บทที่ 11 ปันนาผ่าตัดคนไข้ติดเอดส์
|
|
ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ หรือ จำเลยรัก เสื้อกาวน์สีขาว
เพื่อนๆผู้มีพระคุณทุกท่าน ฉากนี้จำเป็นต้องมีนะคะ ถึงแม้ว่าจะทำให้พระเอกนางเอกพบกันช้าลง ก็เพราะว่า ฉากนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้นางสาวปันนากลายเป็น นางปันนาโดยไม่ทันตั้งตัว ถ้าใครมาบอกว่าอีกไม่กี่เดือน หมอกล้วยจะได้สละโสด ต้องโดนหมอกล้วยแว้ดๆใส่ ไล่ไปเช็คประสาท
และต้องการแสดงให้เข้าใจเรื่องโรคเอดส์มากขึ้นค่ะ คนที่ติดเชื้อไปแล้ว ก็อย่าเสียกำลังใจ อย่าท้อแท้ เดี๋ยวนี้วิวัฒนาการแพทย์ดีขึ้นมากกกก ไม่ตายง่ายๆหรอกนะคะ มีชีวิตเหมือนคนปกติอย่างทุกคนแหละค่ะ แถมแม่ที่ตั้งครรภ์และเป้นเอดส์ ลูกก็ออกมามักปลอดเชื้อเอดส์ด้วย มีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป เป็นกำลังใจให้แม่สู้ชีวิตต่อไป
ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ หรือ ลิขิตรัก เสื้อกาวน์สีขาว
นิยายรักโรแมนติกในวงการแพทย์
เรื่องราวความรัก ความแค้นระหว่างอดีตนักศึกษาแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ที่มีเหตุจำเป็นถูกใส่ร้ายจนเรียนไม่จบ ต้องจากไปต่างบ้านต่างเมือง จากหญิงคนรักที่ทำให้เขาเจ็บปวดสุดแสนสาหัส สิ้นรัก สิ้นอนาคต ชีวิตจะมีความหมายอะไร
หากหัวใจเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ
แต่แล้วสวรรค์ก็ลิขิตให้เขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในนามมหาเศรษฐีชาวจีน เพื่อกลับมาแก้แค้นหญิงคนรัก แต่บัดนี้ เธอกลายเป็นแพทย์อาชีพที่เขาเคยใฝ่ฝัน แต่เรียนไม่จบ
เพราะความผิดพลาดทางการแพทย์ ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เขาจึงฉวยโอกาสใช้ช่วงจังหวะนี่ กลับมาผูกพัน แก้แค้นเธอ
เขาจะทำให้เธอรักเขาอีกครั้งในสถานะใหม่ และทิ้งเธอไปเช่นที่เธอเคยทิ้งเขาไปในอดีต
แต่แล้วกลายเป็นว่า เขานั่นแหละกลับมาหลงรักเธออีกรอบ ไม่ใช่สิ เขาไม่เคยหยุดรักเธอเลยต่างหาก และปมในอดีตที่ต้องการสะสางกลับค่อยเผยตัวมาทีละนิด
ขณะเดียวกันความเป็นหมอทั้งจิตวิญญาณของเธอกลับก่อความวุ่นวาย ทำให้เขาเดือดร้อน ต้องคอยตามช่วยเธอตลอด
แล้วนี่ เขาจะเอาเวลาที่ไหนมาแก้แค้นเธอกันล่ะ
หมอกล้วย ผลแอนตี้เฮชไอวี โพสิทีบ" เสียงรายงานทางโทรศัพท์มือถือจากพยาบาลไอซียู ทำให้ปันนาที่ทำสติสตังหลุดหายตั้งแต่เห็นหลังไวๆของนายเฉิ่ม จนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับเมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัว มาตื่นเต็มที่ก็ตอนที่ได้ยินชัดๆเต็มสองรูหูนี่แหละว่า ผลเลือดคนไข้เด็กสาวผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องของคุณแม่ในห้องไอซียูติดเชื้อเอดส์!
