Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๔-๕ ]]] ติดต่อทีมงาน

[[[ เพลิงสายลม ปฐมบท และบทที่ ๑ ]]]  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12838440/W12838440.html
[[[ เพลิงสายลม บทที่ ๒-๓ ]]]  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12841643/W12841643.html#2

--------------------------------------------------------------------------------
บทที่ ๔

‘อรุณสวัสดิ์.. ดินแดนไทยไหญ่ เธอทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นเหมือนกันนะ’

เป็นคำทักทายสำหรับตัวเองที่อราลีนึกในใจเอาเองเมื่อลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าที่บ้านของคำทิพย์ เธอตื่นขึ้นมาในรุ่งอรุณอันเรียบง่าย พร้อมความรู้สึกปลอดโปร่งสบาย ต่างจากเมื่อวันก่อนโน้นที่เดินทางจากเชียงรายผ่านชายแดนแม่สายอย่างทุลักทุเลเอาการ แต่การได้ตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่แปลกไปทำให้เธอรู้สึกสนใจใคร่รู้เสมอ

อราลีชอบทักทายตัวเองเวลาเดินทางไปที่ไหนต่อที่ไหน บางแห่งที่เธอเคยผ่าน..คือดินแดนอันยากแค้นและไม่น่าอภิรมย์นัก แต่ด้วยสปิริตในการทำงานก็อดทนผ่านพ้นมาด้วยดี ถ้าเจออย่างนั้นสิ่งที่เธอทักทายตัวเองก็คือการให้กำลังใจตัวเองในทุกเช้าว่า.. เธอต้องตื่นขึ้นและมีชีวิตต่อไป ยังมีผู้คนมากมายรอคอยการช่วยเหลือจากหน่วยงานเธออยู่

แต่วันนี้นับเป็นอีกวันหนึ่งที่เธอรู้สึกโล่งใจมากกว่าครั้งไหน เพราะเธอได้ลาพักเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และเธอก็ใช้เวลานี้มาเที่ยวเพื่อนบ้านอย่างรัฐฉานในสหภาพพม่านั่นเอง

“พี่แอ้ม นอนสบายไหมคะ มากินข้าวกันเถอะพี่” คำทิพย์นั่นเองที่เยี่ยมหน้ามาพบเธอ หลังอีกฝ่ายแอบตื่นนอนก่อนแล้วลงไปเตรียมข้าวปลาอาหารกับแม่ของตนที่ด้านล่างของตัวเรือน

บ้านของคำทิพย์เป็นเรือนหลังเล็กที่มีสองชั้น ด้านบนเป็นห้องนอนซึ่งมีอยู่เพียงสองห้อง ส่วนด้านล่างมีครัวเล็กๆ และใต้ถุนที่ค่อนข้างโปร่งโล่ง ซึ่งก็ใช้เป็นที่นั่งทานอาหารไปได้พร้อมสรรพ มีสมาชิกอยู่กันสี่คนคือคำทิพย์พร้อมพ่อแม่และน้องชายตัวเล็กของหล่อน

“หลับสบายมากเลยจ้าคำทิพย์” อราลีเอ่ยเล่าเสียงใส “ไม่ได้นอนเต็มอิ่มอย่างนี้มานานแล้ว นานๆ ได้พักผ่อนสักทีนี่รู้สึกดีชะมัด”

“งั้นกินข้าวเช้าเลยค่ะพี่แอ้ม แม่คำทิพย์ทำสุดฝีมือ” คนเป็นรุ่นน้องเอ่ยชวน “แล้วเดี๋ยวสายๆ เราออกไปเจอเพื่อนเก่าเราอีกคนมั้ยคะพี่ พี่แอ้มจำสายโลนได้ไหม ตอนนี้เค้าทำงานเป็นนักข่าวกับองค์กรในท้องถิ่นแถวนี้เองค่ะ คำทิพย์บอกเค้าแล้วว่าพี่แอ้มจะมาเที่ยว สายโลนเลยอยากเจอ”

