Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พระจันทร์สีเพลิง บทที่ 3 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1-2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12833465/W12833465.html


บทที่ 3.
“แม่พูดกับคุณพัตรพิมลออกไปอย่างนั้นได้ยังไงคะ หนูไม่ได้ลงแข่งขันอะไรอย่างที่แม่พูดเลยสักนิด”

แม้จะอึดอัดมาตลอดเวลากับเรื่องนี้แต่พิมพ์จันทร์ก็รู้มารยาทว่าไม่ควรโว้ยวายเรื่องนี้ให้คนนอกเห็นสาวน้อยจึงอดทนรอจนกลับมาถึงบ้าน แล้วจึงพูดขึ้นทันทีที่คุณดวงแขคล้อยหลัง


“แกไม่เห็นรึไงว่ายัยนั่นน่ะมันอวดเบ่งลูกมันเย้ยฉัน แกอยากให้ฉันบอกเขารึไงว่าลูกสาวฉันน่ะมันโง่งี่เง่าไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง”

“แต่แม่ก็ไม่ควรโกหกเขาไปอย่างนั้น”

“ใครบอกว่าฉันโกหก ฉันบอกเขาไปตามความจริงต่างหากล่ะ เพราะแกจะต้องลงสมัครแข่งขันรายการนี้ด้วย” สิ่งที่พิมพ์จันทร์กลัวเริ่มปรากฏเค้าลาง

“แต่หนูไม่เก่งคณิตศาสตร์เลยนะค่ะแม่ก็รู้”

“นั่นมันเรื่องของแกที่ต้องพยายามฝืนฝน เออฉันบอกไว้ก่อนเลยนะงานนี้แกต้องชนะ แล้วอย่าคิดล่ะว่าจะไม่ยอมลงแข่งเพราะวันแข่งจริงฉันจะไปดูด้วย อย่าทำให้แพ้ลูกสาวยัยพัตรพิมลล่ะ” แสงอุษาออกคำสั่งจนพิมพ์จันทร์อดคิดไม่ได้ว่าแม่เห็นเธอเป็นลูกหรือหุ่นยนต์กันแน่


“หนูไม่อยากลงแข่งค่ะ” ชัดเจนหนักแน่นทุกถ้อยคำที่พูดออกมา

“เอ๊ะ! ลูกคนนี้แกยอมให้คนอื่นดูถูกได้ง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอไม่ดูลูกสาวยัยพัตรพิมลเหรอทำตัวชูคออย่างกับนางพญาหงส์แม่มันคงสอนมาสิท่า โธ่เอ้ย! ก็แค่ลูกหลานแม่ค้า”

“พอเถอะค่ะแม่ หนูก็ไม่เห็นครอบครัวนั้นเขาจะทำอะไรอย่างที่แม่พูดเลยสักนิด” วาจาเหน็บแนมของแสงอุษาทำเอาพิมพ์จันทร์ทนฟังต่อไปไม่ไหว

“แกตามไม่ทันสองแม่ลูกนั้นน่ะซิ ทำเป็นพูดว่าลูกสาวตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้เก่งจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แกน่ะมันขี้ขลาดยัยเด็กนั่นนะไม่เก่งไปกว่าแกสักเท่าไหร่หรอก แกจะแพ้มันไม่ได้นะ”

“อย่าเอาเขามาเทียบกับหนูเลยค่ะแม่ พ่อแม่ครอบครัวเขาสนับสนุนขนาดนั้นถ้าเขาจะเก่งก็ไม่แปลก”

“ฉันก็สนับสนุนแกอยู่นี้ไง”

 พิมพ์จันทร์ไม่อยากจะคิดว่าแม่ไม่เข้าใจความหมายที่เธอพูดจริงๆ คนที่มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุขเขาย่อมมีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่า เพียงแค่เจอกันไม่นานพิมพ์จันทร์ก็ดูออกว่าครอบครัวนั้นอบอุ่นแค่ไหนและแน่นอนคนอย่างพราวเดือนย่อมต้องเป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุขที่ได้อยู่ในครอบครัวอย่างนั้น ต่างจากเธอที่ยังรู้สึกเหงา เคว้งคว้าง แม้จะมีแม่อยู่ด้วยก็ตาม ถ้าเธอจะอิจฉาพราวเดือนก็ตรงนี้แหละ

“แม่กำลังสนับสนุนหนู หรือบังคับหนูกันแน่”

“เอ๊ะ! อีกแล้วนะยัยพิมพ์ชอบพูดอะไรให้อารมณ์เสียอยู่เรื่อย”

