Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 3 “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่  1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html
ตอนที่  2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 3 “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน”

ในเช้าวันต่อมาบนเตียงนอนที่บ้านของผม หลังจากผ่านค่ำคืนที่ดูเหมือนยาวนานมากคืนหนึ่ง.....................................

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการไม่ค่อยแน่ใจ ผมกวาดตามองไปรอบๆ มองไปมองมาจนแน่ใจ แล้วก็ต้องยอมรับว่า มันไม่ใช่แค่ความฝัน หน่องไปอยู่ที่ศิริราชแล้วจริงๆ หดหู่นิดหน่อย แต่เราก็ต้องอยู่กับความจริงใช่ไหม  สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือเดินหน้าต่อไปเท่านั้น  ผมสั่งให้ตัวผมลุกขึ้นมาจากเตียง อาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวไปศิริราช  ลองดูว่ามีอะไรที่พอจะนำติดตัวไปได้บ้าง ที่เป็นของใช้ส่วนตัวของหน่อง เช่น กิ๊บติดผม หวี ครีมทามือทาหน้าต่างๆ  ปากกา สมุดจดโน้นจดนี่ของหน่อง หนังสือ Sudoku เกมส์โปรดของหน่อง   ระหว่างที่ลองค้นๆดูอยู่นั้นผมก็ไปสะดุดเจอกับที่ตรวจครรภ์ที่หน่องเก็บไว้อย่างดี มันเป็นที่ตรวจครรภ์ที่เราใช้เพื่อตรวจวัดผลการตั้งท้องด้วยตัวเอง มันทำให้ผมนึกถึงวันนั้นวันที่ทำให้เราได้รู้ว่าหน่องตั้งครรภ์มาแล้ว 5 สัปดาห์

เช้าของวันนั้นหน่องมาบ่นว่าประจำเดือนหน่องไม่มาสักที เป็นอาทิตย์แล้วนะ ตัวผมเองเฉยๆนะเพราะประจำเดือนของหน่องมักจะเลื่อนบ่อยๆ มาไม่ค่อยตรงซักเดือน จากที่ผมเคยตื่นเต้นว่าหน่องอาจจะท้องในช่วงแรกๆ ก็เริ่มกลายเป็นความเคยชิน และเป็นเรื่องปกติในทุกๆเดือนไปโดยปริยาย แต่แน่นอนหน่องยังคงตื่นเต้นเหมือนเดิม

“ไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจกันไหม”   หน่องถามด้วยตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง

“เอาซิ เย็นนี้ไปซื้อกัน จะได้มาลุ้นไปพร้อมๆกัน”   ผมบอกไปยิ้มไป

เราสองคนแต่งงานกันมาสามปีแล้ว ก็น่าจะถึงเวลาที่จะมีตัวน้อยๆ กับเขาสักที เพราะเราทั้งคู่ยังมีความสุขในแบบของเรา เราคิดกันเสมอว่าถึงเวลาถ้าเค้าจะมาเค้าก็มาเอง พวกเราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง  ก็แค่พอประจำเดือนมาไม่ตรงก็อดไม่ได้ที่จะต้องมาตรวจครรภ์เองทุกที เป็นที่รู้กัน ................. แต่คราวนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆมา .........................

“พี่ตี้ หน่องท้อง” หน่องยิ้มแฉ่งบอกผมหลังจากที่หน่องใช้ที่ตรวจครรภ์มาทดสอบ

“แน่นะ” ผมตอบด้วยความไม่แน่ใจ เพราะว่าครั้งที่แล้ว ก็เหตุการณ์เดียวกันนี่ละ เห็นเป็นแถบจางๆเกิดขึ้นบนที่ตรวจครรภ์ ทำเอาตื่นเต้นกันยกใหญ่ว่า หน่องท้องแน่ๆเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่

ผมหยิบที่ตรวจครรภ์ขึ้นมาดู คราวนี้หนังคนละม้วนเลย มีแถบสีปรากฏชัดเจนมากๆ 2 แถบ

“ชัวร์หน่อง” ผมยิ้มแป้นเลย

“แถบชัดขนาดนี้  หน่องไปคิดมาเลยว่าจะฝากครรภ์กับคุณหมอคนไหนจะดีกว่านะ” ผมยิ้มอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ

“ถ้าท้องแล้วพอตรวจก็จะเห็นเป็น 2 แถบชัดเจนอย่างนี้นี่เอง ไม่เห็นต้องลุ้นอย่างที่ผ่านๆมาเลย” หน่องแสดงความคิดเห็น แล้วเราทั้งคู่ก็ยิ้มๆปนขำๆกับการลุ้นผลที่ผ่านมาของเราจริงๆ  ก่อนหน้านั้นเวลาตรวจแล้วเห็นแถบสีแรกชัด แต่อีกแถบจะจางมากๆ เราทั้งคู่ก็มักจะประเมินไปว่า ไม่แน่นะอาจจะท้องก็ได้ และก็จะมีการไปลองตรวจอีกรอบ ซึ่งผลก็คงเหมือนเดิมคือ เห็นเป็นแถบสีจาง ๆ นะ  แต่ความจริงแล้วไม่ต้องพิจารณาวิเคราะห์อะไรมากมาย ถ้าท้องมันจะแสดงแถบสีทั้ง  2 แถบ ชัดมากๆ ไม่มีคลุมเครือ แหม! ก็คนมันไม่มีประสบการณ์นี่นา

เสียงหัวเราะในวันนั้นยังก้องอยู่ในความรู้สึกของผมอยู่เลย แต่รอยยิ้มของผมก็หยุดลงแค่นี้ เพราะนั่นมันเป็นเหตุการณ์เมื่อ 5 เดือนก่อน ตอนนี้หน่องอยู่ที่โรงพยาบาลกำลังประคับประคองลูกน้อยให้ปลอดภัยอยู่ หน่องกำลังสู้ ผมจะมามัวแต่อมยิ้มอะไรอยู่นี่ ว่าแล้วผมก็รีบเก็บของที่ผมจะเอาไปโรงพยาบาลด้วยใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย

“โทรไปลางานให้หน่องก่อนดีกว่า”  ผมคิดในใจ

ผมหยิบโทรศัพท์ที่หน่องฝากผมไว้ก่อนเข้าห้องคลอดพิเศษออกมา และโทรตรงไปหาหัวหน้าของหน่องเองเลย อธิบายอย่างคร่าวๆว่า หน่องมีอาการท้องแข็งมากและมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนดด้วย เมื่อคืนต้องเข้าพักรักษาตัวที่ศิริราชกะทันหัน เลยจะขอลาหยุดหนึ่งวัน พร้อมกับลาหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ไปเลย โดยที่ผมบอกว่า หน่องน่าจะกลับมาทำงานได้หลังสงกรานต์ ซึ่งหัวหน้าหน่องเข้าใจดีมาก บอกผมชัดเจนเลยว่า

“ฝากบอกหน่องด้วยนะครับว่า ดูแลตัวเองและลูกก่อน เรื่องอื่นยังไม่ต้องไปคิด หายแล้วค่อยกลับมาทำงาน”หัวหน้าหน่องบอก

ฟังแล้วก็โล่งใจไปได้หน่อย อย่างน้อยทางหัวหน้าหน่องก็เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ได้กดดันในเรื่องงานที่ยังค้างคาอยู่ของหน่อง จากนั้นผมก็โทรไปขอลาหนึ่งวันกับที่ทำงานผมเองเช่นกัน มันเป็นวันสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่วันหยุดยาว คงไม่มีปัญหาอะไร น้องๆในทีมพอทราบข่าวก็ดีมาก รีบขับไล่พี่ตี้ทันทีว่า ไม่ต้องมาทำงาน พวกเราดูแลกันเองได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงพวกหนูจัดการเองได้  พอได้ฟังแบบนี้ก็สบายใจขึ้นมาอีกหน่อย เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมตอนนี้ คือ การไปหาหน่องที่ศิริราช แม้จะไม่รู้เลยว่าจะได้มีโอกาสเข้าไปเจอหน่องอีกตอนไหน แต่อย่างน้อยก็คงได้ทราบความคืบหน้าอาการของหน่องหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน

“กินก่อน แล้วค่อยไปนะ” คุณแม่ผมบอกเมื่อเห็นผมลงมาจากห้องนอน

ผมก็ปฏิบัติตามคุณแม่แต่โดยดี นี่ละคุณแม่ผม ท่านจะคอยให้กำลังใจสนับสนุนผมเสมอ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป

แปดโมงเช้าผมไปถึงที่ศิริราช ผมก็ตรงไปที่อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์และขอเข้าไปเยี่ยมหน่องทันที ทีแรกผมคิดว่าคงต้องรออยู่หน้าห้องนานแน่เลย แต่ผิดคาด โชคดีจริงๆ พยาบาลอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เลย ผมก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าเข้าไปหาหน่องเหมือนเมื่อวานนี้  แปลกใจนิดหน่อย เพราะผมเจอส้ม เพื่อนสนิทหน่องนั่งคุยกับหน่องอยู่แล้ว

“อ้าว! เข้ามามากกว่าหนึ่งคนได้ด้วยหรือ”  ผมนึกในใจ

แต่ผมก็ดีใจนะที่หน่องได้เจอเพื่อนของหน่องได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกัน วันนี้หน่องดูดีขึ้น คุยเล่นกับส้มได้เหมือนปกติ เป็นสัญญาณที่ดี เพราะจริงๆแล้วผมยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือสาเหตุของการที่หน่องปวดท้อง จนทำให้หน่องต้องเข้ามาพักรักษาตัวที่นี่ สุขภาพของหน่องเอง หรือครรภ์เป็นพิษ หรือท้องเสีย หรืออะไรกันที่เป็นสาเหตุกันแน่  รู้แต่ว่าหน่องต้องพักผ่อนเยอะๆ และต้องไม่เครียดจนเกินไป

วันนี้หน่องยังคงอยู่ในท่าเดิม หัวเตียงถูกยกขึ้นมาประมาณ 30 องศา ยังคงมีการให้ยาลดการหดรัดของมดลูกทางสายน้ำเกลืออยู่ พร้อมๆกับมีเครื่องวัดอาการเกร็งรอบๆท้องหน่องเช่นเดิม แม้หน้าตาจะยังดูซีดๆแต่ก็ดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้  อาการปวดท้องก็ดีขึ้นแล้ว มีอาการท้องแข็งแต่ก็ไม่ถี่มาก ทุกๆอย่างดูดีขึ้นมาก ส้มซื้อหนังสือเกี่ยวกับลูกมาให้หน่องอ่านด้วย ก่อนจะลากลับไป

“พี่พักผ่อนพอไหม ไม่ต้องรีบมาก็ได้ ไม่ไปทำงานเหรอ”   หน่องถามติดๆ กัน

“หน่องเป็นแบบนี้ยังให้พี่ไปทำงานอีกหรือ”   ผมถามกลับ

“พี่ไปทำงานเถอะ หน่องสบายดีแล้ว”   หน่องยังยืนยัน

“ไม่เป็นไร วันนี้งานไม่ยุ่ง”   ผมรีบสรุป

“เมื่อคืนหลับสบายไหม”   ผมถามต่อ

“ก็ได้หลับนะ แต่พยาบาลเข้ามาตรวจทุกๆระยะเลย ก็เลยมีตื่นบ้าง แต่ก็ยังพอหลับต่อได้”   หน่องบอก

“นี่ หน่องดีขึ้นเยอะเลย เห็นไหม ไม่มีอาการปวดถี่ๆเหมือนเมื่อวานแล้ว”   หน่องรีบบอกอาการตัวเองให้ผมฟัง ซึ่งพอได้ยินแบบนี้จากปากของหน่องเองทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย

