Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลมหวนรัก 1 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีคะ  กลับมาอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ  นิยายเรื่องก่อนยังแต่งไม่จบเลยแถมเหมือนบนเว็บจะไม่มีแล้วเพราะหาไม่เจอก็ไม่รู้เพราะอะไร

ซึ่งหลังจากเทอมที่แล้วกลับไทยไปโน๊ตบุ๊คก็เกิดแฮ้งต้องนำส่งซ่อมเป็นการด่วน  จนลืมเซฟนิยายที่อยู่เครื่อง  แล้วตอนส่งซ่อมก็รีบมากจนลืมบอกช่างซ่อมว่าให้เก็บข้อมูลไว้ด้วย  พอจะเขียนอีกทีก็ลืมไปแล้วว่าเขียนถึงตอนไหนบวกกับบนเว็บก็ไม่มีแล้ว  เลยหมดมุขต่อเรื่องทันที

เซ็งนิดหน่อยถึงปานกลางมากๆค่ะ - -

----------------------------

เอาล่ะมาพูดถึงนิยายเรื่องนี้กันบ้าง  อันนี้ตั้งใจแต่งเป็นเรื่องสั้นคะ  สักสามสี่ตอนจบ  ก็ต้องดูไปก่อน  ฮ่าๆๆๆ  แต่พล็อตนี่ได้จากเพื่อนคนจีนที่เราไปทักว่าแฟนเค้าเหมือนเกย์  แล้วเค้าก็กลัวมากว่าแฟนเค้าจะเป็นเกย์เพราะมีสามสี่คนแล้วทักเค้า  เราไม่ใช่คนแรก!  เค้าก็บอกว่านี่เค้าไปเคยทำกรรมอะไรกับใครมาถึงได้มีแฟนเป็นเกย์ (ส่วนเราก็ปลอบใจว่าแฟนเค้าอาจจะไม่ใช่ก็ได้แค่ท่าทางเหมือน)  เค้าก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังว่าแต่ก่อนเค้าเคยปฏิเสธรักคนๆนึงและคนนั้นก็เสียใจมาก  เพราะคนๆนั้นจีบเค้ามากว่า 3 ปี  แถมตัวเค้าดันไปทำร้ายน้ำใจอีกมากมายทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว

โอ้โหพอเราฟังแล้วก็รู้สึกว่า  นี่มันนิยายชัดๆ!  อีกสิบปีข้างหน้าอาจจะได้กลับมารักกันใหม่ก็ได้นะ


จึงเกิดเป็นนิยายสั้นเรื่องนี้ขึ้นมาโดยทันที



ยังไงก็ขอความกรุณาติชมเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขเรื่องภาษาการใช้หน่อยนะคะ  เพราะตอนนี้ภาษาไทยแอบแย่มาก  เพราะภาษาจีนบางทีเราใช้คำนี้ได้ไม่ดูแปลก  แต่พอมาเขียนเป็นภาษาไทยมันจะรู้สึกแปลกๆแบบไม่เข้ากันก็มี

ขอความกรุณาด้วยค่ะ  ขอบคุณค่ะ  ^^




 ----------------------------------------------



ลมหวนรัก


รักแท้เปรียบดั่งเกลือ  แม้จะนานแค่ไหนความเค็มก็ไม่เคยจางหาย








‘ถึงเพื่อนๆคณะอักษรศาสตร์รุ่น45 ทุกคน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ที่จะถึงนี้ สมาคมศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยรุ่นสี่สิบห้าได้มีการจัดเลี้ยงฉลองสิบห้าปีมิตรภาพสี่ห้าไม่จางหาย ณ หอประชุมห้าสิบปี จึงขอเรียนเชิญทุกคนเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นอย่างพร้อมเพรียงกัน’


นพรดาจ้องมองเหล่าบรรดาเพื่อนชายหญิงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยต่างพูดคุยกระตู้วี้ดว้ายเรื่องการจัดงานเลี้ยงรุ่นซึ่งจะมีขึ้นในไม่ช้าผ่านแชทกลุ่มบนเว็บไซต์ชื่อดัง  หญิงสาวยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นรายชื่อเพื่อนสมัยก่อนต่างคุยแข่งกันบนกล่องแสดงความคิดเห็นเรื่องจะใส่เสื้อผ้าอะไรไปงานเลี้ยงครั้งนี้ดี