“หนูก็แค่คิดว่าแม่จะอยากเอาชนะบ้านนั้นทำไมหนักหนา”

“แกไม่รู้อะไรก็เงียบไปเลย แต่จำไว้แล้วกันว่าแกแพ้ยัยพราวเดือนนั่นไม่ได้”

“หนูแพ้ตั้งแต่เพิ่งเจอเขาแล้วล่ะคะ” พิมพ์จันทร์พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ

“แพ้อะไรของแก” แสงอุษาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ก็แพ้ที่เขามีแม่ดีๆที่หนูไม่มีไงคะ” น้ำเสียงนั้นเย็นชา ช้า ชัด

“ยัยพิมพ์...ยัยลูกไม่รักดี แกนี่มันดื้อรั้นจริง” คนเป็นแม่ได้แต่พูดไล้หลังบุตรสาวเพราะพิมพ์จันทร์เดินจากไปตั้งแต่พูดประโยคสุดท้ายจบ

พิมพ์จันทร์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์แล้วพบว่าแสงอุษายังไม่กลับบ้าน แม่มักเป็นอย่างนี้มีงานสังคมงานเลี้ยงสังสรรค์ไม่เว้นวัน กลับบ้านดึกบ้างเช้าบ้างจนเป็นเรื่องปรกติ สาวน้อยลงมารับประทานอาหารเช้าร่วมกับคนอื่นๆตามมารยาทของบ้าน พิมพ์จันทร์ไม่ค่อยชินกับบรรยากาศวันว่างของบ้านหลังใหญ่สักเท่าไหร่มันชวนให้รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้าคนอื่นๆในบ้านพร้อมกัน


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างราบเรียบทุกคนพูดจากันแทบนับคำได้ ยิ่งทำให้พิมพ์จันทร์รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมของครอบครัวใหญ่ในเช้าวันนี้ คุณสารัชหันมาพูดคุยกับเธอบ้างเล็กน้อยส่วนคุณหญิงดวงแขนั้นแทบจะไม่พูดคุยกับใครเลย สองแม่ลูกสิราวรรณ อัญชิสาก็พูดคุยกันเพียงสองคนเบาๆ พิมพ์จันทร์อึดอัดจนทานอาหารแทบไม่ลง เมื่อสิ้นสุดเวลามื้อเช้านั่นแหละความอึดอัดในใจสาวน้อยค่อยคลายลง

หลังจากทุกคนลุกจากโต๊ะอาหารพิมพ์จันทร์จึงปลีกตัวไปอยู่คนเดียวในห้องสมุด แต่เธอก็อยู่ในนั้นได้ไม่นานเมื่ออัญชิสาเข้ามาบอกว่า

“เดี๋ยวฉันจะใช้ห้องนี้ติวหนังสือกับเพื่อน เธอออกไปหาที่อื่นอ่านหนังสือแทนก็แล้วกันนะ”

พิมพ์จันทร์ไม่ได้ขัดขืนตอบโต้ใดๆ หลังจากอัญชิสาพูดจบสาวน้อยก็เก็บหนังสือข้าวของส่วนตัวออกไปจากห้องนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของอัญชิสาเมื่อเธอเดินจากมา ตั้งใจไว้ว่าอาจจะไปนั่งเล่นที่ระเบียงหน้าบ้านแต่เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่าคุณหญิงดวงแขและคุณสิราวรรณกำลังนั่งจิบน้ำชากันอยู่จึงหันหลังทำท่าจะเดินกลับพอดีมีเสียงเรียกจากคุณสิราวรรณดังขึ้นพอดี

“พิมพ์จันทร์เหรอ มีอะไรรึเปล่า”

“เปล่าค่ะ” สาวน้อยปฏิเสธเบาๆ คุณหญิงดวงแขละสายตาจากหนังสือในมือขึ้นมองหน้าหลานสาวนิดนึงแล้วจึงก้มลงอ่านหนังสือต่อ

“แม่เธอยังไม่กลับมาล่ะสิ”  

“ค่ะ”   สั้นๆ จนคนฟังอดถามต่อไม่ได้

“แม่เธอคงยังไม่ได้พูดกับเธอสิท่าเรื่องที่เธอกระแทกยัยอันวันนั้นน่ะ” คุณหญิงดวงแขขยับแววสายตาเงยหน้าขึ้นมองหลานสาวแล้วจึงหันมามองลูกสาวคนเล็กก่อนจะพูดว่า

“เรื่องอะไรกันแม่สิ”

“ก็ยัยพิมพ์น่ะสิค่ะ แกล้งวิ่งชนกระแทกยัยอันจนยัยอันเจ็บจุกไปหลายวันเลยละค่ะ”

“อะไรกันฉันไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย มันยังไงกันฮะพิมพ์จันทร์” คุณหญิงดวงหน้าจับจ้องสายตามาที่พิมพ์จันทร์อย่างคาดคั้น

“หนูวิ่งชนอัญชิสาจริงๆค่ะแต่หนูไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเขานะค่ะแล้วหนูก็ขอโทษอัญชิสาไปเรียบร้อยแล้วด้วยแต่อัญชิสาเขาไม่....”