“วันนี้เป็นวันทำงานนี่ หน่องยังไม่ลางานเลย มีอีกหลายเรื่องที่หน่องควรจะจัดการก่อนเข้าสงกรานต์” จากนั้นหน่องก็เล่าเรื่องงานที่ต้องเตรียม กระบวนการต่างๆ กลุ่มคนที่หน่องกำลังประสานงานด้วย ข้อมูลที่หน่องจะนำไปใช้เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น หน่องเล่าให้ผมฟังชุดใหญ่ ผมรู้สึกเลยว่าหน่องนี่ พอพูดถึงเรื่องงานนี่จริงจังทุกที ก็มันเป็นสิ่งนี่หน่องรัก เป็นสิ่งที่หน่องสนุกกับมัน มันคงไม่แปลกที่หน่องอยากทำออกมาให้มันดีและมีคุณภาพ ผมก็เริ่มนึกในใจเลยว่า “หน่องคนเดิมกลับมาแล้ว” :)

แต่พอหน่องเริ่มเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างเมามัน ผมก็สังเกตเห็นตัวเลขแสดงอาการมดลูกบีบตัวของหน่องบนจอ Monitor มันสูงขึ้นอย่างชัดเจน จากปกติตัวเลขอยู่ไม่เกิน 20 ก็ไต่ระดับขึ้นไปเป็น 80 อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

“หน่องท้องแข็งแล้วใช่ไหม”   หน่องถามผมเพราะหน่องเองคงรู้สึกถึงอาการที่ไม่ปกติของตัวเองเช่นกัน

“ไม่เป็นไรนะ นานๆเป็นที ไม่ได้เป็นถี่ๆนี่”   ผมบอกหน่องเพื่อให้หน่องไม่ต้องกังวลใจมากเกินไป

“หน่องรู้สึกไหมว่าท้องแข็ง”   ผมรีบถามกลับโดยที่ผมพยายามทำสีหน้าให้ดูปกติให้มากที่สุด

“ก็รู้นะ เพราะเวลาท้องแข็งแบบนี้รู้สึกได้เลย มันแข็งโป๊กขึ้นมาทั้งหมด ไม่ได้แข็งเป็นบางจุด ตอนคุยกับส้มเมื่อกี้ก็เป็น”   หน่องตอบด้วยสีหน้าที่มีความกังวล

“แต่ก็มีข้อดีนะ เพราะหน่องพอจับได้แล้วว่าท้องแข็งแบบไหนถึงจะรู้ว่ามันอันตราย และต้องระวังตัวมากหน่อย”   ผมพูดให้กำลังใจหน่อง

“ทำใจสบายๆ ไม่ต้องกังวลหรอก เมื่อวานสาหัสกว่านี้เยอะไม่ใช่เหรอ”   ผมบอกหน่องด้วยรอยยิ้มและหน่องก็ยิ้มกลับในท่าทีที่เห็นด้วยกับผม

ที่ผมต้องถามหน่องแบบนี้เพราะอาการท้องแข็งไม่ได้หมายความว่าถ้าคุณท้องแข็งก็จะเป็นอันตรายนะครับ จริงๆแล้วการท้องแข็งมีหลายแบบตั้งแต่  

         1. ท้องแข็ง เพราะลูกในท้อดิ้น

         2. ท้องแข็ง เพราะอิ่ม  

         3. ท้องแข็ง เพราะมดลูกบีบตัว

ซึ่งในกรณีของท้องแข็งเพราะมดลูกบีบตัวครับที่อันตราย หน่องเองก็อยู่ในข่ายนี้ เคยมีอยู่วันนึงก่อนหน้านี้ไม่นาน ที่บ้านผมเอง หน่องได้เล่นกับอาการท้องแข็งโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเราไม่ได้รู้เลยว่าการท้องแข็งแบบนี้มันกำลังแสดงถึงภัยบางอย่างที่กำลังจะมาเยือน

ตั้งแต่หน่องเริ่มตั้งครรภ์มาหน่องจะกินค่อนข้างเก่ง กินเยอะ และกินอร่อย หลังจากกินเสร็จหน่องก็มักจะไปนั่งพิงเก้าอี้และนั่งคุยกันเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ของหน่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ผมฟัง....ในวันนั้นหน่องจะลุกจากเก้าอี้ และในจังหวะที่ลุกขึ้นมามันต้องมีการเกร็งหน้าท้องเผื่อพยุงตัวให้ลุกขึ้น พอหน่องเกร็งท้องปั๊บหน้าท้องหน่องมีอาการหดตัวกลายเป็นกระจุกรูปสามเหลี่ยมแบบช็อคโกแลตท๊อปบาโลนบนหน้าท้องของหน่องขึ้นมา

