Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 2 “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่  1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน”

ย้อนกลับไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ตอนที่หน่องมีอายุครรภ์ 24 สัปดาห์  ผมพึ่งจะพาหน่องไปตรวจครรภ์ตามที่คุณหมอได้นัดไว้ตามปกติ แต่ไม่ใช่ที่ศิริราชนะ เราฝากท้องไว้ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยา

“ท้องแข็งไปหน่อยนะ”   คุณหมอบอกขณะที่จับท้องหน่อง

“ปกติท้องแข็งถี่ไหม” คุณหมอถาม

“ไม่รู้ค่ะ ท้องแข็งเป็นยังไง ดูไม่เป็น” หน่องถามเพราะความไม่รู้จริงๆ เพราะนี่คือท้องแรกของหน่อง

“มันก็จะแข็งๆตึงๆ” คุณหมอพยายามอธิบาย

“ทุกวันมันก็ตึงๆแบบนี้อยู่แล้ว” หน่องตอบ

“นี่ละท้องแข็ง” คุณหมอยืนยัน

“งั้นวันนี้ หมอขออัลตร้าซาวด์ช่องคลอดหน่อยนะ”  

คุณหมอได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องอาการท้องแข็งของภรรยาในวันนั้น  เลยขอตรวจอาการของหน่องค่อนข้างละเอียด และพบว่า มดลูกของหน่องเคลื่อนต่ำเร็วกว่าอายุครรภ์ปกติ และความหนาของปากมดลูกเหลืออยู่เพียง 1.5 เซนติเมตร

“ปกติมันควรจะเป็นเท่าไหร่ครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ประมาณ 3 เซนติเมตร”   คุณหมอบอก

“ท้องแข็งบ่อยๆ อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้นะ  ต้องระวัง”   คุณหมอเตือน

“ควรพักผ่อนเยอะๆ อย่าเครียด”   คุณหมอแนะนำ

ในวันนั้นผมยังไม่รู้สึกถึงอันตรายของเรื่องนี้เท่าไร แต่พอในวันนี้เวลานี้หัวหน้าพยาบาลเดินออกมาจากห้องคลอดพิเศษและบอกผมว่าภรรยาผม “ปากมดลูกบางมาก เหลือประมาณครึ่งเซนติเมตร”  นั่นก็แสดงว่าผ่านไปไม่ถึงสองอาทิตย์หายไปอีกหนึ่งเซนติเมตร มันไม่มีความหมายอื่นแล้วละ นั่นหมายความว่า ถ้ายังไม่สามารถหยุดอาการท้องแข็งได้ ภรรยาผมจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการคลอดแล้วนั่นเอง และมันเหลือแค่ครึ่งเซนติเมตร ปากมดลูกก็จะเปิดออกทันที

เวลา 21.50 น.

ระหว่างที่ผมรออยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ ครอบครัวของหน่องก็มาถึงที่โรงพยาบาล ทุกคนถามถึงอาการของหน่องด้วยความตกอกตกใจกัน  ผมก็ค่อยๆลำดับเหตุการณ์ถึงอาการของหน่อง และสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือต้องรอดูอาการไปก่อน และเราก็เข้าไปเยี่ยมไม่ได้เลย  เพราะมันเป็นห้องคลอด ทุกๆ คนทำได้แค่เพียงเฝ้ารอ ทำได้แค่นั้นจริงๆ

ทางบ้านของหน่องไม่ได้มาตัวเปล่า คุณแม่ของหน่อง ท่านยื่นแซนวิชที่ซื้อมาให้  

“ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่มั้ย”   ผมเองจึงนึกขึ้นได้ว่า “นี่เรายังไม่ได้กินอาหารเย็นเลยนี่นา”  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าขณะนี้ทำเราลืมหิวไปเลย