“พอๆฉันไม่อยากฟัง” ยังไม่ทันที่พิมพ์จันทร์จะอธิบายเรื่องราวจบคุณหญิงดวงแขก็ชิงตัดบทและยังพูดต่ออีกว่า

“ฉันไม่รู้ว่าเธอตั้งใจแกล้งยัยอันหรือมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าบ้านนี้ไม่ชอบคนก้าวร้าว และไอ้นิสัยยืนพูดใส่หน้าผู้ใหญ่ป่าวๆอย่างนี้ก็ไม่มีใครเขาทำกัน แม่แสงน่าจะสั่งสอนสมบัติผู้ดีให้ลูกบ้าง ปล่อยให้พ่อมันลี้ยงเลยติดนิสัยบ้านนอกมา เธอควรจะฝึกเรื่องมารยาทที่ดีให้มากกว่านี้นะพิมพ์จันทร์”


สาวน้อยพยายามอดกลั้นฟังสิ่งที่คุณดวงแขพูดแต่เมื่อฟังไปเรื่อยๆแล้วพบว่า สิ่งที่ยายเรียกว่าสั่งสอนนั้นเป็นการพูดจาถากถางบิดาเธอมากกว่า พิมพ์จันทร์จึงยอมไม่ไม่หากมีใครมากล่าวหาว่าร้ายพ่อเธอ


“ที่หนูเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพ่อหรอกค่ะ หนูเป็นของหนูเอง ถ้าหนูไม่ผิดแล้วจะให้หนูยอมรับได้ยังไง” สองแม่ลูกถึงกับสะดุ้งตัวโหยงเมื่อโดนหลานสาวตอบโต้กลับอย่างนั้น คุณหญิงดวงแขถึงกับโกรธตัวสั่น คุณสิราวรรณก็ไม่ต่างกันตกใจจนหลุดปากพูดออกไปว่า


“พิมพ์จันทร์ทำไมนิสัยเสียอย่างนี้เหอะ นี่ไงเชื้อไพร่มันไม่ทิ้งแถวจริงๆ”

“พอๆเถอะฉันหัวใจจะวายเด็กอะไรก้าวร้าวได้ถึงขนาดนี้ ดีนะที่แกไม่ได้ใช่นามสกุล มิลินทกุล ไม่อย่างนั้นคงอายเขาแย่ที่มีลูกหลานนิสัยอย่างนี้” คุณหญิงดวงแขพูดพรางเอามือทาบอก

“หนูก็ดีใจเหมือนกันค่ะที่ไม่ได้ใช้นามสกุลนี้” พูดจบสาวน้อยก็หันหลังยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะเดินจากไป


พิมพ์จันทร์รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุดอยู่ในบ้านยายตัวเองแท้ๆแต่เหมือนอยู่กับชาวบ้านมีแม่ก็อยู่ด้วยก็ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว สาวน้อยปิดประตูห้องล็อคลูกบิดก่อนจะปล่อยน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม  ปล่อยเสียงร้องไห้ดังด้วยความอัดอั้นตันใจ

เหมือนว่าความอดทนที่พยายามมาตลอดจะมาถึงขีดจำกัด สาวน้อยนึกถึงใครอีกคน คนที่รักและเข้าใจเธอทุกอย่าง คนที่เธอจะสามารถอยู่ด้วยโดยมีความสุขที่สุด กับคนๆนั้นจะไม่มีใครบีบบังคับ หรือดูถูกเย้ยหยันเธอได้

สาวน้อยคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กแล้วจึงวิ่งออกไปจากบ้านหลังใหญ่อย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสนใจเธอหรอกคนไม่ดีอย่างเธอไม่เคยอยู่ในความสนใจของคนในดงผู้ดีแห่งนี้อยู่แล้ว