“พี่ตี้ๆ มาดูท้องหน่องซิ พอหน่องเกร็งตัวขึ้นมา ท้องกลายเป็นรูปสามเหลี่ยมแบบช็อคโกแลตท๊อปบาโลนเลย  ดูนะจะทำให้ดู”   หน่องบอกผมด้วยความตื่นเต้นโดยไม่ได้คิดว่าเป็นอันตรายใดๆ คิดแค่ว่ากินอิ่มเกินไปซะมากกว่า

วันนั้นหน่องทำท่าสามเหลี่ยมให้ผมดูอยู่หลายรอบพอสมควรเลย เพราะมันเป็นอะไรที่แปลกดี เกร็งหน้าท้องขึ้นมากลายเป็นรูปสามเหลี่ยมเฉยเลย วันนั้นก็รู้สึกขำดีนะ แต่มาวันนี้ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นตลกที่ไม่ค่อยตลกเอาเสียเลย ซึ่งในวันนั้นถ้าเรามีความรู้เรื่องของอาการท้องแข็งเพียงพอและรับรู้ถึงอันตรายของมัน เราคงจะระมัดระวังหลายสิ่งหลายอย่างให้มากกว่านี้ ดังนั้นถ้าหน่องเริ่มรู้แล้วว่าแบบไหนที่ไม่เป็นอันตราย หน่องจะได้ไม่ตกอกตกใจไปกับมัน หรือถ้าอาการท้องแข็งแบบไหนจะเป็นอันตราย หน่องก็จะได้ระมัดระวังมากขึ้นไปด้วย

“หน่องต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ยังไม่ต้องคิดเรื่องงาน”   ผมรีบกำชับ

“ผมโทรไปลาให้แล้วด้วยนะ หัวหน้าหน่องเค้าบอกด้วยว่า ให้รักษาตัวเองก่อนไม่ต้องห่วงเรื่องงานหัวหน้าคุณดูใจดีนะ เป็นห่วงลูกน้องดี”   ผมบอก

“หน่องโชคดีจัง ที่มีเจ้านายที่ดี แต่เดี๋ยวหน่องก็สามารถไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวงานไม่ต่อเนื่อง นี่หน่องก็ไม่เป็นอะไรมากแล้วนะ”   หน่องยังตอบอย่างเป็นห่วงงาน

ผมคิดในใจว่า หน่องนี่ ห่วงเรื่องอื่นมากกว่าห่วงตัวเองอีกแล้ว

“คุณหมออนุวัฒน์มาดูอาการหน่องเป็นระยะๆเลย”   หน่องบอกด้วยความชื่นชม

“คุณหมอดุหน่องด้วย ให้พักผ่อนมากๆ อย่าเครียด”   หน่องเล่า

คุยกันอยู่เกือบ 15 นาที ผมก็เห็นว่า ควรจะออกไปรอข้างนอกแล้ว

“พี่ต้องออกไปแล้วนะ เดี๋ยวอยู่นานเกินไปพยาบาลจะมาเชิญให้ออก ทำตัวดีๆไว้ก่อนจะได้เข้ามาเยี่ยมหน่องบ่อยๆ”   ผมบอกหน่องให้เข้าใจ ซึ่งหน่องก็เห็นด้วย

“เดี๋ยวหน่องก็ต้องนอนพักเหมือนกันจะได้หายไวๆ”   หน่องบอก

ผมยิ้มให้หน่องอย่างเห็นด้วยที่สุดกับสิ่งที่หน่องพูด

“ไปนะ พี่อยู่ด้านนอกนี่เองล่ะ มีอะไรบอกพยาบาลตามพี่ได้เลย”   แล้วผมก็ออกจากห้องที่หน่องพักอยู่