“ฮ้า..จริงเหรอ” หญิงสาวอุทานตาตื่น ชื่อที่เอ่ยคือเพื่อนร่วมงานเชื้อสายไทยใหญ่อีกคนที่เธอเคยพบเจอพร้อมๆ กันกับที่ทำงานกับคำทิพย์ และไม่ได้พบหน้ากันหลายปีทีเดียว ตอนนั้นสายโลนเป็นหนุ่มน้อยไทยใหญ่คนหนึ่งที่กระตือรือร้นในการทำงาน และสนิทกับคำทิพย์มาก่อนเพราะทั้งสองมาจากหมู่บ้านละแวกเดียวกัน ซึ่งหลังจากเธอลาออกจากงานไปเรียนต่อ ก็แทบไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายอีกเลยแม้จะค่อนข้างสนิทสนมกันก็ตาม

ว่าไปแล้วก็แปลกดี.. สำหรับการเดินทางข้ามแดนมาครั้งนี้ เพราะมันกลายเป็นทริปเดินสายเจอเพื่อนเก่าไปเสียได้

คำทิพย์มีรถมอเตอร์ไซคล์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งเป็นพาหนะพาทั้งสองไปยังร้านน้ำชาเล็กๆ ของหมู่บ้าน ร้านดังกล่าวถ้าเทียบกับเมืองไทยก็เหมือนร้านกาแฟที่มักใช้เป็นที่พบปะเพื่อนฝูงหรือนั่งเล่นเพื่อพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ในชุมชน ผิดกันแต่ว่าร้านน้ำชาในพม่ามักมีสภาพตามมีตามเกิด ไม่จำเป็นต้องประดิดประดอยให้สวยหรูเหมือนร้านกาแฟสมัยใหม่แต่อย่างใด แต่เพียงแค่นั้นก็สามารถใช้เป็นแหล่งสังสรรค์ได้แล้ว

เมื่อไปถึงก็พบว่าสายโลนนั่งจิบชารออยู่แล้วด้านในร้าน แวบแรกที่มองมาเห็นสองสาว คนคุ้นเคยก็ยกไม้ยกมือเป็นพัลวัน

“พี่แอ้ม! คำทิพย์! ทางนี้เลย มารอนานแล้ว”
หนุ่มน้อยหน้ามนชาวไทยใหญ่ที่เคยคุ้นหน้า.. บัดนี้สามปีกว่าที่ผ่านไปเขาก็ดูเอาการเอางานขึ้นในอีกแบบหนึ่ง สายโลนยิ้มร่ามาแต่ไกลเมื่อเห็นอราลีซึ่งไม่ได้พบหน้ากันหลายปี

“สายโลน! เป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งนาน.. เธอสบายดีใช่ไหม งานเป็นยังไงบ้าง?” หญิงสาวรีบปรี่ไปที่โต๊ะอีกฝ่าย สายโลนพยักหน้าถี่ๆ พลางตอบเร็วไว

“สบายดีมากครับพี่แอ้ม หลังพี่แอ้มลาออกไปเรียนโทที่อเมริกา ผมกับคำทิพย์ก็ยังทำงานต่อในไทยนั่นล่ะ สักพักผมเองก็ต้องกลับบ้านมาดูแลพ่อเพราะพ่ออายุมากแล้ว เลยลาออกจากงานแล้วกลับมาอยู่ที่รัฐฉานบ้านเกิดตัวเอง เคว้งคว้างไม่มีอะไรทำอยู่สักพักก็ได้งานกับองค์กรข่าวไทยใหญ่ครับ”

“แล้วงานเป็นยังไงบ้าง ? ทำงานเป็นนักข่าวเหรอ? สนุกมั้ยจ๊ะ” อราลีนึกอยากรู้ ส่วนคำทิพย์ก็นั่งรอฟังไม่ห่างกัน