รถทัวร์สายกรุงเทพ-จันทบุรี พาพิมพ์จันทร์มาถึงสี่แยกเลยตัวเมืองจันทบุรีมาไม่มากสาวน้อยก้าวลงจากรถอย่างหวาดหวั่น แม้จะเคยมาหาบิดาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งก็จะมีคนขับรถจากที่บ้านมาส่งหรือไม่ก็คนเป็นพ่อเองที่เป็นฝ่ายไปรับเธอมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สาวน้อยเดินทางมาที่นี้ด้วยตัวเอง พิมพ์จันทร์พยายามนึกถึงเส้นทางที่เธอนั่งรถผ่านเป็นประจำสาวน้อยเลือกที่จะไม่โทรหาบิดาเพราะรู้ว่าคุณทัตพลคงไม่ยอมให้เธอหนีออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยเหตุผลแค่โดนคุณหญิงดวงแขพูดจาถากถางเป็นแน่


พิมพ์จันทร์เดินข้ามถนนใหญ่ตรงไปในซอยเบื้องหน้า  สองข้างทางเขียวชอุ่มไปด้วยสวนผลไม้นานาพันธ์เมื่อเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ สาวน้อยเริ่มรู้สึกว่าทางที่เดินผ่านมาเงียบและเปลี่ยวกว่าที่คิดไว้มาก  เธอพยายามสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้พ้นจากแนวสวนผลไม้อึมทึมนี้  ไม่นานพิมพ์จันทร์ก็เจอบ้านคนแต่เงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่เมื่อสาวน้อยเดินผ่านหน้าบ้านหลังนั้นเสียงครางขู่ก็ดังออกมาจากในบ้าน


พิมพ์จันทร์แทบไม่ทันตั้งตัวเมื่อสุนัขพันธ์บางแก้วสีน้ำตาลตัวใหญ่วิ่งรี่ตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว สาวน้อยก้าวเท้าวิ่งอย่างสุดแรงจนเหยียบเอาก้อนหินหกล้ม พิมพ์จันทร์ตกใจกลัวจนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก เมื่อเจ้าหมาใหญ่มายื่นขู่ประชิดหน้าเธอ สาวน้อยยกมือขึ้นปิดหน้าเมื่อบางแก้วพันธ์ดุทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ตัวเธอ


“ออกไป ออกไปน่ะ” เสียงทุ้มๆของใครบางคนทำให้สาวน้อยคลายมือออกดู หนุ่มน้อยผิวขาวสะอาดสะอ้าน ผมรองทรงเกรียนในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดคอกลมสีพื้น ในมือถือไม้ดุ้นใหญ่ยืนประจันหน้ากับเจ้าหมาดุอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย


“ไป เข้าบ้านแกไป” หนุ่มน้อยพูดพรางใช้ไม้แกว่งไกวไปข้างตัวสุนัขก่อนจะคว้างไปโดนตัวมัน หมาใหญ่วิ่งหนีกลับเข้าบ้านในทันที

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เขาหันมาถามสาวน้อยด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบใจมากนะ” พิมพ์จันทร์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อขยับข้อเท้าอาการปวดแปลบก็แล่นจับจนต้องนั่งลงอีกครั้ง

“หมาบ้านนี้นะดุมากขนาดคนคุ้นหน้ามันยังเห่าเลย สงสัยจะข้อเท้าแพลงแล้วล่ะ ไหนมาเดี๋ยวจะดูให้” หนุ่มน้อยนั่งลงจับข้อเท้าสาวน้อยนวดเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นวูบไหวแปลกๆเกิดขึ้นกับสาวน้อยอย่างไม่เลยเป็น


“ทำไมถึงมาเดินอยู่ที่นี้คนเดียวได้ สงสัยจะไม่ได้คนแถวนี้ ไม่เคยเห็นหน้า” สาวน้อยมองใบหน้านั้น ผิวขาวเกลี้ยงเกลา คิ้วดกเข้ม จมูกยาวเป็นสัน ปากบางที่ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มละไมแต้มอยู่ตลอดเวลา


“พิมพ์มาหาคนพี่พอจะรู้จักมั้ยคุณทัตพลน่ะ” พิมพ์จันทร์พูดในขณะที่อีกฝ่ายยังคงนวดเฟ้นข้อเท้าให้อย่างเบามือ

“อ๋อ คุณอาทัตพลน่ะเหรอ รู้จักสิบ้านเราอยู่ติดกัน” ทั้งคำพูดน้ำเสียงและท่าทางมีน้ำใจ อดทำให้พิมพ์จันทร์นึกนิยมไม่ได้