พอผมเดินออกมาก็เริ่มสังเกตเห็นว่า วันนี้มีคนเยอะจังรออยู่ด้านนอกแสดงว่ามีคนมาคลอดเยอะแน่ๆ  วันนี้คราวนี้ผมรู้งานรีบไปหาซื้อของกินตุนไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่า จะได้เจอหน่องเมื่อไร ผมเองคงไม่เสี่ยงลงมาหาของกินแล้วถ้าเกิดมีจังหวะ ทางพยาบาลอนุญาตให้เยี่ยมหน่องได้ แล้วผมมัวแต่ไปหาของกินแล้วอดเยี่ยม ผมคงเสียใจแน่ๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในวันนี้คือ รออยู่ตรงนั้นละ ไม่ต้องไปไหน จะไปก็ไปตอนนี้เลยเพราะพึ่งเยี่ยมหน่องออกมาเอง

และก็เป็นดังคาด ผมรอยาวเลยครับอาจจะรอนานกว่าที่ผมคิดด้วยซ้ำ ทีแรกผมคิดว่าไม่เกินสองชั่วโมงก็คงได้เยี่ยมอีกทีแต่รอจนถึงบ่ายสามก็ยังไม่ได้เยี่ยมอีกเลย คุณแม่หน่องมาเยี่ยมด้วยแต่เข้าไปไม่ได้ ได้แต่ฝากอาหารที่คุณแม่หน่องปรุงเองกับมือ เป็นเมนูโปรดของหน่องด้วย ใช้อาหารเป็นตัวแทนคุณแม่เข้าไปก่อน หน่องจะได้กินอาหารอร่อยๆในเวลากลางวัน แต่คุณแม่ก็ไม่ได้อยู่เจอหน้าหน่อง เพราะคุณแม่ต้องรีบกลับไปทำงาน

ผมบอกคุณแม่หน่อง “หน่องดูโอเคขึ้นแล้วครับ ไม่ต้องห่วง และวันนี้ผมก็ลาทั้งวัน มีอะไรจะรีบโทรไปบอกคุณแม่แน่นอน”

แม้ว่าผมจะรออยู่ด้านนอกค่อนข้างนาน แต่สถานที่นั่งรอนั้น ทางศิริราชได้จัดไว้ค่อนข้างดี มีที่นั่งให้นั่งราวๆ 20 ที่นั่งได้ แถมติดแอร์และมีทีวีแบบแขวนเอาไว้ให้ชมด้วย มันเลยเป็นการรอคอยที่ไม่ได้น่าเบื่อสักทีเดียว แต่มีรายการอะไรก็ต้องดูเลือกไม่ได้เท่านั้นเอง ก็รับได้ครับ เพราะสิ่งที่ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะหน่อง ไม่ใช่มานั่งดูรายการทีวี

วันนี้คนค่อนข้างเยอะ มีคนมาคลอดหลายคน ที่นั่งที่ทางศิริราชจัดเตรียมไว้เลยค่อนข้างแน่น ผมได้เห็นความปลื้มปิติยินดีของคนรอบๆข้างเหมือนเดิม ก็รู้สึกดีไปกับครอบครัวเหล่านั้นด้วยเช่นกัน มากันหมด ทั้งป่าป๊า อาม่า อากง อาแปะ อาโกว เต็มไปหมด เห็นแล้วก็น่ารักดี กำลังใจล้นหลามเลย และในขณะที่ผมรออยู่นั้นคุณหมออนุวัฒน์ก็เดินออกมาพอดี คุณหมอพึ่งทำคลอดคุณแม่ท่านนึงเสร็จ ก็เดินออกมาบอกข่าวดีกับสามีและญาติๆที่รอกันอยู่ พอคุณหมอคุยกับทางครอบครัวนั้นเสร็จ ก็เดินมาทางผมเพื่อมาอธิบายอาการของหน่อง

“ตอนนี้ไม่ต้องห่วงนะ ปลอดภัยแล้ว” คุณหมอบอก

“เมื่อวานนี้คุณแม่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงในลักษณะที่เหมือนกับคนท้องใกล้คลอด เป็นอาการมดลูกหดรัดตัวซึ่งมีผลให้มดลูกเคลื่อนต่ำลงมา ยิ่งต่ำลงมามากเท่าไร ปากมดลูกก็จะบางลงเรื่อยๆ ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น” คุณหมออธิบายลักษณะอาการของหน่องให้ฟัง