“สนุกดีครับ งานแปลกไปจากเดิม เหมือนได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ” สายโลนว่าอย่างคนมองโลกแง่ดี “เมื่อก่อนงานเราจะซ้ำๆ เดิมๆ แต่พอมาเป็นนักข่าว ผมต้องรู้จักสังเกตมากขึ้น รู้จักเข้าหาคน เข้าหาข้อมูล ได้เดินทางไปโน่นไปนี่เยอะแยะขึ้น รู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบครับ เรียกว่าทำแล้วชอบ”

“พี่แอ้มเค้าก็ได้ทำอะไรตื่นเต้นแบบเธอแหละสายโลน” คำทิพย์ได้ทีเอ่ยขึ้นบ้าง “สองสามปีที่พี่แอ้มไม่อยู่เมืองไทย เค้าเรียนจบแล้วก็ได้ไปทำงานที่ปากีสถานกับเนปาลแน่ะ แล้วเพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือนนี่เอง เจ๋งมั้ยละพี่สาวฉัน”

“ฮ้า..จริงเหรอครับพี่แอ้ม” สายโลนทำตาโต

“แหม..คำทิพย์ก็พูดเว่อร์ไป พี่ก็แค่ได้โอกาสไปทำงานในที่แปลกๆ แค่นั้นเอง มันก็เป็นอะไรที่ต่างไปจากสมัยทำงานกับพวกเธอนะ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรกว้างขึ้นมาก” หญิงสาวแก้ตัวเก้อๆ

“โห..ไม่หรอกครับ ผมดูออกตั้งแต่สมัยทำงานด้วยกันแล้วว่าคนอย่างพี่แอ้มจะต้องไปได้ไกลแน่นอน ยิ่งได้ไปเรียนที่อเมริกา.. ผมว่าพี่แอ้มคงจะมีโอกาสดีๆ อีกมาก ไหนๆ พี่แอ้มก็ไปทำงานที่นั่นมาแล้วเล่าให้เราฟังสิครับว่าที่โน่นเป็นยังไงบ้าง”

คราวนี้ เรียกได้ว่าทั้งสายโลนและคำทิพย์ต่างพยักหน้าให้กันด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของเธอครั้งใหญ่ อราลีได้แต่ยิ้มละมุนและค่อยๆ เปิดปากเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาซึ่งเธอได้ร่วมงานองค์กรต่างชาติเพื่อแก้ไขสถานการณ์ผู้อพยพมากมายทั้งในปากีสถานและเนปาล ซึ่งล้วนมีปัญหาผู้คนพลัดถิ่นอันเกิดมาจากประเทศต้นทางเต็มไปด้วยปัญหาเรื้อรังและรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ

“อย่างที่ปากีสถานนะ ที่โน่นมีผู้อพยพอัฟกันเป็นล้านคนเลยล่ะ แล้วคนพวกนี้ก็อยู่มานานแล้วด้วยเพราะว่าการแก้ปัญหาที่ต้นทางคือที่อัฟกานิสถานเองก็ถือว่ายังยากอยู่ พวกเธอคงได้ยินข่าวบ่อยๆ ใช่มั้ยว่าบ้านเมืองของอัฟกานิสถานเป็นยังไงบ้าง.. พี่เคยฟังคนที่หนีมาเล่าให้ฟัง.. ว่ามันเหมือนไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอยู่ได้ บ้านเมืองไม่มีกฎหมายคุ้มครอง จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครดีๆ จะอยู่ที่นั่น”

“โห..น่ากลัวเนอะพี่แอ้ม” คำทิพย์ปรารภออกมาอย่างเห็นด้วย ส่วนสายโลนเสียอีกที่ให้ความเห็นอีกแบบหนึ่ง

“ผมว่า..ถ้าบ้านเมืองที่กฎหมายอ่อนแอจนประชาชนไม่มีความปลอดภัย แถวนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นนะครับ อย่างในรัฐฉานหรือแถบรัฐชนกลุ่มน้อยต่างๆ ของประเทศเรานี่ล่ะครับที่เป็นตัวอย่างได้อย่างดีเลย”

“ยังไงจ๊ะ?” อราลีนึกสนใจ ท่าทีของสายโลนตอนนี้กลายเป็นนักข่าวอย่างเต็มตัวได้อย่างน่าชื่นชม

