Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 37 ติดต่อทีมงาน

นำมาลงต่อตอนที่ 37 ครับ

ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกท่านนะครับ ขอบกิฟต์จากคุณโอ เขมปัณณ์, คุณnpuiy,คุณ wor_lek, คุณ mementototem, คุณไก่ kdunagin,คุณ นวลน้ำผึ้ง, คุณmimny, อาจารย์จีPsycho man, คุณ Hermosa

สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12813927/W12813927.html

บทที่ 37


       ปัจจันตคามอันเป็นหมู่บ้านด้านท้ายพระนครหรือนิคมชนบทแห่งนั้น แท้จริงแล้วก็คือลานท้องทุ่งอันไพศาล นาข้าวเขียวขจีและมีเพียงหมู่บ้านชาวเมืองเพียงไม่กี่หลังปลูกสร้างกันอยู่ห่างกันออกไปประปราย


          ในแสงตะวันรางเลือนสีเหลืองจางลอดผ่านหมู่เมฆ แล้วกราดรัศมีมณฑลลงสู่ท้องทุ่งสาลีเกษตรอันกว้างใหญ่ สดับเพียงเสียงกระดึงที่ชาวไร่ชาวนาใช้ผูกไว้กับคอโค ระหว่างต้อนพวกมันกลับคืนเข้าสู่คอกในเพลาแห่งสายัณหกาล เป็นภาพอันรื่นรมย์ควรแก่การทอดทัศนาอย่างยิ่ง


           อาชาสีขาวตัวหนึ่งถูกควบทะยานผ่านเข้ามาในบริเวณร่มครึ้มของต้นสาละกว้างใหญ่ ดอกสาละที่บานสะพรั่งนับสิบดอก กำลังแรกแย้มส่งกลิ่นฟุ้งรวยระรินไปทั่วบริเวณ หากก็หาทำให้ผู้สัญจรมาถึงเกิดความรื่นรมย์อย่างที่ควรจะเป็นไม่


            “ดูก่อน ท่านเองคือนายวาทิตนามเศาร์มาณพใช่ฤาไม่?”


            เขายังจำนางพระกำนัลผู้หนึ่งที่ลนลานมาดักพบด้านหน้าพระราชวังได้เป็นอย่างดี ท่าทางของหญิงผู้นั้นน่าสงสารยิ่งนัก


             “ข้ามีนามว่าบราลี เป็นนางพระกำนัลของเจ้าหญิงหิรัญรัศมี”


             เขาพอได้ยินพระนามของเจ้าหญิงอีกผู้หนึ่งมาบ้างเหมือนกัน หิรัญรัศมีเป็นเสมือนพระญาติในวัยชันษาไล่เลี่ยกันกับเจ้าหญิงมณีเรขานั่นเอง


          “เจ้าหญิงทรงรับสั่งให้ข้ารีบมาบอกกับท่าน เรื่องเจ้าหญิงมณีเรขา”


           พระนามนั้นต่างหากที่ทำให้เขาต้องหยุดฟังอีกฝ่ายเล่าต่อไปด้วยความร้อนรนยิ่งขึ้น


            “นางถูกองค์สิงหเมฆินทร์นำตัวไปไว้ที่ชายป่านอกเมือง โดยประกาศว่าต้องการสำเร็จโทษที่เจ้าหญิงทรงละเมิดกฏมณเทียรบาล กระทำการอันเป็นที่ครหา คบหากับวณิพกเข็ญใจอย่างท่าน!”


             “คบหา นางหมายความว่าอะไรกัน?”


            ประโยคนั้นทำให้เขาเกิดความงุนงงมากกว่าความเข้าใจ หากนางกำนัลบราลีไม่รีรอที่จะรีบกล่าวเพิ่มเติม ด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ ทั้งจากการเดินแกมวิ่งมาในระยะทางไกลและความตื่นเต้น