“ขอบคุณครับ”   ผมพูดไปพลางนึกในใจ ชื่นชมถึงความรอบคอบของคุณแม่หน่องจริงๆ

ในขณะเดียวกันผมเองก็อดจะคิดไม่ได้ว่า หน่องเองก็ไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน แถมปวดท้องมากขนาดนั้นอีกต่างหาก แล้วหน่องจะได้กินอะไรเมื่อไหร่ คนข้างในดูแลหน่องดีมั้ย มีคนเพียงพอที่จะดูแลผู้ป่วยไหม ยอมรับครับว่าความคิดผมมันกระเจิงมาก แต่ผมพยายามเก็บความรู้สึกตรงนั้นไว้แค่นั้นและสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือการรอครับ ผมจะพยายามมองเข้าไปข้างในด้วยความหวังว่าจะมีพยาบาลคนใดคนหนึ่งเดินออกมาหาผม และบอกข่าวดีกับผม

ในขณะที่เรารออยู่นั้น ไม่ใช่ครอบครัวเดียวที่รออยู่ที่หน้าห้องคลอดพิเศษ  ยังมีครอบครัวอื่นที่รออยู่เหมือนกัน แต่พวกเขามารอด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมือนกัน ........ พวกเขามารอข่าวดีที่จะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เกิดขึ้นมา พวกเขามารอคุณแม่ที่ครบกำหนดคลอดจริงๆ  ไม่เหมือนกับกรณีของผมที่ภรรยามีอายุครรภ์เพียงแค่ 26 สัปดาห์เท่านั้น ลูกน้อยของผมจะต้องยังไม่ออกมาลืมตาดูโลกตอนนี้ มันเร็วเกินไป มันเสี่ยงเกินไปสำหรับเด็กที่มีอายุครรภ์ประมาณ 6 เดือนเท่านั้น

“ข่าวดีของคนอื่นเด็กควรจะออกมาแต่สำหรับผมข่าวดีคือเด็กยังคงอยู่ในครรภ์คุณแม่ต่อไป”

และในระหว่างที่รอนั่นเอง ผมก็เห็นช่วงเวลาที่มีความสุขของคนอื่น เพราะครอบครัวนั้น ทางพยาบาลเดินออกมาบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  “คลอดเรียบร้อยแล้ว คุณแม่และลูกปลอดภัยค่ะ”

สักพักทางพยาบาลก็เข็นเด็กที่พึ่งคลอดออกมาให้ดูที่หน้ากระจก ครอบครัวนั้นแต่ละคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต่างพินิจพิเคราะห์หน้าตาของเจ้าตัวเล็กที่พึ่งออกมาดูโลก ว่าส่วนไหนเหมือนพ่อ ส่วนไหนเหมือนแม่  มันมีแต่รอยยิ้มและความปิติยินดี เป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆ   ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับทางครอบครัวฝั่งของผม อย่างไรก็ตามเรายังคงรอคอยอย่างมีความหวังครับ

เวลา 22.30 น.

“ญาติของทางคุณอาภาพรค่ะ” หัวหน้าพยาบาลในชุดอนามัยสีเขียวเดินออกมาอีกครั้ง

ทั้งผมและครอบครัวของหน่องเดินเข้าไปหาหัวหน้าพยาบาล

“ตอนที่มาคุณอาภาพรมีอาการท้องแข็งทุกๆ 6 นาที เป็นสภาวะที่อาจจะทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ ตอนนี้เราได้ให้ยาคลายมดลูกเกร็งตัวแล้ว อาการดีขึ้นแต่ตอนนี้คุณอาภาพรอยู่ในสภาวะค่อนข้างเครียดนิดหน่อยค่ะ”หัวหน้าพยาบาลสรุปอาการ

“ขอตัวแทนหนึ่งคนเข้าไปเยี่ยมคุณอาภาพรค่ะ ขอแค่คนเดียวนะคะ เพื่อไม่เป็นการรบกวนคุณแม่ท่านอื่น”หัวหน้าพยาบาลเสนอ

ยังไม่ทันที่ผมจะเสนอตัวเอง คุณแม่หน่องก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นทันที  “คุณแม่เข้าเองค่ะ”

แว่บนึงในจังหวะนั้น ผมแอบค้านในใจทันทีว่า “ต้องผมซิ  ไม่ใช่คุณแม่” เรามีความรู้สึกว่า เราในฐานะสามี เป็นพ่อของลูกนะ  น่าจะเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าไปหาและให้กำลังใจภรรยาของตัวเอง เราเฝ้าดูเธอทุกวัน  ใกล้ชิดกับเธอทุกวัน รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของเธอทุกวัน เราต้องการที่จะเข้าไปดูว่า หน่องมีอาการขนาดไหนแล้ว มันเป็นสิ่งที่ผมต้องการทำมากจริงๆ