"อะไรนะ" ปันนาอุทานอย่างคาดไม่ถึง ตาโตอ้าปากค้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าไปได้ทั้งฝูง "ผลเลือดเด็กที่สงสัยท้องนอกมดลูกนะหรือ"
"ก็ใช่นะสิหมอ จะใครเสียอีก" วารุณีหรือฝนพยาบาลประจำไอซียูย้ำมาอีกครั้ง "หมอแพรรู้แล้ว บอกให้รีบรายงานหมอกล้วยด่วน" ประโยคหลังเท่ากับบอกกลายๆว่าภาระทุกอย่างถูกโยนแหมะลงมาบนบ่าสองข้างของปันนาเต็มๆ "คนไข้กับแม่ยังไม่รู้"
"ไม่รู้นี่ หมายความว่าไม่รู้ว่าเด็กติดเอดส์หรือไม่รู้ว่าเราเอาเลือดเขาไปตรวจเอดส์"
ถามไปแล้วก็กลั้นใจรอฟังคำตอบ
"ไม่รู้ทั้งสองอย่าง"
ตายห่านตายหงส์แล้วไหมล่ะ!
ไปตรวจเอดส์คนไข้โดยไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าตัวก่อน หรือในกรณีนี้ เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ต้องได้รับอนุญาตจากแม่ ถึงจะตรวจได้
แล้วภาพปันนาขึ้นไปยืนสาบานตนในห้องพิจารณาคดีในศาลก็ลอยละลิ่วเข้ามาในหัวทันที
หมอปันนาถูกญาติคนไข้ฟ้องฐานละเมิดสิทธิผู้ป่วย
หญิงสาวยกมือกุมขมับ ปวดหัวจี๊ดๆขึ้นมาทันใด
ทุกคนโยนภาระที่แสนหนักอึ้งมาให้ปันนาผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องตัวจริง
พี่พิมพ์นะพี่พิมพ์ ทำไมต้องมาลืมเวรตัวเองวันนี้
ผีซ้ำด้ำพลอย ปันนาก็ดันเกิดจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ในโรงพยาบาลช่วงเวลากำลังเหมาะเข้าให้อีก
แค่การตัดสินใจจะบอกแม่เด็กว่า อาการป่วยของเด็กที่แม่มั่นใจว่าอยู่ในโอวาท ไม่เคยเหลวไหลนั้นคือท้องนอกมดลูกก็ยากยิ่งแล้ว
แต่การจะเปิดเผยว่าเด็กติดเชื้อเอดส์ด้วยยิ่งยากกว่า แต่ที่หมอต้องเข้าๆไปเดือดร้อนด้วย ก็คือการไปสารภาพว่าเอาเลือดเขาไปตรวจเอดส์โดยไม่ทันได้รับการยินยอม
เทากับเพิ่มคดีฟ้องร้องให้โรงพยาบาลอีกหนึ่ง
หมอรักดีท่านผู้อำนวยการเพิ่งบ่นหยกๆ คดีที่เราต้องเจรจาไกล่เกลี่ยหนาปึก ส่วนคดีที่รอขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะญาติไม่ยอมเจรจาต้าอวยด้วยก็มีหลายเรื่อง
ให้ปันนาปีนขึ้นไปยืนโบกธงชาติบนยอดเขาเอเวอร์เรสต์แล้วกางแขนเหาะลงมา ทำท่าเท่ๆเหมือนนางฟ้ามีปีกอย่างในหนังยังง่ายกว่าเสียอีก
โอย ทำไมคืนนี้หมอปันนาต้องมาเผชิญกับปัญหาโลกแตกสองสามเรื่องพร้อมๆกันด้วย จะไม่บอกก็ไม่ได้ เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะพอจะช่วยเหลือตัวเองหรือป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่อไป เด็กต้องมีตัวช่วย
แค่คิดถึงตัวช่วยเด็ก ปันนาก็เห็นภาพนางผีเสื้อสมุทรลอยมาแต่ไกล