“ปัญหาของสหภาพพม่ามันเรื้อรังมานานแล้วครับ ตั้งแต่สมัยประกาศเอกราช..แล้วก็มีชนกลุ่มต่างๆ เยอะแยะมากมายที่ไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสหภาพพม่า อย่างรัฐฉานเรานี่ก็มีกลุ่มต่อต้านเกิดขึ้นแล้วก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เรื่อยๆ แต่ก็จะมีกลุ่มติดอาวุธใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ เพียงแต่ผมว่าปัจจุบันมันเปลี่ยนรูปแบบไปมาก”

“อืม ใช่ พี่ก็เคยได้ยินมาบ้าง กลุ่มติดอาวุธเมื่อก่อนดูจะเน้นเรื่องต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติพันธุ์ตัวเองมามาก แต่เวลาผ่านไปหลายปีสงครามที่ยืดเยื้อกลับทำให้ผู้คนล้มตายและบอบช้ำมากกว่า และยิ่งแถบรัฐฉานโดยเฉพาะสามเหลี่ยมทองคำนี้.. กลุ่มติดอาวุธมักมีผลประโยชน์เรื่องยาเสพติดไม่มากก็น้อยจริงไหม” คำรับยาวเหยียดของอราลีทำให้สายโลนพยักหน้าเป็นระยะด้วยสายตานึกยอมรับในการติดตามข่าวสารของอีกฝ่าย

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ต้องยอมรับอย่างนึงครับว่า รัฐฉานและอาจรวมถึงพม่า..ค่อนข้างไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียว ตอนนี้ในรัฐฉานเรามีกองทัพน้อยใหญ่เต็มไปหมด  ที่ไม่ต้องพูดถึงเพราะดังอยู่แล้วก็อย่างกองทัพรัฐฉานที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาวไทยใหญ่มานาน แต่ตอนนี้ที่โลกเปลี่ยนแปลงไป กองทัพชนเผ่าอื่นๆ ก็ผุดขึ้นมามากมาย อย่างวายัณที่มีเขตปกครองตัวเองและขึ้นชื่อเรื่องกองกำลังติดอาวุธที่น่ากลัวที่สุด แต่ผมก็ไม่เคยไปเห็นกองทัพเค้าหรอกนะครับเพราะศูนย์บัญชาการทหารของวายัณจะอยู่เมืองลัน ติดชายแดนจีนโน่น แถมมีกองกำลังเล็กน้อยแถวนั้นเต็มไปหมด”

“กองกำลังที่เธอว่านี่เค้ามีเพื่ออะไร? กู้ชาติ? หรือคาราวานยาเสพติด?” อราลีเอ่ยถามอย่างพอรู้ลับลมคมในอยู่บ้าง

สายโลนพยักหน้าให้อย่างยอมรับอีกรอบ “พี่แอ้มพูดก็ถูกครับ นอกจากวายัณแล้วก็ยังมีก๊กอื่นอีกหลายก๊ก ทุกก๊กในสามเหลี่ยมทองคำก็ขึ้นชื่อเรื่องมีเอี่ยวกับยาเสพติดทั้งนั้น จะเล่นต่อหน้าหรือลับหลังก็ว่ากันอีกที  นอกจากวายัณที่ว่าน่าสงสัยแล้ว ตอนเหนือของเขตวายัณก็ยังมีกลุ่มฮุน ซึ่งเป็นจีนพวกเล็กๆ ที่อยู่ชายขอบชายแดนพม่า-จีน ชื่อดังเรื่องมีส่วนเกี่ยวกับยาเสพติดเหมือนกัน”

“แต่ที่ดังที่สุดน่าจะเป็น  หวังหยงเฉิน ที่คุมเชิงอยู่ชายแดนไทยพร้อมโรงงานผลิตยานะ” คำทิพย์ได้ทีเอ่ยขึ้นบ้าง “รายนี้หนักสุด..ค้ายาชัวร์ รวยชัวร์ มีอำนาจชัวร์”