เมื่อเห็นบรรดาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติบนกล่องแสดงความคิดเห็น  จนหญิงสาวอดที่จะนึกย้อนกลับไปสมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้  ตอนนั้นเธอและบรรดาเพื่อนทุกคนต่างยังเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มเปรียบดั่งดอกไม้เพิ่งผลิบาน  ชีวิตในตอนนั้นมีแต่เสียงหัวเราะและความสุข  ไม่มีเรื่องที่ต้องเครียดและให้คิดมากใดๆ  กิน นอน เที่ยว เรียน ชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนจะซ้ำซากแต่ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด  ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะย้อนเวลากลับไปเรียนมหาวิทยาลัยอีกสักรอบ


‘สิ่งมีค่าที่แม้จะรวยแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อได้คือเวลา…’


นพรดาคิดถึงคำพูดซึ่งเมื่อก่อนมีคนเคยพูดกับเธอไว้  และดูจะเป็นประโยคเดียวคำพูดที่เธอจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูดไว้กับเธอ  มีหลายครั้งหลายคราที่เธอพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกว่าคนนั้นคือใครหนอ  และพูดไว้กับเธอเมื่อไหร่  และยิ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างยิ่งที่เด็กเกียรตินิยมอย่างเธอกลับลืมว่าใครที่เป็นคนพูดประโยคสั้นๆง่ายๆนี้ไป


ครั้งนี้ก็เช่นกัน  ประโยคนี้ติดอยู่ในใจ  แต่หน้าคนพูดกลับเลือนหายเหมือนดั่งสายลมที่ไม่มีตัวตน


...อ๊อดดดดดด...


เสียงอ๊อดประตูหน้าบ้านดังขึ้น  นพรดาลุกจากเก้าอี้ด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบเดินไปยังประตูหน้าบ้านเพราะไม่อยากให้ใครรอนาน


เมื่อเปิดประตูออกมา  นพรดายิ้มกว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มและเด็กหญิงตัวน้อยยืนอยู่หน้าบ้าน  เด็กหญิงเมื่อเห็นนพรดาก็ร้องเรียกชื่อดังๆว่า ‘แม่ดา’ ก่อนจะโผวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว


นพรดาย่อตัวอ้าแขนรับ ‘ลูกสาว’ ตัวน้อยหน้าตาน่ารักคนเดียวของเธอ ก่อนจะอดหอมแก้มกลมป่องอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้


“หืม...ลูกสาวคนดีของแม่  ไม่ได้เจอกันตั้งสองอาทิตย์คิดถึงคุณแม่มั้ยค่ะเนี่ย”  นพรดาเอ่ยถามลูกสาววัยห้าขวบแต่ก็ยังไม่วายหยุดหอมแก้มนุ่มนิ่มนั้น  เด็กหญิงตัวหัวเราะคิกคักด้วยความจักกะจี้เมื่อถูกหอมแก้มหลายๆครั้ง  แต่เธอก็ชอบสัมผัสนี้ของคุณแม่มาก “เอ๋  หรือว่าคุณพ่อพาไปเที่ยวที่สนุกๆเสียจนลืมคุณแม่ ไม่อยากกลับมาอยู่กับคุณแม่แล้วเอ่ย”


ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างหลังไม่ไกลจากทั้งสอง  เดินอมยิ้มเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยแซว ‘ลูกสาว’ และถือเป็นการฟ้อง ‘อดีต’ ภรรยาไปในตัว


“คิดถึงไม่คิดถึง...แต่พอพาไปเที่ยวที่ไหนๆก็ต้องพูดว่า ‘ถ้าคุณแม่มาด้วยคุณแม่จะต้องชอบที่นี่แน่ๆเลย’ ตลอดทุกที่ทุกเวลาเลยล่ะ จนบางทีเรากับภูยังอดน้อยใจหนูนิดไม่ได้เลย”