แม่ที่ไม่ยอมรับความจริง ใครจะกล้าบอก แล้วนิสัยอย่างนี้นะหรือจะยอมไกล่เกลี่ยง่ายๆ
"เอาไงดีกล้วย" แพรวาแตะแขนปันนา สีหน้าดูวิตกกังวลไม่ต่างกัน
"ยังไม่รู้เหมือนกัน" ปันนาเองก็จนปัญญา "ถ้าแม่เด็กเกิดหัวหมอฟ้องว่าเราเอาเลือดลูกเขาไปตรวจเอดส์โดยไม่ได้รับความยินยอมนี่ เราคงไม่รู้จะแก้ตัวยังไง"
"อ้าว เราทำก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในห้องผ่าตัดนี่" แพรวาอธิบายเหตุผล
ใช่ หากเลือดคนไข้มีเชื้อเอดส์ ทุกคนต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่ของใช้ทุกอย่างต้องเป็นชนิดดิสโพสิเบิ้ลคือใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เสื้อผ้า รองเท้าพิเศษพร้อมถุงสวม แว่นตาพิเศษกันเลือดกระเด็นเข้าตาต้องมี
"ก็จริง แต่อย่าลืมนะ ตามกฏยังถือว่าเอดส์เป็นโรคส่วนบุคคล เด็กที่ไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่มีสิทธิ์ต้องมีผู้ปกครองเซ็นยินยอม ถ้าเขาไม่ยอมให้ตรวจ เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปละเมิด"
"ลำบากเหมือนกันเนอะ หมออย่างเราจะปฏิเสธไม่ผ่าตัดคนไข้ที่ไม่ยอมให้เราตรวจเอดส์ก่อนก็ไม่ได้"
"ใช่ เราทำได้อย่างเดียวคือระมัดระวังตัวเองเต็มที่เวลาผ่าตัด" ท ี่หมอปันนาพูดคือ universal precaution หรือขยายความเป็นทางการก็คือ หมอมีหน้าที่ต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้โดนสิ่งคัดหลั่งจากตัวคนไข้ทุกกรณีไม่ว่าจะมาทางไหนก็ตาม
"แล้วจะทำยังไงดี บอกก็ไม่ได้ ไม่บอกก็ไม่ดี" แพรวาทำท่าหนักใจ ผ่าตัดมากี่รายๆยากแค่ไหนก็เชื่อว่าต้องผ่านไปได้ด้วยดี แต่กับปัญหาทางเทคนิคนี่ไม่มั่นใจเอาเสียเลย
"เอางี้สิ..." ปันนาดีดนิ้วเปาะ เหมือนเกิดความคิดสุดแสนจะบรรเจิดขึ้นมา "ทำไมเราไม่ทำเป็นว่าเรายังไม่ได้ตรวจเขาล่ะ?"
"หมายความว่ายังไง?" แพรวาถามอย่างตื่นเต้น เลยถูกปันนาเอานิ้วจิ้มหน้าผาก
"ง่ายๆ ไหนๆก็เอาเลือดเขาไปตรวจแล้ว ก็ลองหน้าด้านไปขออนุญาตแม่เด็กย้อนหลังดูสิ" พูดหน้าตาเฉย "อธิบายให้เขารู้ว่าเราไม่ได้สงสัยว่าเด็กจะมีเชื้อเอดส์ เราแค่ตรวจเพื่อเตรียมความพร้อมในการผ่าตัด ซึ่งเราก็ทำกับทุกคน ถ้าเขายอมให้ตรวจก็รีบเอาใบยินยอมให้เซ็นเลย"
"คิดเข้าไปได้ยังไง" แพรวาเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเพื่อนกลับคืนไปด้วย "เธอก็เห็นท่าทางแม่แล้วว่าเป็นยังไง ขนาดจะจับเด็กตรวจการตั้งครรภ์ ยังโดนด่าเป็นชุด ขืนไปขอตรวจเอดส์ เขาไม่กระโดดงับหัวเอาหรือ"
"ไม่ลองก็ไม่รู้"
"แล้วใครจะเป็นหน่วยกล้าตาย?"