แต่ในอีกมุมนึง คนที่จะเข้าใจความรู้สึกของการเป็นแม่คน คนที่ผ่านการคลอดลูกมาถึงสี่คน  คนที่ดูแลลูกสาวคนนี้มาตลอด 30กว่า ปี คนที่รู้วิธีที่จะคุยกับลูก ทำให้หน่องผ่อนคลายได้ ก็ต้องเป็นคุณแม่ของหน่องเองเท่านั้นจริงๆ  ก็ต้องยอมรับว่า ผมเองไม่ใช่คนที่สามารถพูดปลอบใครให้รู้สึกดีได้เก่งมากมายนัก โดยเฉพาะการที่เรื่องราวมันเกี่ยวข้องกับอารมณ์อ่อนไหวของผู้หญิงด้วยแล้ว ผมนี่ไปไม่เป็นเลย

ดังนั้นผมก็ต้องให้คุณแม่หน่องเข้าไปพบลูกสาว โดยที่ผมได้แต่มองตามคุณแม่หน่องเดินเข้าไปในห้องคลอดพิเศษ ถอดรองเท้าของตัวเอง เปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ และสวมชุดอนามัยสีเขียว เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจจะนำมาจากภายนอก  คุณแม่เดินเข้าไปในห้องทางซ้ายมือ ห้องเดียวกับที่ หน่องถูกเข็นเข้าไปตั้งแต่แรก ส่วนผมก็ยืนรออยู่ข้างนอก หน้าประตูของห้องคลอดพิเศษเช่นเคย ที่เดิมที่ผมรอมาแล้วสองชั่วโมง

เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที คุณแม่หน่องก็เดินออกมาจากห้องที่หน่องพัก สีหน้าเรียบๆ เดินตรงมาที่ประตูของห้องคลอดพิเศษ เปิดประตูกวักมือเรียกผมเข้าไป

“ตี้ เข้ามาเลย มาเปลี่ยนกับแม่” คุณแม่พูดอย่างเร่งรีบ ขณะที่ผมงงว่าคุณแม่หมายความว่ายังไง

“เข้าได้คนเดียวไง เข้ามาเลย” คุณแม่พูดอย่างรวบรัด

ได้ยินแบบนั้น ผมก็ไม่รอช้า ไม่สนตรรกะหรือเหตุผลใดๆแล้ว ผมรีบเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดอนามัยสีเขียว พร้อมกับรองเท้าที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้อยู่แล้ว และสลับกับคุณแม่หน่องโดยทันที และไม่ต้องมีคนพาไป ผมรู้อยู่แล้วว่าหน่องอยู่ห้องไหน ผมเดินตรงไปที่ห้องนั้นเลย

เปิดห้องเข้าไปสิ่งที่ผมเห็น หน่องนอนอยู่บนเตียง หน้าตายังดูซีดอยู่ มีถุงเหมือนให้น้ำเกลือหนึ่งถุง จริงๆ แล้วเป็นยาคลายมดลูกเกร็งตัว และมีเครื่องสำหรับตรวจวัดระดับการเกร็งของมดลูกที่ตำแหน่งต่างๆรอบๆท้องหน่อง  พอหน่องเห็นผม หน่องก็เริ่มร้องไห้ทันที ดูจากสภาพของหน่อง คงร้องไห้ไปหลายรอบแล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรเลยตรงเข้าไปกอดหน่องทันที

“ไม่เป็นไรแล้ว พี่อยู่ตรงนี้ พี่ไม่ได้ไปไหนเลยนะ”   ผมพูดไปแล้วก็มองหน้าหน่องด้วยรอยยิ้มเท่าที่ผมจะยิ้มได้

“พี่ตี้ หน่องกลัวจะเสียลูกไป หน่องไม่อยากเสียลูกไป”   หน่องเริ่มฟูมฟายอีกครั้ง

“หน่องและลูกปลอดภัยแล้ว เห็นไหม”   ผมพูดไปแล้วกุมมือหน่องไว้ พร้อมกับเอามือแตะหน้าท้องหน่อง