“ก็แหงละ..เค้าถนัดทางเดียวก็เลยตั้งหน้าตั้งตาผลิตยาเสียจนร่ำรวยนี่นา” สายโลนตอบรับ “แถวนี้มีพวกโดนตั้งค่าหัวเยอะครับพี่แอ้ม อย่างหวังหยงเฉินนี่เป็นใหญ่สุดในหมู่พ่อค้ายา หน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ กับทางการไทยต้องการตัวมากที่สุด ค่าหัวก็น่าล่ามากที่สุด แต่ก็ทำตัวเงียบเชียบที่สุดเหมือนกัน จะลากคอเค้าออกมาก็บอกได้เลยว่าไม่ง่ายแน่..เพราะเค้ามีกองทัพคุ้มกันส่วนตัวเป็นร้อยในคฤหาสน์บนภูเขา นี่ยังไม่นับพ่อค้ายาเสพติดคนอื่นๆ อีกมากที่เป็นรายย่อย เรียกว่าแถบนี้คนโดนหมายหัวจากหน่วยงานยาเสพติดเป็นกระบุงละครับ”

“โอ้โห..ไม่เจอกันนาน เธอรู้อะไรเยอะมากเหมือนกันนะสายโลน” อราลีปรารภกึ่งทึ่ง

“นิดหน่อยครับพี่แอ้ม ผมมันเป็นคนในพื้นที่ แถมหน้าที่ก็คือคอยเก็บข่าวไปรายงาน อาชีพอย่างผมนี่ทั้งเสี่ยงและสนุกในคราวเดียวกัน”

“ฟังๆ ที่เธอเล่านี่เหมือนที่นี่เป็นแดนเถื่อนเลยนะ” อราลีเปรยต่อ “มีแต่เจ้าพ่อค้ายาอยู่แทบทุกมุมจริงๆ ไหนบอกว่าวายัณมีแผนจะขจัดยาเสพติดออกไปจากเขตของตัวเองไง จะทำได้รึเปล่าเนี่ย”

คำทิพย์มองหน้ากับสายโลน ก่อนที่เหยี่ยวข่าวหนุ่มไทยใหญ่จะรับบทอรรถาธิบายต่อไป

“ทำได้รึเปล่าเป็นสิ่งที่ยังต้องรอดูต่อไปครับ แต่อย่างน้อยคือตอนนี้มีหน่วยงานที่เริ่มขจัดยาเสพติดเป็นรูปธรรมแล้วในคณะผู้ปกครองเขตวายัณ นำโดยนายพลซอหม่องลู..พี่แอ้มอาจไม่คุ้นชื่อนี้บ้างเพราะเค้าไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าวเหมือนพวกมาเฟียค้ายาที่ดังกระฉ่อน แต่ถ้าพี่แอ้มอยู่แถวนี้ รับรองต้องเคยได้ยินชื่อเขา”

อราลีพยักหน้าอย่างจะค่อยๆ ทำความเข้าใจ และปล่อยให้สายโลนครอบครองบทบรรยายต่อไป

“ซอหม่องลู.. คนนี้พวกวายัณเค้าเรียกฉายาว่าเป็น ขุนพลฝิ่นขาวแห่งวายัณ เพราะเป็นนายพลของกองทัพวายัณคนแรกเลยมั้งที่ประกาศตัวเองชัดเจนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ถึงแม้เขาจะเกิดและเติบโตในดินแดนวายัณที่ขึ้นชื่อเรื่องเป็นแหล่งปลูกฝิ่น แต่มีคนบอกว่าเขาไม่แตะต้องธุรกิจค้าฝิ่น และมองเห็นด้วยว่าเพราะมีฝิ่นในเขตของวายัณถึงได้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบเพราะฝิ่นทั้งทำลายชีวิตและภาพพจน์ของเผ่าตัวเอง เลยเป็นตัวตั้งตัวตีในแผนการขจัดการปลูกฝิ่นออกไปจากเขตปกครองตนเองของวายัณ”