“ถ้าไม่รบกวนช่วยพาพิมพ์ไปที่บ้านเขาหน่อยได้มั้ย” สาวน้อยพูดในขณะที่พยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งและดูเหมือนจะง่ายกว่าครั้งแรกเมื่อมีหนุ่มน้อยคอยช่วยพยุง


“ได้สิ ว่าแต่มีธุระอะไรกับคุณอาทัตพลเหรอ” ชายหนุ่มค่อยๆประคองสาวน้อยเดินไปยังจักรยานของเขาที่จอดอยู่ใกล้ๆกัน

“พิมพ์เป็นลูกสาวคุณทัตพลค่ะ ชื่อพิมพ์จันทร์”  

“อ๋อ ลูกสาวคุณอานี่เอง พี่ชื่อมณฑลนะ เรียกมนเฉยๆก็ได้ ไปจักรยานพี่นะ” จักรยานญี่ปุ่นสีเขียวพิมพ์จันทร์ประเมินจากสภาพแล้วคงผ่านการใช้งานมาไม่น้อย สาวน้อยก้าวขึ้นซ้อนท้ายก่อนที่หนุ่มน้อยจะปั่นมันออกไป มณฑลปั่นจักรยานพาพิมพ์จันทร์ตัดท้ายสวนมังคุดเมื่อเลี้ยวขึ้นถนนใหญ่อีกทีก็มาถึงหน้าบ้านพ่อเธอพอดี


“เงียบจัง แน่ใจนะว่าคุณอาอยู่บ้าน” หนุ่มน้อยเปรยขึ้นขณะที่ทั้งคู่เกาะประตูรั้วมองเข้าไปในบ้าน พิมพ์จันทร์กดกริ่งเรียกคนในบ้านแต่ทุกอย่างยังคงเงียบ


“หรือว่าพ่อจะไม่อยู่บ้าน”  

“อาจจะอยู่หลังบ้านก็ได้” มณฑลลองกดกริ่งอีกครั้งไม่นานก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนเดินออกมาจากข้างบ้าน

“พ่อ พ่อค่ะ พิมพ์เองคะพ่อ” คุณทัตพลรีบวิ่งมาเปิดประตูทันทีเมื่อเห็นบุตรสาวคนเดียวของตน

“พิมพ์เหรอลูก มาที่นี่ได้ยังไง ไหนใครพามา” คุณทัตพลสอดส่ายสายตาหาผู้ใหญ่สักคนที่คิดว่าเป็นผู้พาลูกสาวของตนมาที่นี่

“ไม่มีใครพาพิมพ์มาหรอกค่ะพิมพ์มาเอง” เมื่อพูดสาวน้อยก็เริ่มน้ำตาคลออีกครั้งพิมพ์จันทร์ตรงเข้ากอดบิดาทันทีที่ประตูเปิดออก มณฑลมองดูพ่อลูกทั้งสองอย่างงงๆ


“ผมเจอคุณพิมพ์ที่หน้าบ้านป้าแหวนหมาดุน่ะครับ เห็นบอกว่าจะมาหาคุณอาผมเลยพามาส่ง” หนุ่มน้อยรีบเล่าเหตุการณ์โดยไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่ถาม


“ขอบใจมากนะมนที่พาน้องมาส่ง” คุณทัตพลพูดเพียงเท่านั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนแล้วมณฑลเลยปลีกตัวออกมาปล่อยให้สองพ่อลูกเข้าบ้านไปด้วยกัน

“เกิดอะไรขึ้นบอกพ่อมาสิลูก” คุณทัตพลพูดขึ้นเมื่อพาลูกสาวมานั่งในบ้านเรียบร้อยแล้ว

“หนูไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วค่ะพ่อ คนที่นั่นเขาไม่ชอบหนู เขาบอกว่าหนูนิสัยไม่ดีไม่สมควรเป็นลูกหลานพวกผู้ดีอย่างเขา พ่อค่ะให้หนูอยู่ที่นี่กับพ่อนะคะ” พิมพ์จันทร์พูดปนสะอื้นจนคุณทัตพลอดสงสารลูกสาวไม่ได้

“ใจเย็นๆก่อนลูก บางทีเขาอาจจะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นก็ได้”

“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้เข้าใจผิด คุณยายและคุณน้าหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาเกลียดหนู เกลียดพ่อ พวกเขาไม่เคยสนใจหนูเลยแม่ก็ไม่เคยสนใจ พวกเขาเกลียดเราค่ะพ่อ”