เมื่อนพรดาได้ยินดังนั้น  จึงเงยหน้ามองชายหนุ่ม ‘อดีต’ สามี ก่อนจะลุกขึ้นส่งยิ้มมิตรภาพให้ “แกคงติดเรามากไปหน่อยนะ เด็กๆก็ยังงี้แหละ...มักจะติดแม่ อย่าถือสาแกเลย”


“ช่ายค่ะคุณป้อ  นิดรักทั้งคุณป้อและคุณอาปูเท่าๆกับคุณแม่เลย อย่าน้อยใจเลยนะค้า...โอ๋ๆ”  เด็กหญิงหันหน้าจากคุณแม่โผเข้ากอดเอวคุณพ่ออย่างเอาใจ  นพรดาและวรรณุหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นเด็กหญิงกอดเอวคุณพ่อใหญ่เพราะกลัวคุณพ่อจะน้อยใจ


“คร้าบ...คุณพ่อรู้คร้าบ...คุณพ่อไม่ได้น้อยใจอะไรหนูนิดเลยนะ  ทั้งคุณพ่อและอาภูรักหนูนิดนะครับ”  วรรณุพูดพลางลูบหัวลูกสาวตัวน้อยที่ยังกอดไม่ยอมปล่อย  ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับนพรดาที่กำลังยืนยิ้มกับความน่ารักช่างออดอ้อนของลูกสาว


“ขอบใจนะดาที่ยอมให้หนูนิดไปค้างด้วยสองอาทิตย์  ภูชอบหนูนิดมากเลย  บอกเราทุกวันเลยว่าน่าอิจฉาดาที่มีลูกน่ารักๆอย่างหนูนิด”


“แหม  ณุเองก็เป็นพ่อของหนูนิดนะ  เราจะใจร้ายไม่ให้พ่อลูกพบเจออยู่ด้วยกันได้ยังไง  แล้วภูเองก็เป็นคนดี  เราคิดว่าณุไม่มีทางเลือกคนผิดหรอก...เรารู้”


เมื่อนพรดาพูดจบ  วรรณุจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสายตาชื่นชม  เขาคิดไม่ผิดที่ ‘เคย’ รักหญิงสาวตรงหน้า แต่งงานใช้ชีวิตคู่และมีลูกด้วยกันก็คือนิดาวรรณ เด็กหญิงตัวน้อยน่ารักตรงหน้าคนนี้


“ขอบใจนะดา...เรา...เราไม่รู้จะพูดยังไงดี...เราขอบใจดามากนะ...ขอบใจจริงๆ”


วรรณุก้มหน้าน้ำตาคลอในดวงตา  นพรดายิ้มอย่างเข้าใจก่อนจะบอกลูกสาวตัวน้อยให้เข้าไปในบ้านเลย


นิดาวรรณรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะบอกลาคุณพ่อด้วยการกอดแรงๆครั้งหนึ่งและวิ่งหายเข้าไปในบ้าน


วรรณุมองลูกสาววิ่งไปจนลับสายตา  น้ำตาที่คลอหยดลงแก้มหนาอย่างช้าๆ  นพรดายิ้มอย่างเข้าใจก่อนจะเอ่ยแซวอดีตสามี


“ร้องไห้อะไรกันณุ  เดี๋ยวนี้บ่อน้ำตาตื้นเชียว  อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้นะ”


“อือ...ฮะฮะ...” ชายหนุ่มหัวเราะกับคำเอ่ยแซวของหญิงสาว  นพรดาเองก็หัวเราะเช่นกัน  “เดี๋ยวนี้ต้องให้เราเป็นคนปลอบนะ  ที่แต่ก่อนณุชอบล้อหาว่าเราเป็นคนบ่อน้ำตาแตกง่าย  ถึงคราวเราล้อณุบ้างแล้ว”


“อือ  ขอบใจนะดา...”  ชายหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวด้วยสายตาชื่นชมอีกครั้ง  เขาคิดว่าเขานั้นเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก  เพราะถึงแม้จะหย่าร้างกับภรรยาเก่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  แต่มิตรภาพของพวกเขาทั้งคู่นั้นยังไม่ถูกตัดขาดออกไป  เธอยังเป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาที่ดีแก่เขาเสมอมาไม่ว่าจะเวลาไหน