“แน่ใจเหรอว่าเขาไม่เกี่ยวข้องจริงๆ ทั้งที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้..  อีกอย่างเป็นถ้าคนวายัณก็คงจะยากอยู่นะที่จะมีอำนาจขึ้นมาได้โดยใสสะอาด” หญิงสาวท้วงติง

“มันก็อาจจะใช่นะครับพี่ ไม่มีใครบริสุทธิ์หรอกในที่นี้ ทหารพม่าเองก็เคยจับตัวนายพลซอหม่องลูไปสอบสวน ทั้งที่ตอนนั้นพม่ากับวายัณเองก็ตกลงกันหยุดยิงกันแล้ว ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเพราะอะไร แต่ข่าวก็ลือว่าเขาอาจโดนทหารพม่าทรมานให้ยอมรับว่ามีส่วนค้ายา แต่สุดท้ายพม่าก็ยอมปล่อยตัวเพราะทหารคนสนิทของซอหม่องลูไปขู่ว่าจะเอากองทัพวายัณหันมาต่อสู้กับรัฐบาลพม่า สงสัยพม่ากลัวเรื่องบานปลายก็เลยรีบปล่อยตัว”

อราลีพยักหน้าหงึกๆ ก็นับเป็นประวัติของผู้นำวายัณคนนึงที่นับว่าแปลกสุดๆ ที่กล้าประกาศตัวเองจากมลทินของยาเสพติดทั้งที่ดินแดนของตนเต็มไปด้วยร่องรอยของฝิ่นและสิ่งเสพติดเยี่ยงนี้

“เออ วันก่อนโน้นตอนฉันกับพี่แอ้มอยู่เชียงราย เจอหลานนายพลคนนั้นด้วยล่ะ ที่ชื่อเคมินน่ะ” คำทิพย์เอ่ยขึ้นกับสายโลน “ไม่รู้ไปทำอะไรที่เชียงรายล่ะ แต่ฉันเพิ่งได้เห็นตัวจริงใกล้ๆ ก็ครั้งนี้เองล่ะแกเอ้ย.. แทบไม่อยากกะพริบตาจริงๆ”

“เค้าหล่อสะบัดเลยใช่มั้ยล่ะ” สายโลนกระแนะกระแหนแหย่เล่น “พักหลังนี้ฉันเองก็เริ่มสังเกตว่าคุณเคมินเค้าเริ่มมีบทบาทขึ้นเรื่อยๆ ส่วนมากจะไปทางเจรจากับองค์กรต่างประเทศที่จะเริ่มเข้ามาในแถบนี้นั่นล่ะ ตามตำแหน่งเขาเท่าที่รู้มาก็น่าจะถูกวางตัวให้ประสานงานกับภายนอกนะ แต่ไม่ใช่กับสื่อมวลชนทั่วไปหรอกนะจะเจอเขาได้ โน่น..องค์กรต่างชาติต้องส่งตัวแทนมาเจรจาเป็นเรื่องเป็นราวนั่นล่ะถึงจะได้เจอ”

“ถึงว่าสิ ฉันเข้าออกแม่สายออกจะบ่อย แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอเล้ย” คำทิพย์บ่นกระปอดกระแปด “ต้องไปปางแก้วเท่านั้นรึเปล่าเนี่ย ถึงจะได้เจอ ตายละ..แล้วมันไปได้ง่ายๆ รึเปล่าล่ะเนี่ย”

“เข้าไปไม่ยากหรอก เดี๋ยวนี้เค้าพัฒนาไปมากแล้วนะ มีถนนตัดใหม่หลายเส้น มีโรงพยาบาล มีโรงเรียน ร้านรวงเยอะแยะ เหมือนเป็นศูนย์กลางใหม่ที่มีอะไรทันสมัยขึ้นเยอะ คนไทยใหญ่เองก็เข้าไปค้าขายในนั้นบ้างแล้ว อันนี้หมายถึงตัวเมืองนะ แต่ถ้าเธอจะบุกไปให้ถึงคฤหาสน์ของเคมินล่ะก็.. ขอบอกว่ายาก”