คุณทัตพลรับฟังบุตรสาวอย่างหดหู่ใจ สิ่งที่พิมพ์จันทร์เข้าใจไปนั้นไม่ผิดสักนิด คุณหญิงดวงแขไม่เคยชอบเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่กับพิมพ์จันทร์มันไม่ยุติธรรมกับเธอเลย สาวน้อยเกิดมาโดยไม่รับรู้ถึงเรื่องราวความผิดพลาดในอดีตอันเป็นบ่อเกิดของความเกลียดชังต่อตัวเธอ พิมพ์จันทร์เป็นเพียงผลพวงของการกระทำที่ขาดสติของคนบางคนเท่านั้นไม่ใช่ผู้ที่ต้องมาแบกรับผลกรรมจากการกระทำนั้น


ตั้งแต่แต่งงานไปกับแสงอุษาแม้มันไม่ได้เกิดจากความรักทั้งหมดแต่เขาก็รักและซื่อสัตย์ต่อหล่อนเพียงคนเดียว  ทั้งยังเฝ้าดูแลทำหน้าที่สามีและพ่ออย่างดีที่สุดเพียงเพื่อต้องการสมานรอยราวในอดีตให้แก่คนทั้งสองแต่ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นผู้เยียวยาในขณะที่คนอื่นๆเหมือนจะต้องการรื้อฟื้นอดีตขึ้นมาเพื่อสร้างความปวดร้าวได้ตลอดเวลา แสงอุษาจึงเป็นอย่างทุกวันนี้และพิมพ์จันทร์ก็เป็นอย่างที่เห็น คุณทัตพลตัดสินใจให้บุตรสาวอาศัยอยู่กับตนไปก่อนจนกว่าสาวน้อยอารมณ์ดีขึ้น



พิมพ์จันทร์ดูสดใสขึ้นมากเมื่อมีโอกาสได้อยู่กับพ่อเพียงลำพัง  การนอนค้างที่บ้านจันทบุรีทำให้สาวน้อยนอนหลับสนิทและไม่มีความฝันเลวร้ายเข้ารบกวนเหมือนคืนอื่นๆที่บ้านหลังใหญ่กลางกรุง มะม่วงต้นใหญ่ข้างบ้านออกผลสีเขียวสดน่ากิน  พิมพ์จันทร์เห็นมันตอนเช้าเมื่อลุกขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ฟอกปอดตั้งแต่ตะวันยังไม่พ้นเหลี่ยมโลก  


“พ่อค่ะ คุณมนคนที่พาพิมพ์มาส่งน่ะค่ะ เขาบอกว่าบ้านเขาอยู่ติดกับบ้านของเราหลังไหนเหรอค่ะ” พิมพ์จันทร์เอ่ยขึ้นหลังมื้ออาหารเช้า


“ข้างๆกันนี่แหละเดินตัดสวนมังคุดไปสักสองแปลงก็ถึงแล้ว”

“บ้านเขาทำสวนผลไม้เหรอคะ” สาวน้อยถามพรางใช้มือปาดยาหม่องนวดข้อเท้าที่แพลงมาตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนคุณทัตพลก็อ่านหนังสืออยู่ข้างๆกัน


“สวนผลไม้น่ะของยายเขา ชื่อยายสมรชอบเอามังคุดบ้างเงาะบ้างมาฝากพ่อประจำ เจ้ามนกับเจ้าเมืองก็นิสัยดีเรียนเก่งทั้งคู่”

“แล้ว พ่อ แม่เขาล่ะคะ”

“พ่อแม่เขาเป็นครู แต่เสียไปแล้วทั้งคู่ รถคว่ำตายพร้อมกันเลย” คุณทัตพลว่าพรางมีสีหน้าสลดลง

“อ้าว แล้วพวกเขาอยู่กันยังไงค่ะ ไม่ลำบากแย่เหรอ”

“ยายสมรน่ะมีสวนหลายร้อยไร่เหมือนกัน เงินบำเหน็จตกทอดจากพ่อแม่ก็ยังพอมี ญาติๆเขาก็ช่วยเหลือดูแลกันดีอยู่” พิมพ์จันทร์ฟังพรางพยักหน้าหงิกๆ นับว่าพวกเขายังโชคดีอยู่มาก


“เอ๊ะ คุณมนมีพี่น้องด้วยเหรอค่ะพ่อ”  

“มีน้องชายชื่อเมืองเอกคงจะอายุมากกว่าหนูสักปีได้มั่ง แต่เขาไม่ค่อยอยู่บ้านหรอกจะกลับมาก็เฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น”

“ทำไมล่ะค่ะ”