          “แม้ว่าองค์ท้าวพรหมทัตจะทรงทัดทานเพียงใด แต่ก็ไม่เป็นผล ขณะนี้องค์สิงหเมฆินทร์ทรงเชื่อว่า เจ้าหญิงและท่านกระทำการคนธรรพวิวาห์*กันเอง  โดยผิดทั้งจารีตและขนบแห่งโบราณราชประเพณี ซ้ำยังเป็นการหมิ่นหยามศักดิ์ศรีของมันอีกด้วย ขณะนี้สิงหเมฆินทร์รับสั่งให้ทหารหุ่นพยนต์ของมันตามล่าตัวของท่านอยู่ เจ้าหญิงหิรัญรัศมี ทรงกังวลกับความปลอดภัยขององค์พระขนิษฐาเหลือเกิน จึงรับสั่งให้ข้าออกมาตามหาท่านให้พบนี่แหละ”


              เศาร์ขบกรามแน่น ท่าทางหญิงผู้นั้นน่าเชื่อถือ และนางก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องโป้ปด เขานึกถึงเหตุการณ์ที่สิงหเมฆินทร์ลอบติดตามเขาออกไปสู่โลกอิสรภพยังอีกฟากหนึ่ง ด้วยหัวใจอำมหิตโดยไม่พรั่นพรึงสิ่งใด มันย่อมสามารถทำการทุกอย่างได้ แม้แต่การใช้เจ้าหญิงมณีเรขาเป็นตัวประกัน เพื่อให้เขาปรากฏกายออกมานั่นเอง!


                 มันคงคิดว่าเขาจะหนีกลับไปยังโลกของตัวเองกระมัง?


                “และวิธีการเดียวที่ทำได้ เพื่อการชำระล้างมลทินบาปนั้นก็คือ การถวายวรกายของเจ้าหญิงมณีเรขาเพื่อสังเวยให้กับพระเพลิง”


             และนั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องรีบตรงดิ่งมายังสถานที่แห่งนี้ โดยไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นกับดัก!


                 ลานสาลีเกษตรเบื้องหน้าว่างเปล่า มีเพียงสุมทุมพุ่มไม้อยู่รายรอบบริเวณ เขาหันไปรอบด้านเพื่อมองหาแต่ก็ปราศจากผู้ใด นอกจากเสียง...


             ใช่! เสียงสวบสาบดังขึ้นเบาๆ แต่โสตสัมผัสของเศาร์ก็ละเอียดเพียงพอที่จะสดับ ในแนวทุ่งธัญญาหารที่ไหวพลิ้วราวทะเลสีมรกต มีการเคลื่อนไหวช้าๆ ตีวงเข้ามาจนล้อมรอบลานที่เขายืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกึ่งกลาง


           “เศาร์!”


           เมื่อนั้นเองเขาได้ยินสุรเสียงกรีดร้องของนางอันเป็นที่รัก จดจำได้ในทันทีว่ามาจากมณีเรขา!


             ชั่ววิบตาเมื่อผืนนาข้าวแหวกออกจากกัน และกองทหารของสิงหเมฆินทร์ก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมเพรียงกัน


          ฮึ่มมมมม - กรรรรรรรรร


               เสียงกระหึ่มก้องคำรามเสียดสีผ่านริมฝีปากยนตร์ที่สร้างขึ้นด้วยมหามนตรา น่าสยดสยองยิ่งนัก ขนาดกองทัพแห่งองค์ท้าวพรหมทัตนับหมื่นแสน ยังมิอาจต้านทานกำลังหุ่นพยนต์นั้นได้ แต่นี่ เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ตกอยู่ท่ามกลางหุ่นสังหาร ไฉนจักสามารถหนีรอดเงื้อมมือของพวกมันไปได้พ้น?


            แต่เศาร์ก็มิได้ตระหนกในข้อนี้ ณ เวลานั้นชายหนุ่มกลับหวนนึกไปถึงถ้อยคำแห่งวิศวามิตรพราหมณ์ ผู้มอบกัลปาลัย อันนำไปสู่เส้นทางมหัศจรรย์สายนี้ รวมถึงทำให้เขาได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตอยู่ภายในนี้ด้วย


          นั่นก็คือหัวใจรักของตนเอง!