นพรดาส่งยิ้มมิตรภาพจากหัวใจให้แก่ชายหนุ่ม  เธอเข้าใจและเห็นใจเขาเสมอตั้งแต่เลิกราหย่าร้างกันไป  เธอเองก็รู้ว่าชายหนุ่มก็ลำบากใจไม่น้อยกับเรื่องนี้  และเธอก็ไม่เคยคิดจะบังคับฝืนใจใครทั้งสิ้น


“ไม่เป็นไรณุ  เราแค่หวังว่าณุจะมีความสุข ณุอย่าคิดมากเลยนะ...ฝากบอกภูด้วยว่าอย่าคิดมากเช่นกัน  แล้วก็ถ้าอยากเล่นกับหนูนิดก็มาที่บ้านเราได้ตลอดเลย  เรายินดี...”


“ขอบใจนะ”  วรรณุพูด


หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย  วรรณุก็ขอตัวกลับบ้านก่อนเพราะยังมีงานต้องทำต่อ  นพรดาบอกลาพร้อมกับให้กำลังใจชายหนุ่มอีกครั้ง  ทั้งคู่กอดลากัน  กอดที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยแห่งมิตรภาพ




นพรดานั่งดูอัลบั้มรูปภาพงานแต่งงานของเธอกับวรรณุที่ถูกจัดขึ้นเมื่อแปดปีก่อน  ในรูปภาพทั้งเธอและชายหนุ่มต่างส่งยิ้มให้กันด้วยความรัก...รักระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว  หญิงสาวยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น  ก่อนจะพลิกดูหน้าต่อไปเรื่อยๆ


เธอและวรรณุพบรักกันตั้งแต่ครั้งยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง  โดยที่เธอเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์เอกภาษาจีน  ส่วนวรรณุนั้นเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์  สาวอักษรหนุ่มวิศวะ  ต่างเป็นคู่รักที่แตกต่างแต่ลงตัวตามแบบฉบับความรักที่ใครๆก็อยากมี  เธอและวรรณุเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาประจำมหาวิทยาลัยในขณะนั้นเลยทีเดียว


พอเรียนจบ  เธอและวรรณุต่างตกลงบินไปเรียนต่อปริญญาโทด้วยกันที่อเมริกา  จึงเริ่มต้นทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อน  ซึ่งปรากฏว่าเธอและเขาต่างเป็นคนใจเย็นและใจเย็น  ไม่เคยทะเลาะโกธรกันข้ามวันครั้งเลยสักครั้ง  ทั้งคู่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดี  หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทย  วรรณุจึงรับช่วงกิจการธุรกิจส่วนตัวต่อจากพ่อของตนเองและที่สำคัญ...เขาขอเธอแต่งงานภายในปีเดียวกัน


หลังจากแต่งงานด้วยกันสามปี  ทั้งคู่ก็มีนิดาวรรณเกิดมาบนโลกใบนี้  เป็นพยานรักตัวน้อยที่แสนจะน่ารักน่าหยิก  และต่างก็คิดว่าลูกสาวตัวน้อยคนนี้จะเป็นโซ่ทองที่จะยิ่งคล้องใจกันและกันมากขึ้น


แต่เรื่องราวกลับตาลปัตร  หลังจากนิดาวรรณเกิดมาได้ไม่นาน  ความรักของทั้งคู่กลับจืดจางลงอย่างเห็นได้ชัด  ความสนใจของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่าย  แต่กลับอยู่ที่ลูกสาวตัวน้อยหมด  ช่วงแรกทั้งคู่คิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ  และยิ่งเป็นลูกคนแรกก็ยิ่งต้องเห่อเป็นธรรมดา  แต่ทว่าสองปีผ่านไป...ความเชยเมยที่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของกันและกันกลับเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน  ประจวบเหมาะกับวรรณุได้เจอกันภูวนาท  ลูกสาวคนเดียวของหุ้นส่วนใหญ่สำคัญของบริษัท  ทั้งสองพบรักกันอย่างรวดเร็ว  ช่วงแรกวรรณุรู้สึกแย่และไม่ดีที่พบรักใหม่โดยที่ยังไม่ได้หย่าร้างกับนพรดา  แต่เขาก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างกับนพรดาอย่างเปิดเผยและคิดว่าถ้าหญิงสาวโกธรและไม่ยอมหย่าเขาก็เข้าใจ