ปันนาไม่ตอบแต่กำมือโผล่แต่นิ้วชี้พุ่งเข้าหาตัวเองแต่แล้วก็วกกลับชี้ไปที่แพรวาแทน
หมอศัลย์รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
"ไม่ๆๆๆ เราไม่ใช่นักแสดง หน้าตาต้องมีพิรุธแน่"
"แหมทำยังกับว่าหมอศัลย์โกหกไม่เป็นงั้นแหละ" สูติแพทย์ประชด "ผ่าไส่ติ่งไปแล้วไม่เจออักเสบ ก็ไม่เห็นหมอศัลย์ที่ไหนไปสารภาพกับคนไข้ตรงๆสักคนว่าผ่าผิด แถมบางคนเห็นเอามือไปบี้ให้มันแดงๆเสียอีก ผลชิ้นเนื้อจะได้ออกมาตรงกับที่วินิจฉัย"
"น้อยๆหน่อยยายกล้วย เราไม่เคยทำอย่างเธอว่าสักที อย่าเอาที่หมอบางคนทำมาเหมารวมคนอื่นด้วยสิ" แพรวารีบแก้ความเข้าใจ "ถ้าเราจะโกหกก็เพื่อรักษาน้ำใจ รักษาชีวิตคนไข้ ไม่ใช่โกหกเพื่อเอาตัวรอด" แล้วก็ย้อนกลับ "หมอสูติก็พูดปดบ่อยๆไป คนไข้ท้องนอกมดลูกก็บอกเลือดออกในท้อง ถ้าพ่อแม่ถามต่อก็บอกว่าท่อรังไข่แตก ภรรยาติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ก็บอกสามีว่าอุ้งเชิงกรานอักเสบ"
"อ้าว อย่างนี้ไม่เรียกโกหกนะยะ เค้าเรียกว่าพูดความจริงไม่หมดต่างหาก แล้วถ้าไปบอกตรงๆ สถาบันครอบครัวก็ล่มสลายหมดสิเจ้าคะ" ปันนาไม่ยอมแพ้ "ออกจากโรงบาลไปแล้ว แม่ก็ไปตบตีลูก เมียก็ถูกผัวฆ่าถ้ารู้ว่าไปติดเชื้อมาจากกิ๊ก"
"งั้นก็แสดงว่าเราต่างก็โกหกคนไข้เสมอๆกัน" แพรวายอมยุติ
"งั้นก็เป่ายิ้งฉุบเพื่อความยุติธรรม" ปันนารีบเสนอ
แล้ววิธีการตัดสินที่ใช้สมัยเด็กๆก็ถูกนำมารื้อฟื้นอีกครั้ง หลังจากแปลงมือเป็นรูปกระดาษบ้าง กรรไกรบ้าง ฆ้อนบ้าง
ในที่สุดแพรวาก็หน้าจ๋อยเมื่อถูกกรรไกรของปันนาตัดกระดาษในมือขาด
ก่อนจะไปทำหน้าที่ ยังหันมามองเพื่อนอีกราวกับกำลังจะถูกส่งตัวเข้าลานประหารยังไงยังงั้น
ผู้ชนะพยักหน้าพร้อมกับยกมือชูสองนิ้วเป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะส่งมาให้แทนกำลังใจ
ระหว่างรอแพรวากลับมา ปันนาก็เสียบฟิลม์อัลตราซาวด์เข้ากับกล่องไฟอ่านเอกซเรย์เพื่อทบทวนความผิดปกติให้ละเอียดอีกครั้งเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว
แพรวาหายไปนานก่อนจะกลับมานั่งทำหน้าตูม