            “ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น ฤาสิ้นสุดลงก็ด้วยตัวของเจ้าเองเท่านั้นมาณพ ดังนั้น เมื่อเจ้าพร้อม... ทุกอย่างจะเริ่มต้น”


         ใช่แล้ว ทุกอย่าง “เริ่มต้น” ด้วยเขา และอาจจะ “สิ้นสุด” ก็ด้วยตัวของเขาเช่นเดียวกัน ยกเว้นเพียง ระหว่างการดำเนินไปของเนื้อเรื่องสุวรรณชตุกา ในกัลปาลัยเท่านั้น ที่เขาไม่อาจควบคุมกำหนดได้


              บัดนี้ เขาควรจะเป็นผู้ปิดกัลปาลัยให้ถึงปลายทางแห่งอวสานนั้นด้วยตัวเอง


          ด้วยตัวของเขาเองเพียงผู้เดียว...


                   ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทอดสายตามองโลกเสมือนจริงในจินตภพ ด้วยสายตาแน่วแน่มุ่งมั่น ผ่านพ้นกองทหารที่ทยอยกันก้าวขึ้นมาสู่ลานกว้างแห่งนั้นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นถึงร่างอันโสภิตของเจ้าหญิงมณีเรขา ที่อยู่ในอ้อมกอดอันกักขฬะต่ำช้าของสิงหเมฆินทร์ ขณะที่มันรั้งสายบังเหียนอาชา ให้ก้าวขึ้นมาอย่างสง่างาม


             โดยมีร่างอีกร่างหนึ่งประทับอยู่บนอาชาเคียงใกล้ ด้วยรอยแย้มสรวลอันสาสมใจไม่ต่างกับมัน


          เจ้าหญิงหิรัญรัศมี!

 หยั่งสายดิ่ง ทิ้งน้ำ คำนวณได้
หากหัวใจ แห่งมนุษย์ สุดหยั่งถึง
ด้วยรอยยิ้ม แย้มสรวล ชวนคะนึง
ซ่อนสะพรึง อำมหิต แห่งจิตใจ!



            เป็นรอยแย้มสรวลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ มิใช่ความโศกศัลย์ต่อชะตากรรมของพระกนิษฐาดังที่ได้รับฟังมาเลย แท้จริง หิรัญรัศมีก็ทรงวางแผนการร้ายกาจร่วมมือกับสิงหเมฆินทร์ เพื่อทำลายมณีเรขาผู้เป็นพระญาติวงศ์ของนางเอง โดยไม่เคยคำนึงถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องกันเลยแม้แต่น้อย


          นี่คือความอำมหิตที่เหนือยิ่งกว่าสิงหเมฆินทร์!


              วรกายบอบบางดิ้นรน ให้หลุดออกจากอ้อมพาหาแข็งแกร่งของอีกฝ่าย หากร่างสิงหเมฆินทร์กลับยื้อยุดไว้แนบแน่น ด้วยใบหน้าอันดำทะมึน เต็มไปด้วยร่องรอยเผาไหม้บนใบหน้าให้อัปลักษณ์รูปโฉมราวอสุรกายจากก้นบึ้งนรก


               “ข้าจะสังหารมันให้เจ้าได้ชม เป็นของขวัญสำหรับการอภิเษกของเรา”


           “จัดการเลยสิเพคะ ฆ่ามันเสีย! ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว...”


             นั่นคือน้ำเสียงของ “องค์ภคินี” ผู้ที่เจ้าหญิงมณีเรขาทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด! เจ้าหญิงแห่งวิเทหนครข่มความโทมนัสร้าวรานพระทัย หัตถ์เผลอแตะลงยัง สังวาลทองโดยมิตั้งใจ รับรู้ถึงการสั่นไหวขององค์สุวรรณชตุกา


              นางจักละเมิดมิให้ผู้ใดเห็นชตุกาได้อีกเป็นครั้งที่สาม... นั่นคือสิ่งที่ธามบดี บอกเอาไว้


               ครั้งแรก เกิดขึ้นจากการที่นางปลดปล่อยสุวรรณชตุกา เพื่อช่วยเหลือเศาร์ให้คืนกลับสู่โลกของเขาพร้อมกับศลภมาณพนั่นเอง หากก็มีเพียงผู้ล่วงรู้เพียงชายหนุ่มผู้นั้น และหุ่นพยนต์ศลภะผู้จากไปยังแดนไกลโพ้นมิได้กลับคืนมาอีก


             เหลืออีกเพียงสองครั้งเท่านั้น...