“เขาเรียนอยู่โรงเรียนนายร้อยเตรียมทหาร นครนายกโน้น เลยต้องอยู่หอพักประจำ”

“แล้วคุณมนล่ะค่ะ” สาวน้อยซักไซ้เจื้อยแจ้วเหมือนเด็กๆ

“นายมนเขาอายุมากกว่าหนูสักสองได้มั่งเจ้านี่น่ะอยากเรียนหมอปีนี้ก็จะสอบเข้ามหาลัยแล้ว เห็นอ่านหนังสือกันเครียดเลย แล้วหนูล่ะคิดไว้รึยังว่าอยากเรียนอะไร” คุณทัตพลวางมือไปบนหัวบุตรสาวเบาๆมองสาวน้อยตรงหน้าไม่ต่างไปจากเด็กหญิงพิมพ์จันทร์ในอดีต


“หนูอยากเรียนสถาปัตย์ค่ะ แต่หนูไม่เก่งคณิตศาสตร์เลยไม่รู้ว่าจะสอบได้รึเปล่า”

“ถ้าเราตั้งใจเสียอย่างทำไมจะทำไม่ได้ ลูกสาวพ่อน่ะทำได้อยู่แล้ว” คุณทัตพลยีหัวบุตรสาวเบาๆ สาวน้อยยิ้มเห็นฟันขาวแวววาวเรียงสวย เป็นรอยยิ้มที่คนในบ้านใหญ่กลางกรุงไม่เคยเห็นและคงไม่มีโอกาสได้เห็นง่ายๆ


“เออ...พ่อคะมะม่วงข้างบ้านเราน่ะ หนูเห็นออกผลเต็มต้นเลย หนูเอาไปทำน้ำปลาหวานกินได้มั้ยคะ”

“เอาสิลูกแต่ไม่ต้องเผื่อพ่อน่ะมันเปรี้ยวจนพ่อไม่กล้ากัดด้วยซ้ำกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะเอาไปฝากบ้านเจ้ามนเขาซะหน่อย ไหนๆหนูทำน้ำปลาหวานแล้วก็เอาไปฝากพี่เขาหน่อยแล้วกันถือว่าขอบคุณที่เขาพาเรามาส่งเมื่อวานไง”  


“ค่ะพ่อ” รับคำดังนั้นสาวน้อยก็รีบจัดการธุระทันที


พิมพ์จันทร์ใช้ตระกร้อหวายสอยมะม่วงอย่างคล่องแคล้วแม้จะไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อคิดว่าเจ้ามะม่วงนี้แหละจะทำให้เธอได้เจอกับมณฑลอีกครั้งอะไรๆที่ไม่เคยทำก็ดูจะทำได้ง่ายดายไปเสียหมด  มะม่วงแรดผลใหญ่แค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอได้ไม่ยาก กินกับน้ำปลาหวานยิ่งเพิ่มความอร่อย ยิ่งถ้ามีเพื่อนกินดีๆสักคนคงดีไม่น้อย


พิมพ์จันทร์รีบเตรียมน้ำปลาหวานด้วยการละลายน้ำตาลปี้ปกับน้ำปลาบนไฟเคี้ยวจนข้นเหนียวสูตรพิเศษของพ่อเธอต้องใส่กะปิลงไปด้วยจากนั้นก็ใส่หอมแดง กุ้งแห้งป่น  พริกป่นและพริกขี้หนูซอยลงไปเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย น้ำปลาหวานสูตรเด็ดของคุณทัตพลที่ทำกินกันเป็นประจำจนพิมพ์จันทร์ทำได้คล่องแคล้ว


สาวน้อยตักน้ำปลาหวานใส่ถ้วยกระเบื้องปิดฝาใส่ตะกร้าที่มีมะม่วงอยู่ข้างในแล้ว  หิ้วตะกร้าเดินลัดสวนมังคุดไปไม่ไกลก็แลเห็นบ้านไม้เรือนไทยโบราณตั้งเด่นอยู่  แต่เมื่อจะเดินเข้าไปกลับได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องเรียกมาจากด้านหลัง


“จะไปไหนเหรอคุณพิมพ์” เสียงทุ้มนุ่มของมณฑลทำให้พิมพ์จันทร์จำได้ในทันที

“ตั้งใจว่าจะเอามะม่วงน้ำปลาหวานไปฝากคุณมนที่บ้านค่ะ มะม่วงที่บ้านออกเยอะเลยจะเอาไปขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อวานเสียหน่อย ไม่คิดว่าจะเจอคุณมนในสวนอย่างนี้”