"อะไรกันนักกันหนาโรงบาลนี้ เข้ามาไม่ถึงสามชั่วโมง มีหมอมาดู 5-6 คน กว่าจะสรุปได้ว่าลูกฉันเลือดออกในท้องต้องผ่าตัด ก็มาซักประวัติเอาเป็นเอาตายอย่างกับลูกฉันเป็นเด็กใจแตก" เสียงแพรวาถอดคำพูดทุกข้อความของคนเป็นแม่ให้ปันนาฟัง "แล้วนี่ยังมาขอตรวจเอดส์อีก ไม่ให้ตรวจ ฉันยืนยันว่าลูกสาวฉันไม่ใช่คนเหลวไหล ไม่เคยยุ่งกับใคร เวลาตัดผมทำเล็บ ฉันก็ทำให้ตลอด จะไปมีเชื้อเอดส์ได้ยังไง แค่หมอมาขออนุญาตตรวจหรือมาสงสัย ลูกฉันก็เสียหายแล้ว หมอที่นี่เรียนจรรยาแพทย์กันบ้างหรือเปล่า"
ถึงจะกำลังเครียดแต่ปันนาก็ยังอดหัวเราะขำไม่ได้
แพรวาไม่ใช่คนตลกห้าวๆอย่างปันนา จึงแปลกตาสักหน่อยที่หญิงสาวท่าทางเรียบร้อยจะสามารถจีบปากจีบคอเลียนเสียงมารดาเด็กได้แทบไม่ผิดเพี้ยน
"แล้วจะเอาไงต่อ" จบด้วยคำถามโลกแตก
"ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไง?" ตอบตามตรง พลางยกข้อมือขึ้นดูเวลา "ไปโออาร์กันเถอะ ป่านนี้เลือดคงเตรียมพร้อมแล้ว" ปันนาชวนพลางรวบรวมฟิลม์เอกซเรย์และอัลตราซาวด์ของคนไข้เก็บไว่ในซองฟิล์มถือติดตัวไปห้องผ่าตัดด้วย
"บอกหรือไม่บอกดี" แพรวายังคาใจ
"จะบอกหรือไม่บอก ตอนนี้ก็ต้องช่วยชีวิตเด็กไว้ก่อน บอกทุกคนให้รู้ว่าต้องระมัดระวังเต็มที่"
ปันนากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น "เด็กปลอดภัยกลับบ้านแล้ว ค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไง"
"ทำไมไม่จัดการในโรงบาลเลย?" แพรวาถามอย่างสงสัย ฉวยโอกาสยกตำแหน่งผู้นำยามยากมาให้ปันนาเรียบร้อย
"สงสารเด็ก ท่าทางแม่ไม่ใช่เล่น ขืนโกรธขึ้นมา ไปลงไม้ลงมืออีลุบตุ๊บตั๊บลูกจนแผลฉีก ต้องผ่าตัดใหม่อีกรอบคงไม่ปลอดภัย อย่างน้อยให้แผลหน้าท้องหายสนิทก่อนก็ยังดี"
คำตอบของปันนาเป็นการบอกกลายๆว่าเจ้าตัวยอมรับตำแหน่งแม่ทัพ แม้จะต้องถูกยันให้ออกศึกสงครามโดยไม่มีเสื้อเกราะก็ตาม
"อาจจะไม่ลงที่เด็กอย่างเดียวเนาะ" แพรวาคาดคะเนเชิงเตือนปันนาไปด้วย "พวกเราคงไม่พ้นอีกหลายตั๊บ เฮ้อ..." ถอนหายใจ "เราก็ติ๊กแลปตามรูทีนก่อนผ่าตัด แต่พยาบาลเห็นแม่กำลังยัวะ เลยไม่กล้าไปขอให้เซ็นชื่อยินยอม คิดว่าตรวจไปยังงั้นเอง เด็กคงไม่เป็นหรอก ที่ไหนได้!"