            และถ้าหากดำเนินการมาถึงครั้งที่สามเล่า?


              “ข้าก็จักสลายตัวตน แล้วกลายสภาพเป็นอนังคะ นั่นก็คือไม่เหลือรูปกายใดๆอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือชตุกา”


               “ถ้าเช่นนั้น การตามหานางผู้ปลดปล่อยของเจ้าก็อาจจะไม่มีวันได้เกิดขึ้นน่ะสิธาม?”


             “ใช่แล้ว แต่ก็หาใช่เรื่องสำคัญใดๆไม่ มณีเรขา... ชีวิตของข้าถือกำเนิดขึ้นใหม่จากองค์เทพอัคนี จะมีสิ่งใดที่จักต้องปรารมภ์อีกเล่า ข้าเองก็หาได้เดือดร้อนลำบาก แต่ใดไม่ แม้แต่องค์พระอนงค์เอง ก็ยังปราศจากร่างกาย แล้วข้าจักวิตกกังวลไปฉันใดเล่า”


            นั่นคือคำสาปหรือจักเป็นพรประจำกายของธาม ที่ได้รับมาเมื่อแรกถือกำเนิด เมื่อองค์ท้าวอัคนีทรงเลือก ธามบดี เป็นเครื่องบูชาพระองค์แทน มณีเรขา การถือกำเนิดขึ้นครั้งนั้น ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ธามจะคืนกลับสู่สภาพแห่งเจ้าชายธามบดีได้ก็ต่อเมื่อตามหานางผู้ปลดปล่อยได้เพียงเท่านั้น


            นางเดียวที่ตราบจนบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสพานพบ!


            และหากแม้น ธามบดีปราศจากรูปกายาใดๆ มีสภาพเป็นอรูปา คือไร้ซึ่งรูปแล้ว การตามหานางผู้ปลดปล่อย นามทวารันตร์นั้นจะยิ่งยากขึ้นนับอสงขัยเท่า...


            ทว่า ยังมิทันที่จะทรงตัดสินพระทัย เหตุการณ์หนึ่งก็บังเกิดขึ้นเสียก่อน...


          ***********************


         ถ้าทุกสิ่งเป็นจริงดังนิรมิตฝัน...


                ชายหนุ่มตั้งดวงจิตอันแน่วแน่ว แล้วหยิบวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่เขานำติดตัวมาจากโลกแห่งปัจจุบันกาล วัตถุซึ่งเป็นเพียงเครื่องดนตรีประโลมความทุกข์โศกและสร้างความบันเทิงสุขแก่มวลมนุษย์ หาใช่ศัสตราวุธใดๆไม่


            ทว่าบัดนี้ ขลุ่ยเลานั้นกำลังจะทำหน้าที่ในอีกบทบาทหนึ่งแล้ว


          เขาตั้งเจตจำนงของตนก่อน จรดปลายนิ้วลงไปช้าๆ

ขยับนิ้ว พลิ้วประเลง เพลงขลุ่ยแก้ว
วะหวานแว่ว แว่วเสียง สำเนียงหวาน
เสมือนหยาด มธุรส หยดชื่นบาน
แจ่มตระการ เกริกฟ้า นภาลัย

ทุกถ้อยเสียง เพียงเสนาะ ไพเราะรื่น
ยิ่งชุ่มชื่น เคลิ้มหลง มิสงสัย
ทั้งมนุษย์ หุ่นพยนต์ สกลไกร
ต่างหวั่นไหว วาบวับ สดับดาล

ให้สุดสิ้น แรงร้าย หมายเข่นฆ่า
วาบวิญญาณ์ อ่อนระทวย ด้วยเพลงขาน
แล้วเข้าสู่ ภวังค์จิต นิทรากาล
มิช้านาน ต่างซวนซบ สลบลง


               เสาร์ตรงปรี่ผ่านเข้าไปยังกลุ่มทหารอมนุษย์เหล่านั้น ที่พากันนอนสลบไสลด้วยฤทธิ์แห่งเพลงมนตรา มิอาจคาดเดาได้ว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาในคราใดเบื้องหน้า ในสายตาของเขามีเพียงร่างน้อยเท่านั้นที่นอนสิ้นสติสัมปชัญญะอยู่เบื้องหน้า ในขณะที่ร่างของสิงหเมฆินทร์ล้มกองลงไปอยู่บนพื้นไม่เหลือสภาพของขุนพลผู้เหี้ยมหาญแห่งโรมพิสัยนครอีกต่อไป