“ทุกอย่างโอเคแล้ว ปลอดภัยแล้ว ลูกเรามันเป็นเด็กไม่ยอมแพ้ มันไม่ยอมออกมาง่ายๆหรอก” ผมมองหน้าหน่องและยิ้มให้กำลังใจหน่อง นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้ตอนนี้ คือการไม่ทำให้หน่องว้าวุ่นใจมากเกินไป ให้หน่องอยู่กับปัจจุบันอย่างเข้มแข็ง แม้ว่าลึกๆผมเองก็กลัวเหมือนกัน ไม่ได้ต่างจากหน่องมากนักหรอกนะ

หน่องดูสงบขึ้น พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เข้ามาในห้องคลอดพิเศษว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“หมอโบว์ หมอประจำห้องคลอดพิเศษ มาขอตรวจช่องคลอด” หน่องเริ่มเล่า

“หมอบอกว่า แค่จะตรวจว่าปากมดลูกเปิดหรือยัง แล้วก็อัลตร้าซาวด์ดูขนาดเด็ก” หน่องเล่าไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง

“ลูกน้ำหนักแค่ 9 ขีดเอง หมอบอกว่ามันค่อนข้างเสี่ยงมากถ้าลูกต้องคลอดก่อนกำหนด” ผมฟังไปก็อึ้งไป เมื่อนึกถึงน้ำหนักอันน้อยนิดที่หมอบอก

“หมออัลตร้าซาวด์แล้วบอกด้วยนะว่า เป็นลูกชายใช่ไหม หน่องก็บอกว่าใช่ พึ่งตรวจไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเอง” หน่องยิ้มทั้งคราบน้ำตา

“หมอบอกอีกว่า ไม่เป็นไร อย่าพึ่งกังวล แต่หมอต้องฉีดยากระตุ้นปอดเด็กให้เป็นยากระตุ้นการทำงานของปอดเป็นการป้องกันเผื่อว่าปอดเด็กจะทำงานไม่สมบูรณ์ เพื่อป้องกันกรณีที่เด็กจะคลอดก่อนกำหนด” หน่องอธิบายให้ฟังโดยละเอียด โดยมีผมนั่งกุมมือหน่องอยู่ตลอดเวลา

หน่องยังบอกอีกว่า “ยากระตุ้นปอดนี่ เจ็บมากๆเลย  หมอบอกว่าต้องฉีดทุก 6 ชั่วโมง รวม 4 เข็ม”  ผมฟังแล้วสงสารภรรยาจับใจ

“แล้วหมอก็บอกว่าหน่องต้องนอนโรงพยาบาลนะ พี่ตี้รู้มั้ย หมอพูดแค่นี้  หน่องก็ร้องไห้แล้ว หน่องอยากกลับบ้าน หน่องไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาล”  หน่องพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า น้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง

“พักที่นี่ละดีแล้ว เอาให้หน่องหายก่อน พอท้องไม่แข็ง ก็ได้กลับบ้านแล้ว”   ผมพูดให้กำลังใจ ลูบมือเธอเบาๆ

“ถ้ากลับบ้านแล้วหน่องยังไม่หายดี แล้วเป็นอะไรขึ้นมา จะยิ่งแย่กว่านี้”   ผมพูดเตือนสติหน่อง

“อึม ......” หน่องพูดเบาๆ คือเข้าใจในสถานการณ์ แต่ก็อยากกลับบ้านอยู่ดี

“แล้วพยาบาลก็เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกลายเป็นชุดโรงพยาบาลแบบนี้เลย”   หน่องเล่าต่อแบบเศร้าๆ

พอหน่องพูดจบ หัวหน้าพยาบาลก็เดินเข้ามาพอดี เพื่ออธิบายถึงอาการของหน่อง และคุยปลอบใจหน่อง ไม่ให้หน่องเครียด ทำจิตใจให้สบาย

หัวหน้าพยาบาลบอกว่า “ตอนนี้คุณแม่อาการดีขึ้นแล้ว ไม่ได้แข็งถี่ๆอย่างตอนแรก แต่คุณแม่ยังคงห้ามลุกออกจากเตียงเองโดยเด็ดขาด ควรจะอยู่ในท่าที่สบายๆ อย่าฝืน ถ้าต้องการอะไรกดออดเรียกพยาบาลได้ทุกเมื่อ พยาบาลทุกคนพร้อมดูแล แต่คุณแม่เองก็ต้องไม่คิดอะไรที่ทำให้ตัวเองเครียดด้วยนะคะ”