"ก็เป็นบทเรียนอะนะ เขาจะเป็นหรือไม่เป็น เรามีหน้าที่ไปขอลายเซ็นเขามาเก็บให้อุ่นใจ"
"เห็นแม่เด็กแล้วก็กลัวจริงๆ" แพรวาส่ายศีรษะ
"ถ้าเราเป็นแม่ เราจะไปจัดการกับไอ้สารเลวที่มันทำให้เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมท้องแล้วยังแพร่เชื้อเอดส์ให้ด้วย ฮึ่ม อย่าให้เจอเชียว แม่จะเจี๋ยนให้เป็ดกินเสียเลย" ปันนาพูดเข่นเขี้ยวเคียวฟัน
"ไม่รู้จะสงสารใครมากกว่ากัน แม่หรือเด็ก" แพรวาถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่
"สงสารตัวเองก่อนเหอะ" เพื่อนประชด
"พวกเราอย่างมากก็แค่โดนฟ้องละเมิดสิทธิ์ เสียเงินเสียทอง แต่แม่และเด็กสิจะต้องทรมานจิตใจจนตาย"
"ที่จริงตอนนี้โรคนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวเลยนะ คนไข้เอดส์เดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป บางคนดูประวัติสิเป็นมาตั้ง 20 ปีแล้วก็ยังเห็นสบายดี"
ปันนาพูดถึงโรคเอดส์ในสายตาหมอจริงๆ เหมือนเป็นความเจ็บป่วยทั่วๆไปที่ไม่ได้ถูกใส่สีตีไข่ให้น่ากลัวเช่นในอดีต
"3 ปีก่อนตอนเราเป็นแพทย์ประจำบ้าน เจอคนไข้รู้ตัวว่าติดเอดส์ตอนท้องสามเดือน เสียใจร้องห่มร้องไห้จะให้เอาเด็กออกให้ได้ ไม่อยากให้เด็กเกิดมามีปัญหาทางสังคม แถมจะฆ่าตัวตายด้วย แต่เราก็ปลอบใจบอกว่าเดี๋ยวนี้วิทยาการยารักษาเอดส์พัฒนาไปไกลแล้ว ถ้ารักษาแต่เนิ่นๆก็มีชีวิตไม่ต่างจากคนปกติเท่าไหร่หรอก"
"ผลสุดท้ายลูกเป็นยังไง?" แพรวาดักถามด้วยความอยากรู้
"ลูกออกมาก็ปลอดภัยดีไม่เห็นติดโรคจากแม่ แถมเป็นกำลังใจให้แม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจนเห็นลูกสาวโต แต่งงานมีครอบครัว มีหลานมาให้เชยชมอีกด้วยนะ"
แพรวาถอนใจโล่งอก "โชคดีนะ ถ้าแม่เด็กยืนยันจะเอาเด็กออก คงเสียใจแย่"
"แต่ไม่ใช่คนไข้ทุกคนนะที่จะเชื่อหมอ" ใช่รวมถึงเคสที่กำลังพูดถึงนี้ด้วย
"ถ้าจะทำลายหลักฐานการตรวจทิ้งเสียจะดีไหม?" แพรวาถามความเห็น เพราะการทำลายหลักฐานการตรวจทิ้งก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้หมอและแม่ไม่ต้องเผชิญกันตรงๆ
"ไม่ดีแน่" คนถูกถามส่ายหน้า "เป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวเกินไป ในเมื่อเรารู้แล้ว ก็ต้องพยายามให้เด็กได้รับการรักษาเร็วที่สุด เด็กจะได้มีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป และที่สำคัญจะได้ระมัดระวังตัวไม่ไปแพร่เชื้อต่อไป" ปันนาตอบ "ก็ได้แต่หวังว่าความหวังดีของเราจะทำให้แม่เห็นอกเห็นใจบ้าง"
ทั้งสองคุยกันจนเพลิน มาถึงห้องผ่าตัดโดยไม่รู้ตัว
เวลานี้ เรื่องนายเฉินจะเป็นคนเดียวกับพี่เตยหรือไม่ ปันนาแทบจะลืมไปเลย นอกจากความสะเทือนใจในเรื่องคนไข้และปัญหาที่จะตามมาภายหลังอีกมาก หล่อนยังต้องใช้พลังจิตตั้งสมาธิกับการผ่าตัดที่จะให้พลาดไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงอันตรายกับตัวปันนาและผู้ช่วยทุกคน