“และถ้าปากมดลูกบางลงเต็มที่และพร้อมที่จะให้ทารกผ่านออกมาได้  ปากมดลูกจะเปิดออก  การเปิดของปากมดลูกจะอธิบายในลักษณะของเซนติเมตร ตั้งแต่ 1-10 เซนติเมตร หากปากมดลูกเปิด 10 เซนติเมตรหมายความว่าเปิดเต็มที่พร้อมให้ทารกผ่านออกมาได้” ผมฟังอย่างตั้งใจ

“ตอนนี้ต้องหยุดไม่ให้ปากมดลูกบางลงไปกว่านี้ โดยให้ยาลดอาการเกร็งของมดลูกไปแล้ว และถ้าอาการยังอยู่ลักษณะนี้ สามวันก็น่าจะกลับบ้านได้ยังไงหมอขอดูอาการอีกหนึ่งวันนะ” คุณหมอบอก

“สาเหตุเกิดจากอะไรครับ” ผมอยากรู้

“เราตรวจหมดทุกอย่างเลยนะ ทั้งตรวจวัดระดับน้ำตาล การทำอัลตราซาวด์เพื่อตรวจขนาดและอัตราการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์  ตรวจดูกิจกรรมของทารกในครรภ์ เช่น การหายใจ การเคลื่อนไหว และปริมาณของถุงน้ำคร่ำทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติหมด” คุณหมอตอบ

“ดังนั้นน่าจะเกิดจากความกังวลใจ ความเครียดที่ไปมีผลต่อคุณแม่โดยตรง”  ผมฟังคุณหมออธิบายอย่างตั้งใจ

“ถ้าคุณพ่อไม่พาคุณแม่มาเมื่อคืนนี้  ....................................” คุณหมอกำลังจะบอกประเด็นสำคัญบางอย่างกับผม

“ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน น้องก็คงไม่อยู่แล้ว”  คุณหมอสรุปตรงประเด็น

“ ............................. ”  ผมเงียบกริบ ถึงสิ่งที่คุณหมอบอกถึงความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นกับหน่องเมื่อวานนี้

“มันเป็นความเครียดความกังวลใจที่เกิดขึ้น โดยคุณแม่อาจจะไม่รู้ตัว” คุณหมออธิบาย

สีหน้าของผมคงแสดงความกังวลอย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไร อย่าพึ่งกังวลไปอีกคน ตอนนี้ต้องให้พักผ่อนเยอะๆ มีการ monitor อัตราการเกร็งของมดลูกโดยตลอด”  คุณหมอให้กำลังใจ

“ขอบคุณครับ” ผมตอบ

“วันนี้มีคนมาคลอดค่อนข้างเยอะ อาจจะต้องรอนานหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการรบกวนคุณแม่ที่ต้องคลอดแบบธรรมชาติที่นี่” คุณหมออธิบาย

“รอหน่อยนะ เดี๋ยวคงได้เข้าไปเยี่ยม” คุณหมอยิ้มให้กำลังใจ และขอลาไปดูคนไข้รายอื่นต่อไป

คุณหมอเดินจากไป แต่ผมยังคงนิ่งเงียบ “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน น้องก็คงไม่อยู่แล้ว“  ประโยคนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวของผม ถ้าเมื่อวานนี้ ผมไม่ตัดสินใจโทรหาหมอและให้รีบมาที่ศิริราชโดยด่วน ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆว่า วันนี้มันจะเป็นยังไง ผมกับหน่องจะเสียใจแค่ไหนกัน เราไม่พร้อมที่จะสูญเสียลูกไปแบบนั้น มันคงจะเป็นเหตุการณ์ที่เราทั้งคู่รับไม่ได้แน่ๆ

