไม่โต้ตอบ รีบเผ่นออกจากห้องคนไข้ก่อนจะโดนลูกหลงมากไปกว่านี้
               
"น่าจะเอกโตปิกรับเจอร์”ปันนาบอกเพื่อนเมื่อพ้นออกจากห้องไอซียู “แล้วแพรส่งตรวจ เฮชซีจีหรือเปล่า"
              
 "ส่งไปด้วย แต่กว่าผลจะได้สองชั่วโมง"
               
"ไม่เป็นไร ไม่รออยู่แล้ว ยังไงก็ต้องผ่าอยูดี แพรเข้าด้วยแล้วกันนะ ไหนๆก็มาแล้วนี่"
              
 ปันนายกข้อมือขึ้นดูเวลา แล้วก็สะดุ้ง
              
 ป่านนี้นายเฉิ่มนั่น สงสัยจะกลับไปแล้ว                                                                                                                             

ระหว่างรอเจ้าหน้าที่เข็นอัลตราซาวด์ขึ้นมาทำที่ไอซียู ยังพอมีเวลา ปันนารีบรีบโทรศัพท์ขึ้นไปบนวอร์ดพิเศษถามว่า
               
"ญาติทอฝันออกมาหรือยัง"
               
"ลงลิฟต์ไปแล้วค่ะหมอ เพิ่งลงไปนี่เอง กำลังจะโทรหาหมอพอ..."
               
หญิงสาวหันไปที่ลิฟต์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตรงที่หล่อนยืนอยู่ เป็นลิฟต์สองตัวที่ตรงลงมาจากชั้นของทอฝัน เพ่งมองไฟสีเขียว แสดงหมายเลขชั้นของลิฟต์
              
 อยู่ชั้นหนึ่ง
              
 แสดงว่าเขาคงลงมาแล้ว เร็วเท่าความคิด

ปันนากดปิดโทรศัพท์ รีบเดินแกมวิ่งตรงไปกดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ประตูลิฟต์ยังเปิดไม่เต็มที่ หล่อนก็ผลุบออกมา รีบวิ่งตรงไปยังประตูด้านที่ติดกับโรงจอดรถหลังโรงพยาบาล
              
 เขามีบอดี้การ์ดมากมาย คงจะยืนรอให้รถมารับที่ประตูใหญ่นี้แหละ ไม่เสียเวลาขึ้นไปขับรถเองหรอก
              
 นั่นไง! กลุ่มบุรุษในชุดแสูทสีเข้มที่ยืนอออยู่หน้าประตู คนหนึ่ง ปันนาจำได้ดี คนที่ยืนพูดกับหล่อนที่หน้าห้องทอฝันนั่นเอง
              
 แล้วคนไหนนะที่เป็นสามีของทอฝัน ?                                                                                                                                

 หญิงสาวเร่งฝีเท้าตาม พลางกวาดตามองด้านหลังของทุกคนผ่านบานกระจกใสปิดเปิดอัตโนมัติ
               
คนกลางที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเห็นไม่เต็มแผ่นหลังเพราะมีชายหนุ่มร่างใหญ่ยืนบังอยู่เกือบครึ่งตัว

น่าจะใช่ เพราะยืนขนาบด้วยชายหนุ่มร่างกำยำข้างละคน คนเป็นเจ้านายคงไม่ไปยืนขนาบลูกน้องกระมัง
              
 จังหวะที่ปันนากำลังจะถึงประตูอยู่แล้ว รถลีมูซีนคันยาวใหญ่ก็แล่นเข้ามาจอดเทียบ ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบปราดไปเปิดประตูรถรอท่า ผู้ที่ปันนาคิดว่าน่าจะใช่คนที่หล่อนต้องการพบก็ก้าวเข้าไปนั่งในรถ
              
 ท่าเดินที่แม้จะเป็นเพียงแค่ระยะก้าวสั้นๆ ไม่กี่ก้าว กับแผ่นหลังสูงใหญ่ ไหล่กว้างแข็งแรงนั้นก็ช่างคุ้นตาเหลือเกิน ละม้าย ไม่สิ เหมือนเลยทีเดียว เหมือนคนที่หล่อนเฝ้ารอคอย รอคอยมาตลอด 10 ปี
               
ชั่ววินาทีนั้น ปันนารู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ลมหยุดพัด การเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดชะงัก แม้แต่หัวใจก็เหมือนจะหยุดเต้น ร่างทั้งร่างเหมือนถูกจับแช่แข็งไว้ ณ  ที่ตรงนั้น
              
 คนที่เจอเรื่องไม่คาดฝัน จิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนร่างกายเหมือนจะแตกดับเป็นเช่นนี้เอง
              
 พี่เตย!
             
  บานประตูกระจกเลื่อนเปิดออก เมื่อปันนาวิ่งผ่านออกมา หากประตูรถลีมูซีนสีดำขัดเงามันปลาบปิดฉับ
              
 ฟิลม์กรองแสงสีดำไม่เอื้ออำนวยให้เห็นคนข้างในได้
              
 ปันนาทันเห็นแค่ด้านข้างรถที่แล่นผ่านหน้าไป ใกล้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
               
"พี่เตย พี่เตย อย่าเพิ่งไป"

หล่อนได้ยินเสียงตัวเองร้องตะโกนเสียงดัง ขณะพยายามลากเท้าที่เหมือนมีลูกตุ้มหนักถ่วงไว้ที่ข้อเท้า ตามไปอย่างไม่ลดละ “กล้วยอยู่นี่”
              
 แต่ถึงจะตะโกนก้อง สุดหลอดเสียง กลับไม่มีใครได้ยิน
              
 เพียงแวบเดียว ไฟสีแดงท้ายรถก็ตีวงโค้งหายลับไปกับสายตา
               
หรือว่าชีวิตของปันนากับพี่เตย จะวนเวียนซ้ำซ้อนไม่ต่างจากเหตุการณ์ในคืนนี้ กระนั้นหรือ
               
คนหนึ่งเปิดประตูเข้าหา อีกคนหนึ่งกลับปิดประตูหนี
              
 แล้วเมื่อไหร่ที่จะต่างเปิดประตูรับกันและกันอีกครั้ง
              
 ฤาว่าวันนั้นจะไม่มีวันมาถึง!

 
 
 


[ ค้นหาเว็บบอร์ดทุกโรงเรียน แวะไปล่างสุดโฮมเพจ Dek-D ]

แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 55 11:58:28

แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 21:49:16

จากคุณ : mamahuhu
เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 21:45:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com