ทว่าถึงจะระมัดระวังแค่ไหน ก็พลาดจนได้ พยาบาลผู้ช่วยผ่าตัดมือใหม่หวาดกลัว ลุกลี้ลุกลน มือสั่นยิ่งกว่าคนเป็นปาร์กินสัน ตอนจะเริ่มลงมีด ก็ดันส่งปลายแหลมของมีดลงบนฝ่ามือปันนา ผลคือถุงมือถูกกรีดขาด
นี่ถ้าเป็นมีดที่ใช้ไปแล้วล่ะ ปันนามิต้องหวาดผวาไปอีกนานหรือ
หมอมือ 1 โกรธ ตาเขียวปั๊ดมองจ้องคนขี้กลัวเขม็งผ่านแว่นใสขนาดใหญ่ที่ใช้สวมกันเลือดคนไข้กระเด็นเข้าตา นี่ขนาดยังไม่ทันเห็นเลือด ยังขนาดนี้ ถ้าลงมือผ่า เลือดสาดกระจายแล้วจะขนาดไหน มิยิ่งลุกลี้ลุกลนเอาเข็มหรือมีดไล่ทิ่มเพื่อนร่วมงานจนหวาดผวากันไปตามๆกันหรือ
ในที่สุด ปันนาก็ตัดสินใจเปลี่ยนทั้งถุงมือและเปลี่ยนพยาบาลสครับ หรือพยาบาลส่งเครื่องมือผ่าตัด
"กลัวมากก็ออกไปสงบสติอารมณ์ก่อน เปลี่ยนเอาช่อทิพย์มาช่วยแทนแล้วกัน" หล่อนเรียกหาพยาบาลรุ่นพี่ที่เคยเข้าเคสด้วยกันบ่อยๆ
คืนนั้นกว่าปันนาและแพรวาจะผ่าตัดเคสท้องนอกมดลูกตัดท่อนำไข่ทิ้งและเย็บปิดเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเช้ามืด
ระหว่างปันนาออกมาเขียนสรุปผลการผ่าตัดในชารต์
เคราะห์หามยามซวยของหมอดวงอีแจ๋ว ปลายนิ้วดันไปปาดขอบกระดาษจนเลือดออกซิบๆ และยังแจ๊กพ็อตแตกซ้ำสอง ยายกระปุก พยาบาลสาวฉายา ซีเอ็นเอ็น (ฉาว)ประจำโรงพยาบาลก็เดินเข้ามาในห้องพักฟื้น เห็นเข้าพอดี
หมอปันนา อีกสองอาทิตย์ก็จะถึงวันแข่งกีฬาแล้วนะ หมอยังไม่ได้ไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์เลย
ปันนาถอนใจ มีแต่เรื่องอารมณ์เสีย แล้วนี่ยังมาโดนทวงไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ที่ถูกผอ.บังคับแกมขอร้องให้ไปร่วมเป็นกำลังใจนักกีฬาเป็นเพื่อนกับหมอแพรวา งานที่ปันนาไม่ถนัดเอามากๆ แต่เหตุผลลูกโซ่ของท่านทำให้หล่อนปฏิเสธไม่ได้
หมอแพรบอกว่าถ้าหมอกล้วยไม่ยอมเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วย หมอแพรก็ไม่ยอมเป็นเหมือนกัน แล้วคราวนี้พระเอกนล นันทกานต์ก็จะถอนตัวไม่มาแข่งกีฬาให้เรา คนได้ด่ากันตรึมเพราะเอาเขามาโฆษณาประชาสัมพันธ์จนตั๋วขายหมดเกลี้ยงแล้ว
เฮ้อ ก็แค่ตัวสำรอง คนมันเกิดมาไม่สวยไม่งาม ก็ได้แค่นี้แหละ
มาทวงอะไร คนกำลังอยากนอน ปันนาบ่นก่อนจะตัดบทว่า เอาเทปมาให้ดูแล้วกัน ว่างๆจะหัดเต้นเอง
เรื่องจบแค่นี้ แต่ปันนาไม่รู้ตัวเลยว่า เรื่องไม่เป็นเรื่องในวันนี้ มีผลต่อชีวิตของหล่อนอย่างมากมายในวันข้างหน้า จากปากยายกระปุกปากฆ้องคนนี้เพียงคนเดียว
[ ค้นหาเว็บบอร์ดทุกโรงเรียน แวะไปล่างสุดโฮมเพจ Dek-D ]
จากคุณ |
:
mamahuhu
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ต.ค. 55 12:13:14
|
|
|
|