แต่ผมเองยังคงไม่เข้าใจและค่อนข้างสับสนว่าหน่องจะเครียดอะไร ผมดูแลไม่ดีเหรอ หน่องเก็บกดอะไรที่บ้านผมหรือเปล่า หน่องมีอะไรไม่พอใจแต่ไม่กล้าบอกหรือยังไง มันจะเครียดอะไรได้ขนาดที่มีผลต่อลูกโดยตรงได้ ตอนนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเป็นไปได้ยังไง จากผู้หญิงที่ร่าเริง เพื่อนเยอะ ช่างคุย มนุษย์สัมพันธ์ดี ทำงานก็รับผิดชอบดี จะกลายเป็นคนไข้ในห้องคลอดพิเศษอย่างตอนนี้ได้ยังไง ผมเองจะไม่แปลกใจเลยถ้ามันเกิดจากกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันทั่วไปของหน่อง

อย่างที่ผมเคยเห็นอยู่ครั้งนึงจะๆก็จะเป็นวันที่รถติดมากๆ ผมไม่สามารถฝ่ารถติดไปรับหน่องถึงอโศกได้ เราก็จะตกลงกันว่าให้ผมมารับที่ จามจุรีสแควร์แทน หน่องจะนั่งรถไฟใต้ดินมาโดยที่ผมจะยืนรออยู่ตรงทางออกของรถไปใต้ดินเพื่อช่วยถือของให้หน่อง วันนั้นในจังหวะที่หน่องออกจากตัวรถไฟและขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วและกำลังเดินตรงมาที่ทางออกที่ผมยืนรออยู่ หน่องบังเอิญเหลือบไปเห็นเพื่อนสมัยเรียนโดยบังเอิญ เพื่อนของหน่องคนนั้นกำลังเดินสวนไปที่บันไดเลื่อนเพื่อลงไปขึ้นรถไฟ หน่องก็รีบเรียกเพื่อนคนนั้นทันที

“ยุ้ยๆ” หน่องเรียกเพื่อนหน่องที่กำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอย่างเมามันในสาย โดยที่ไม่ได้ยินเสียงเรียกของหน่องเลย

หน่องก็เรียกอีกหลายหน เพื่อนหน่องก็ไม่ได้ยินแถมค่อยๆเดินไกลออกจากหน่องไปเรื่อยๆจนเกือบจะลงบันไดเลื่อนอยู่แล้ว สุดท้ายหน่องก็ตัดสินใจใช้วิธี ”วิ่ง วิ่ง วิ่ง” เข้าไปหาเพื่อนในแบบที่คงลืมว่าตัวเองท้องอยู่ และไปเตะตัวเพื่อนไว้เพื่อให้เค้าหยุดเดิน วางสาย และหันมาเม้าส์กับหน่องแทน ผมยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างน้อยๆอีก 15 นาที เพราะทั้งคู่ไม่ได้เจอกันนานมาก แต่ในสิ่งที่ผมเห็นจะๆกับตาตัวเอง ด้วยอารมณ์ที่ผมไม่เข้าใจ  “ทำไมต้องวิ่ง ?” ..................... ซึ่งถ้าเรื่องแบบนี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้หน่องมีอาการท้องเกร็งอย่างตอนนี้แล้วละก็ผมจะไม่แปลกใจเลย แต่ดันกลายเป็นว่าเรื่องพวกนี้กลับไม่ได้เป็นปัจจัยโดยตรงกับสิ่งที่หน่องต้องเผชิญอยู่เวลานี้ สาเหตุที่แท้จริงตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องของความเครียดซึ่งมีผลต่อหน่องและเด็กในท้องโดยตรง

“แล้วจะมามัวบ่นหรือสงสัยอะไรกันตอนนี้” ผมพึมพัมกับตัวเอง

ถึงตรงนี้โชคดีเรายังมีโอกาสแก้ตัว มันยังไม่ได้สายเกินแก้ ผมก็ได้แต่หวังว่า หน่องได้พักผ่อนเต็มที่ ไม่เครียด และทุกๆอย่างคงจะดีขึ้น ตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไรให้ไกลเกินไป ตอนนี้คงต้องดูไปวันต่อวัน เป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในตอนนี้

คิดอยู่อย่างเดียว   ...................... พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ และวันวานครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 4 “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 55 15:06:26

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:01:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com