                 ปราดเข้าช้อนประคององค์มณีเรขาขึ้นมาไว้แนบทรวงอก สัมผัสลมหายใจแผ่วรวยริน ไม่น่าเชื่อว่าแรงสะกดจากเพลงมนตราจะมีฤทธานุภาพถึงเพียงนี้


              มณีเรขา


              เขาเพียรพร่ำเรียก หากนางก็ยังมิอาจขยับไหววรกาย ชายหนุ่มตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาจักต้องพาหญิงสาวออกไปจากโลกแห่งจินตภพนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม


         และเส้นทางเดียวที่จะพาออกไป คือช่องทางที่เขาผ่านเข้ามานั่นเอง อุทยานหลวงแห่งวิเทหนคร!


            เสียงอาชาเริ่มขยับไหว พวกมันมิได้รับอิทธิพลแห่งเพลงขลุ่ยมนตราเทียบเท่ากับปวงมนุษย์ และเสียงร้องเหล่านั้นเองที่ปลุกสติให้ชายหนุ่มต้องรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุด ก่อนที่กองทัพหุ่นพยนต์เหล่านั้นจะฟื้นคืนสู่สภาพปกติ และเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้หลบหนีไปสู่ทวารบถของกัลปาลัย


              ชายหนุ่มลุกขึ้น ประคองร่างบอบบางขึ้นมา เจ้าหญิงแห่งมณีเรขาเริ่มมีซับพระพักตร์ปรากฏขึ้น เขาเขย่าวรกายเพียงแผ่วเบาเพื่อปลุกให้ตื่นจากห้วงนิทราลัย และมิช้าเมื่อทรงลืมพระเนตรขึ้น


          เศาร์...


         ทรงตรัสเรียกชื่อเขาด้วยสุรเสียงแผ่วหวิว


          “ท่านมาช่วยข้าจริงๆ นี่ข้ามิได้ฝันไปดอกหรือนี่...”


         ชายหนุ่มก้มลงกระซิบแนบโสตด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนจากห้วงหัวใจ


          “ทรงเสด็จเถิด มณีเรขา กระหม่อมตัดสินใจแล้ว ที่จะนำพาพระองค์ไปสู่ดินแดนอันไกลโพ้นแห่งอิสรภพ ที่ข้าพระองค์จากมา ณ สถานที่แห่งนั้นจักไม่มีผู้ใดทำอันตรายแก่ฝ่าบาทได้อีกต่อไป กระหม่อมขอสัญญา”


               คำพูดอันเด็ดเดี่ยวมั่นคงเฉกเช่นเดียวกับแววตาคมกล้าคู่นั้น ไม่ต่างกับหยาดอมฤตที่ปลุกให้เจ้าหญิงผู้ทรงสิริโฉม รู้สึกองค์ตื่นขึ้นในทันใด ทรงพยักพระพักตร์รับด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม แล้วยื่นหัตถ์ให้แก่เศาร์สำหรับพยุงวรกายขึ้น ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเป่าริมฝีปากเพรียกอาชาคู่กาย มันตรงดิ่งมาในทันทีเมื่อได้รับรหัสสัญญาณเสียงราวกับเข้าใจภาษาแห่งมนุษย์


           “เรารีบไปกันเถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”


             ประคองวรกายบอบบางให้ลุกขึ้นแล้วก้าวตรงไปเบื้องหน้า หากเพียงพริบตา เมื่อสดับสุรเสียงอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด และวรกายของเจ้าหญิงมณีเรขาก็หยุดชะงักงันก่อนจะเสียหลักล้มลงในจังหวะเวลานั้น


          “โอย...”