“ขนาดนั้นเชียว?” คำทิพย์เบ้หน้า

“คนระดับซอหม่องลูกับหลานชายคนโปรด คงไม่ได้อยู่กระท่อมไม้ไผ่ให้เธอเดินเข้าไปหาได้ง่ายๆ หรอกนะ ฉันเคยเข้าไปในปางแก้วรอบนึง ที่พักของผู้นำปางแก้วเท่าที่รู้อยู่บนเนินเขาเหนือตัวเมือง แล้วก็มีคนคอยดูแลความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนาตามประสา ถึงได้บอกไงว่าถ้าไม่ใช่คนที่มีธุระกับเขาล่ะก็ ไม่ได้เจอง่ายๆ หรอกจะบอกให้”

“เอ๊ะ..แล้วสายโลนเข้าไปทำอะไรที่ปางแก้วจ๊ะ?” อราลีนึกฉุกใจถาม

“ไปทำข่าวสหภาพแห่งชาติวายัณจัดพิธีทำลายยาเสพติดเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลกครับ” หนุ่มน้อยไทยใหญ่ตอบชัดเจน “ตอนนั้นทางวายัณเชิญนักข่าวจากภายนอกไปเป็นสักขีพยานในการต่อต้านยาเสพติดของพวกเขาในเขตปางแก้ว ผมเลยได้เข้าไปถ่ายรูปตอนเค้าเผาฝิ่น ยาบ้า เฮโรอีน ที่ทางกองทัพวายัณจับได้”

“แล้วได้เห็นเคมินมั้ย?” คำทิพย์สนใจถามต่ออีก

“เห็นสิ ระยะใกล้ด้วย ถึงได้รู้ว่าทำไมสาวๆ ข้างนอกถึงได้อยากเห็นหน้าเขานัก ฉันถ่ายรูปเขาเอาไปลงหนังสือพิมพ์ด้วยไงล่ะ” สายโลนหลิ่วตา “ความจริงวันนั้นนายพลซอหม่องลูก็มาพร้อมลูกหลานหลายคน แต่ก็เป็นคุณเคมินนั่นล่ะที่อยู่ข้างๆ ท่านตลอด เพราะถูกวางตัวให้เป็นทายาทการเมืองเรียบร้อย เรียกว่าวันนั้นฉันได้ถ่ายรูปทั้งนายใหญ่และนายน้อยแห่งปางแก้วครบเซต”

“นายใหญ่..นายน้อยแห่งปางแก้ว?” อราลีทวนคำคล้ายชักเริ่มมึนกับตำราว่าด้วยผู้มีอิทธิพลแถบนี้

“ก็คนเดิมๆ แหละครับพี่แอ้ม” นักข่าวหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น “ปางแก้วเป็นคล้ายเมืองใหม่ก็จริง แต่ว่าเดิมทีคือถิ่นเก่าของนายพลซอหม่องลู หลังจากวายัณเริ่มขยายเขตอำนาจจากเมืองลันซึ่งเป็นเมืองหลัก ก็มีการพัฒนาเมืองใหม่คือปางแก้ว ท่านซอหม่องลูก็มาปักหลักที่นี่และสร้างอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง คนจึงเรียกท่านว่านายใหญ่แห่งปางแก้ว ส่วนเคมินหลานชายที่เหมือนเป็นเงาอยู่เบื้องหลังก็เลยถูกเรียกเล่นๆ ว่านายน้อยแห่งปางแก้ว”

คำเรียกว่า ‘ท่าน’ นั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายน่าจะมีความเคารพในตัวคนที่พูดถึงอยู่ไม่น้อย

“เอ..เดี๋ยวนะ พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” สุดท้ายอราลีก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ “เท่าที่พี่ฟังเธอสองคนพูดมาเกี่ยวกับวายัณและมาเฟียแถวนี้ แสดงว่าคนแถวนี้ไม่ได้รู้สึกแบ่งแยกชัดเจนระหว่างไทยใหญ่-วายัณกันหรอกเหรอ? ในเมื่อพวกวายัณออกจะดูเป็นชนเผ่าที่อันตราย แถมยังได้สิทธิปกครองตัวเองระดับหนึ่ง ต่างจาก..เอ้อ..พี่ขอโทษนะ..จากกลุ่มไทยใหญ่อย่างพวกเธอน่ะ?”