“เด็กอายุ 26 สัปดาห์และมีน้ำหนักแค่ 9 ขีด น้องเค้าควรอยู่ในท้องของคุณแม่ให้นานที่สุด น้องเค้ายังต้องสร้างอวัยวะให้สมบูรณ์กว่านี้”   หัวหน้าพยาบาลอธิบาย

“ยิ่งไม่ทำให้ท้องแข็งทุกๆหกนาทีได้มากเท่าไร ก็จะดีต่อคุณแม่และลูกเท่านั้น” หัวหน้าพยาบาลสรุป

หลังจากนั้นหัวหน้าพยาบาลก็ขอให้ผมกลับออกไปก่อน เพื่อให้หน่องได้พักผ่อนเยอะๆ

“พี่ก็ไปพักผ่อนได้แล้วนะ หน่องโอเคแล้ว” หน่องบอก ยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏบนใบหน้า

“หน่องก็พักผ่อนนะ อย่าทำให้ตัวเองเครียด” ผมมองหน้าหน่อง ดูก็รู้ว่าหน่องไม่อยากให้ผมไปหรอก แต่เราทำได้แค่ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอและระเบียบของทางโรงพยาบาล

หัวหน้าพยาบาลเดินมาส่งผมที่หน้าประตูห้องคลอดพิเศษ ผมก็ถือโอกาสบอกซะเลยว่า หน่องเป็นคนแนวไหน

“ภรรยาผมไม่สามารถอยู่ในห้องคนเดียวนะครับ ปกติเธอชอบที่ได้คุยกับคนโน้นคนนี้ ยิ่งให้เธออยู่คนเดียวมันจะยิ่งทำให้เธอเครียด”   ผมพยายามอธิบายให้หัวหน้าพยาบาลฟัง

“ค่ะ ทางเราดูแลเต็มที่ค่ะ มีคนอยู่ในห้องคลอดพิเศษตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะบอกน้องๆพยาบาลเอาไว้ ให้เข้าไปคุยกับคุณอาภาพร จะได้รู้สึกผ่อนคลาย ท้องจะได้ไม่แข็งไม่ต้องห่วงนะคะ”   หัวหน้าพยาบาลพยายามบอกให้ผมวางใจ

“ขอบคุณครับ”   ผมขอบคุณหัวหน้าพยาบาล

“ถ้าจะให้ดี แนะนำว่าควรหาอาหารมาให้คุณอาภาพรกินด้วยนะ เพราะคุณแม่ยังต้องการสารอาหารดีๆ เพื่อไปเสริมลูก”   หัวหน้าพยาบาลแนะนำ

“คืออาหารโรงพยาบาลก็คืออาหารโรงพยาบาลค่ะ บางมื้อก็ไม่เหมาะกับคุณแม่ที่ต้องการอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็กในท้อง หาที่ถูกปากคุณอาภาพรมาด้วยยิ่งดี จะได้กินได้มากๆ ก็ช่วยให้คุณอาภาพรผ่อนคลายได้ด้วยค่ะ”   หัวหน้าพยาบาลอธิบายอย่างตรงไปตรงมา

“ขอบคุณครับ”   ผมขอบคุณหัวหน้าพยาบาลอีกหน

พอออกไปก็ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่หน่องและได้บอกเรื่องที่หัวหน้าพยาบาลแนะนำเรื่องของการหาของกินอร่อยๆมีประโยชน์มาให้หน่องกิน คุณแม่หน่องมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษอยู่แล้วในเรื่องของอาหารอร่อยๆ เจ้าตัวก็เลยรับหน้าที่ไป