“มะม่วงน้ำปลาหวานเหรอ น่าอร่อยแฮะ” ไม่เพียงพูดคนพูดยังเดินวนไปชะเง้อมองในตะกร้าอีกด้วย

“อร่อยค่ะ น้ำปลาหวานสูตรเด็ดคุณพ่อ พิมพ์ทำเอง”

“งั้นกินเลยนะกำลังง่วงกินอะไรเปรี้ยวๆคงตาสว่างขึ้นเยอะ” หนุ่มน้อยพูดจาสนิทสนมไม่มีท่าทางเคอะเขินสักนิด

“จะกินกันในสวนนี่เลยเหรอค่ะ” พิมพ์จันทร์ร้องขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นมือมารับตะกร้าไปหิ้วเอง

“อือ...หรือคุณพิมพ์จะว่าไง” หนุ่มน้อยช้อนสายตามองอีกฝ่าย พิมพ์จันทร์รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อสบพบเข้ากับดวงตาสีนิลคู่นั้น

“เปล่าค่ะ...ว่าแต่คุณมนมาทำอะไรในสวนค่ะ”

“อ่อ...คุณมนมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ” ถ้อยคำเรียกแทนตัวเองก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยนต่อคนฟังเป็นอย่างมาก มณฑลเดินนำหน้าสาวน้อยไปแล้วจึงหาที่เหมาะๆปูเสื่อที่ตัวเองนำมานอนอ่านหนังสือลงใต้ต้นมังคุดอีกครั้ง พิมพ์จันทร์ตามไปนั่งลงใกล้ๆ หยิบมะม่วงออกมาปอกเปลือก มณฑลเป็นฝ่ายหยิบถ้วยน้ำปลาหวานออกมาเปิดฝารอ


“คุณพิมพ์เป็นลูกสาวคุณอาทัตพลแต่ทำไมคุณมนไม่เคยเห็นเลยล่ะ” หนุ่มน้อยพูดขึ้นหลังจากโยนมะม่วงน้ำปลาหวานเข้าปาก

“คุณพิมพ์อยู่กับแม่ที่กรุงเทพค่ะจะมาหาพ่อก็เสาร์อาทิตย์หรือว่าวันหยุดเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยหรอกค่ะ เพราะไม่มีใครมาส่งบ้าง คุณพ่อไม่ว่างไปรับบ้าง”

“อ้าวแล้วทำไมครั้งนี้ถึงมาเองได้ล่ะ” ด้วยความเป็นคนที่พูดง่ายอัธยาศัยดีจึงทำให้มณฑลคุยกับพิมพ์จันทร์ได้ง่ายขึ้น

“ครั้งนี้อยากมาเองบ้าง” พูดเสร็จพิมพ์จันทร์ก็หย่อนมะม่วงเข้าปากตัวเองบ้าง แต่เพราะสาวน้อยจิ้มน้ำปลาหวานมากเกินไป เสื้อเชิ้ตลายสก็อตเลยเปื้อนน้ำปลาหวานที่หยดใส่


“อ้าวเสื้อเลอะเลย คุณมนค่ะคุณพิมพ์ขอไปล้างเสื้อหน่อยนะค่ะเดี๋ยวเหม็นคาวน้ำปลาแย่” หนุ่มน้อยพยักหน้าให้พิมพ์จันทร์จึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังทางกลับบ้าน


“คุณพิมพ์เดินไปท้ายสวนก็ได้ไม่ไกลมากมีห้องน้ำอยู่สะอาดใช้ได้คุณมนก็ใช้ที่นั่น ดีกว่าเดินกลับไปที่บ้านใกล้กว่ากันเยอะ” พิมพ์จันทร์จึงวกกลับเดินไปทางท้ายสวนแทน

              ###########----------------#############

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะค่ะ นิยายเรื่องนี้อาจจะดูเครียดๆไปสักนิดแต่จริงๆแล้วไม่ได้หนักมากนะค่ะ พยายามสอดแทรกฉากหวานๆลงไปจะได้ดูเบาลงบ้าง  ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านอีกครั้งค่ะ
@คุณ kdunagin พิมพ์จันทร์น่าสงสารค่ะ แค่เธอไม่ใช่นางเอกที่แสนดีแน่นอน
@คุณ เด็กใต้..ตัวดำ ขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่านค่ะ
ขอบคุณสำหรับกิ๊ฟจากคุณ kdunagin  Psycho man  Psycheza

แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 55 19:48:54

จากคุณ : idakok
เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 15:56:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com