คำทิพย์และสายโลนมองหน้ากันด้วยสายตาสื่อความหมาย ก่อนที่สายโลนจะเอ่ยขึ้นอย่างมีจังหวะจะโคน

“สังคมในรัฐฉานเราเต็มไปด้วยความแตกต่างและแตกแยกก็จริงครับ แต่เราก็เริ่มชินกับการอยู่ร่วมกันแบบหลายเผ่าพันธุ์ เราไม่ได้เป็นศัตรูขนาดจะสู้กันให้ตาย เราแค่รับรู้เขตอิทธิพลแต่ละฝ่ายแล้วอยู่ใครอยู่มัน วายัณเองก็เป็นชนกลุ่มนึงที่มีทั้งดีและเลว คนระดับชาวบ้านเค้าไม่ใช่ตัวอันตรายอย่างที่ใครเข้าใจ..เค้าก็มีคนจนธรรมดาอย่างเราๆ นี่ล่ะ อีกอย่างไม่ใช่ว่าวายัณผลิตยาคนเดียวแล้วส่งขายเองได้ทั้งโลกนี่ครับ ถ้าไม่มีคนชาติอื่นเกี่ยวข้อง ผมว่ายาเสพติดคงไปได้ไม่ไกลขนาดนี้”

“คำทิพย์เห็นด้วยค่ะ” รุ่นน้องสาวรับบ้างเสียงขันแข็ง “เมื่อก่อนวายัณอาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ตอนนี้คำทิพย์ก็เริ่มเห็นพวกเค้ามากขึ้นแล้วก็รู้ว่าคนทั่วไปเค้าก็ไม่ได้ต่างจากพวกเรา คนที่ลำบากก็คือลำบาก คนดีก็มี คนที่ไม่ดีก็มีอยู่ส่วนนึงค่ะ”

คำตอบจากทั้งสองคนเป็นเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อราลีพยักหน้าอย่างเริ่มจะเข้าใจลับลมคมในอะไรมากขึ้นในแผ่นดินแถบนี้ที่เต็มไปด้วยอิทธิพลมืดหลายทาง

สายโลนนั่งพูดคุยด้วยสักพักก็ขอตัวเพื่อกลับไปทำงานประจำของเขาต่อ มีการร่ำลาเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนคุ้นเคยกันดี จากนั้นอราลีและคำทิพย์จึงเดินออกมาจากร้านน้ำชาขนาดเล็กแห่งนั้นเช่นกัน

ทว่าเมื่อเดินออกมาคู่กับคำทิพย์นั้น อราลีก็เจอหน้ากับคนที่ไม่คิดว่าจะต้องพบเจอกันอีก

ข้างรถมอเตอร์ไซคล์ของคำทิพย์ มีรถกระบะสี่ประตูสีเงินคันใหญ่จอดนิ่งสงบ พร้อมชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนจ้องมองมาที่เธออยู่แล้วด้วยสายตาเฝ้ารอ...

“วินนาย...”

อราลีอุทานอย่างไม่คาดฝัน การได้พบกันอีกครั้งในระยะใกล้ทำให้เธอถึงกับผงะ ส่วนคำทิพย์เองก็ถึงกับอึ้งทึงเพราะหล่อนรู้จักหน้าค่าตาอีกฝ่ายดีว่าชายหนุ่มเป็นหนึ่งในคนของเปาเชิงหวา ผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งแถบวายัณ

เขาเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มเหมือนรอคอยเธอมาแสนนาน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเว้าวอนว่า

“แอ้ม..ขอคุยกับคุณสักครู่ได้ไหม ผมอยากเจอคุณมานานมากเหลือเกิน”

แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 55 17:13:35

จากคุณ : ณ พิชา
เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 15:39:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com