ระหว่างที่คุยกันอยู่ ทางพยาบาลเข้ามาบอกว่า ผมจำเป็นต้องเดินเรื่องของการฝากครรภ์ไว้ที่ศิริราชเลย ดังนั้นผมควรจะเอาสมุดฝากครรภ์จากโรงพยาบาลที่ได้ฝากครรภ์ไว้ที่แรกมาให้ทางห้องคลอดพิเศษเอาไว้ เพื่อจะได้ให้ทางศิริราชทราบถึงประวัติการตรวจครรภ์ของหน่องโดยละเอียด ขณะเดียวกันผมก็ควรจะเดินเรื่องที่เวชระเบียนให้เรียบร้อยในวันนี้ด้วยเลย เพื่อไม่ให้มีปัญหาในวันต่อๆไป  เราจึงแยกย้าย โดยคุณพ่อ คุณแม่ ของหน่องและบอล เต๋อ หน่อย น้องทั้งสามของหน่องได้ให้กำลังใจผมและลากลับบ้านก่อน ส่วนผมต้องกลับไปเอาเอกสารที่บ้าน เพื่อกลับมาที่ศิริราชอีกครั้ง

เวลา 23.10 น.

กลับไปถึงบ้านคุณแม่ผมรออยู่แล้ว ท่านถามด้วยความร้อนใจเกี่ยวกับอาการของหน่องพร้อมกับเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าให้ผมพร้อมสรรพ เพราะเข้าใจว่าผมต้องไปนอนค้างคืนที่ศิริราชเป็นเพื่อนหน่อง

“หน่องต้องพักอยู่ที่ห้องคลอดเลย ไม่ใช่ห้องปกติ” ผมบอกคุณแม่ ถึงเหตุผลที่ไม่สามารถไปนอนเฝ้าหน่องได้

“ดีแล้ว อยู่ใกล้หมอ จะได้พักผ่อนเต็มที่ด้วย แล้วกินอะไรมาหรือยัง”

“กินแล้ว”   ผมบอกเนือยๆ

“เราเองก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะ อย่าเครียดจนนอนไม่หลับ เดี๋ยวจะแย่ไปกันใหญ่”   คุณแม่บอกผมด้วยความเป็นห่วง

“รู้แล้ว จะพยายาม”   ผมบอกคุณแม่ไป แม้ไม่มั่นใจนักว่าจะทำได้หรือเปล่า

ผมขอตัวขึ้นห้อง หยิบเอกสารที่คิดว่าจำเป็นทุกอย่างไป ทั้งต้นฉบับและสำเนา โดยปกติผมจัดเก็บเอกสารสำคัญพวกนี้ไว้เป็นระเบียบอยู่พอสมควร เลยไม่ใช่เรื่องยากอะไรในการเตรียมอย่างรวดเร็ว จากนั้นผมก็รีบบึ่งรถกลับมาที่ศิริราช

เวลา 23.30 น.

การลงทะเบียนไม่ได้เสียเวลาอะไรมากนัก เพราะหน่องเองก็มีประวัติคนไข้ที่ศิริราชอยู่แล้ว แต่ต้องมาทำเรื่องการฝากครรภ์ให้เรียบร้อย ก็เป็นการประสานข้อมูลกันระหว่างทางเวชระเบียนกับทางห้องคลอดพิเศษ โดยมีตัวผมเองรับเรื่องในการเดินเอกสารให้ไปเลย เหตุเพราะมันดึกแล้วและผมก็เต็มใจทำให้เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อยไม่ติดขัด

หลังจากนั้นผมพึ่งมาเห็น Missed Call อยู่หลายครั้ง เป็นสายจากส้มและสีออนนั่นเอง คงจะโทรมาถามว่า อาการหน่องเป็นยังไง ผมก็เลยรีบโทรกลับไปบอกว่า หน่องโอเคแล้ว มีเครียดบ้าง แต่ตอนนี้ปลอดภัยดี แล้ว ต้องมาดูอาการอีกทีในวันพรุ่งนี้ แล้วผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆมาจากปลายสายว่า คุณแม่ของส้มและสีออนจะขอคุยด้วย ท่านเคยทำงานที่ศิริราชมาก่อน แต่ปัจจุบันเกษียณแล้ว

“ตี้ นี่แม่เองนะ”   คุณแม่ของส้มและสีออนพูด

“ครับ คุณแม่”   ผมตอบกลับด้วยความเคารพ

“แม่อยากให้ตี้ไปไหว้พระบิดาด้วยนะ แม่ไม่รู้นะว่าตี้คิดยังไง แต่ปกติเวลาที่บ้านแม่มีปัญหาอะไร หรือจะเดินทางไปไหน แม่และครอบครัวจะมากราบไหว้พระบิดามาตลอด คนศิริราชทุกคนจะนับถือพระบิดามาก แม่เชื่อว่าท่านช่วยคุ้มครองหน่องได้นะ”   น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความเมตตา

มันเป็นคำแนะนำที่มีค่ามาก เพราะในช่วงเวลานั้นผมก็ต้องการที่พึ่งทางใจเช่นกัน  เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ผมเดินตรงไปที่ ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก หรือที่ๆเรียกกันว่าพระบิดานั่นเอง บังเอิญว่าที่ลานนี้ตั้งอยู่ ติดกับอาคาร 100 ปีสมเด็จพระศรีฯ ที่หน่องกำลังพักผ่อนอยู่พอดี ผมคุกเข่าลง สงบใจ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระบิดาช่วยคุ้มครองหน่องและลูกที่มีอายุครรภ์เพียง 26 สัปดาห์ให้ปลอดภัย ขอให้ลูกได้อยู่ในท้องของคุณแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ผมเงยหน้าไปมองที่พระบิดาและมองไปที่ชั้นแปดที่หน่องพักอยู่  ผมเชื่ออยู่ลึกๆนะว่า ทุกอย่างๆมันจะต้องดีขึ้น ผมต้องไม่ท้อ ผมต้องยืนหยัดได้ ตอนที่หน่องกำลังแย่ผมต้องเป็นกำลังใจให้หน่อง พรุ่งนี้จะต้องดีขึ้นๆ คุณแม่และลูกจะต้องปลอดภัย ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ผมกลับมาถึงบ้านราวๆตีหนึ่ง นั่งลงตรงโต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องนอนอย่างอ่อนแรง  มองไปที่เตียง ไม่มีหน่องอยู่ตรงนั้น  ไม่มีเสียงชวนคุย เป็นความรู้สึกที่แปลกๆ ไม่เหมือนเดิม ................ถ้าหน่องอยู่หน่องจะคอยเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะแยะเต็มไปหมด บางทีเธอแค่อยากเล่า ไม่ได้ต้องการสาระอะไรมากมาย พอผมฟังแล้ว บางทีผมก็อยากจะเสนอความคิดเห็นหรือแนะวิธีแก้ปัญหาให้  แต่มันไม่ใช่สิ่งที่หน่องต้องการ

“หน่องแค่อยากเล่าหน่ะ ไม่ได้ต้องการขอคำแนะนำ”  เธอจะบอกพร้อมกับหัวเราะขำๆ  

หลายครั้งที่ผมก็งงๆ และไม่เข้าใจกับท่าทีและความคิดของผู้หญิงในหลายๆมุม....................ผมเหลือบมองไปที่เตียงนอนอีกครั้ง  อดไม่ได้ที่จะคิดถึงหน่อง  บอกตัวเองในใจ “วันนี้ผมอยากฟังหน่องเล่านะ”  

แต่ว่า...................วันนี้หน่องไม่อยู่ตรงนี้  มันมีแต่ความเงียบ........................เงียบจนน่าใจหาย

ผมค่อยๆเปิด Notebook  ขึ้นมา Login เข้า Facebook ที่ๆประจำของผมที่จะเข้าไปสู่โลกที่ผู้คนอยากแบ่งปันความรู้สึกออกไปได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ ผมแค่อยากแชร์บางสิ่งบางอย่างที่เจอในตอนนี้  เพราะผมเชื่อว่า เราแค่รู้สึกแย่ในวันนี้  แต่เราจะไม่ได้แย่ตลอดไป พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น ผมสร้างความหวังและกำลังใจให้กับตัวเอง และเมื่อผมตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ ทุกๆ อย่างจะต้องดีขึ้นแน่นอน

----------------------------------------------------------------------------------
When u have some tough time in yr life, how do u handle it?
Feel sad? Exhausted? Complain yrself? Do nothing?

For me, I will look for tomorrow because I believe that tomorrow is better than today.
That's why life keeps moving, and I and my family will be just fine.
Therefore, I will sleep well today and be ready for better tomorrow.

This is what I believe!
----------------------------------------------------------------------------------

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 3 “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 11:15:40

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 18:28:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com