           ชายหนุ่มหันมองกลับไปเบื้องหลังในทันที แล้วก็ต้องผงะงัน


                 เห็นถึงศัสตราอันคมกริบชำแรกในอุ้งหัตถ์แห่งเจ้าหญิงหิรัญรัศมี ชำแรกผ่านเข้าสู่พระฉวีอันผุดผาด จนหยาดโลหิตสีแดงสดไหลรินออกมาไม่ขาดสาย นางกำลังแสยะรอยแย้มสรวลอย่างพึงพระทัยในสิ่งที่เกิดขึ้น


          แท้จริงแล้ว เจ้าหญิงพระภคินีหาได้สลบไสลไปด้วยฤทธิ์เพลงมนตรานั้นไม่ ในจังหวะนั้นเอง นางได้รีบปลดเศษผ้าที่ตนเองได้ฉีกออกแล้วม้วนพันอุดผ่านเข้าไปในช่องโสต เพื่อสกัดกั้นเสียงสังคีตมนตราที่เขาประเลงขึ้นก่อนหน้านั้น โดยที่ผู้อื่นไม่ทันได้ล่วงรู้


         แต่สำหรับ หิรัญรัศมี นางได้เตรียมการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะเชื่อว่าไอ้วาทิตจอมเจ้าเล่ห์จากแดนไกล จะต้องตัดสินใจกระทำเช่นนั้นในเวลาอันคับขันของมัน  


             และนางก็เคยได้สดับพลังอำนาจแห่งมหาคีตา ที่เคยบรรเลงถวายแก่องค์พรหมทัตมาก่อนหน้านี้แล้ว ฤทธานุภาพที่สามารถขับกล่อมให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มจนสามารถเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์...


            แล้วทุกสิ่งก็เกิดขึ้นจริงดังคาด แม้แต่สิงหเมฆินทร์ผู้ยิ่งยง ก็ยังพ่ายต่อเล่ห์คีตมนตรานั้นจนสลบไสลมิได้สติ จนพลัดตกจากหลังอาชาลงมากองแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถใจ


           ทันทีเมื่อเห็นบุคคลทั้งคู่กำลังจะก้าวขึ้นสู่อาชา นางจึงไม่รีรอที่จะเข้าขัดขวางพวกมัน นี่คือวิธีการสุดท้ายที่จะกำจัดสตรีที่เป็นคู่แข่งของตนเอง กำจัดเสี้ยนหนามที่ยอกแสยงพระทัยมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ


             “พวกเจ้าไม่มีวันหนีออกไปเสวยสุขกันได้อีกต่อไปหรอก ข้าจะไม่มีวันยอมให้พวกเจ้ามีความสุข สมในความปรารถนาแห่งรัก ไม่มีวัน!”


           สุรเสียงตรัสกรีดลอดผ่านไรทนต์ออกมาด้วยความคั่งแค้น และด้วยแรงพยาบาทอันลึกเร้นที่สั่งสมมาแต่ยังเยาว์วัย บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกอย่างจะได้รับการเอาคืน!


          เศาร์ได้แต่ยืนตะลึงงัน แม้จะล่วงรู้ถึงพระอุปนิสัยนั้นมาก่อนก็ตาม หากก็ไม่นึกว่า ภายใต้แรงกดดันที่มีอยู่ จะบงการให้เจ้าหญิงผู้เลอโฉมจนแทบมิได้ด้อยกว่าพระขนิษฐา จะมีพระทัยโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้


         “ตายเสียเถอะ! มณีเรขา...”


            นางชักด้ามมีดแหลมคมออกมา แล้วเงื้อขึ้นสุดล้าเพื่อเตรียมจู่จ้วงลงสู่กลางอุระของพระน้องนางด้วยพระหทัยอันอำมหิต แห่งแรงริษยา


        “สุวรรณชตุกา... ชะ ช่วย...”


         สุรเสียงแผ่วหวิวของเจ้าหญิงมณีเรขาแทรกขึ้นในจังหวะเดียวกันนั้นเอง และเศาร์ก็มีโอกาสได้เห็น “ค้างคาวทอง” ปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

                         *****************
*คนธรรพวิวาห์ คือหนึ่งในแปด การวิวาหะตามความเชื่อของฮินดู ความหมายก็คือการได้เสียกันโดยสมัครใจของชายและหญิง โดยที่ผู้ใหญ่มิได้รับรู้ด้วย

เดี๋ยวเข้ามาตอบความเห็นเพื่อนนักอ่านอีกครั้งนะครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:34:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com