แต่หลังจากนพรดารู้ว่าสามีปันใจไปให้ผู้หญิงอื่น  แทนที่เธอจะโกธรหรือหาเรื่องเขา  เธอกลับแสดงความยินดีและขอหย่าแทบจะในทันที  เมื่อคิดได้ว่าทั้งเธอและเขาต่างหมดรักกันแล้วอย่างแน่นอน  ภูวนาทเองก็กลายเป็นเพื่อนคนใหม่ของเธอไปโดยปริยาย  และไม่เคยนึกโกธรทั้งคู่เลยแม้แต่สักครั้งเดียว


หญิงสาวพลิกหน้าอัลบั้มรูปจนถึงหน้าสุดท้าย  เธอยิ้มเมื่อรูปสุดท้ายนั้นคือรูปวันแรกที่นิดาวรรณลูกสาวตัวน้อยคนเดียวของเธอและวรรณุได้ลืมตาดูโลกใบนี้เป็นครั้งแรก  ในรูปเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล  โดยที่ชายหนุ่มอุ้มลูกสาวมองมาที่กล้องอย่างมีความสุข


นพรดาปิดอัลบั้มรูป  ก่อนจะหันไปมองนิดาวรรณที่นั่งดูโทรศัพท์  กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับตัวการ์ตูนที่ทำท่าตลก  หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง  ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆลูกสาวตัวน้อยและหัวเราะไปกับเด็กหญิง
รูปแบบของความรักเปลี่ยนแปลงได้เสมอ  เพียงแต่ต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันว่าความรักนั้นตอนนี้เป็นรูปแบบไหน




นิดาวรรณชี้เค้กที่ถูกตกแต่งด้วยครีมสีส้มและราดด้วยน้ำเชื่อมแสนหวานผ่านตู้กระจกหน้าร้านเค้กแห่งหนึ่งแถบสีลมซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของนพรดา  ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยสำเนียงภาษาไทยที่ยังออกเสียงไม่ชัดบางคำตามประสาเด็กห้าขวบ


“คุณแม่คะ  หนูนิดอยากทานเค้กฉ้มอันนั้นจังเลยค่ะ”
นพรดาหันไปมองเค้กส้มตามที่เด็กหญิงตัวน้อยชี้อย่างสนใจ  เธอรู้ดีว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอคนนี้ชอบสีส้มและอะไรก็ตามที่เป็นสีส้ม  ครั้งนี้ก็เป็นเค้กส้มด้วยเช่นกัน


“ไหนคะ  อันไหนเอ่ย  เค้กเยอะแยะเต็มไปหมดเลย”


“อันนั้นค่ะ อันหญ่ายๆ หญ่ายมากๆเลย”  นิดาวรรณชี้บอกมารดาอย่างตื่นเต้น  นพรดายิ้มกับท่าทางน่ารักของลูกสาว  แต่ยังไม่วายแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเค้ก


“ไหนคะ  คุณแม่ไม่เห็นเลย  เอ๋...อยู่ไหนเอ่ย”


“คุณแม่ค่ะอันนั้น คุณแม่ๆเข้ามาดูๆ”


คราวนี้เด็กหญิงไม่ได้พูดปากเปล่า  แต่ยังจับมือคุณแม่พาเดินเข้าไปในร้านเค้กนั้นด้วย  นพรดายิ้มแต่ก็ยอมเดินเข้าไปในร้านอย่างว่าง่าย  นิดาวรรรเมื่อเข้ามาในร้านก็ปรี่เข้าไปชี้เค้กส้มก้อนโตที่ถูกตกแต่งไว้ในตู้กระจกแก่นพรดาอีกรอบ  คราวนี้นพรดาพยักหน้าเป็นเชิงบอกลูกสาวว่าเห็นแล้ว  นิดาวรรณทำหน้าท่าทางดีใจเมื่อในที่สุดคุณแม่ของเธอก็เห็นเค้กสีส้มสวยงามแล้ว


นพรดามองไปรอบๆร้านเค้กด้วยความสนใจ  เหมือนความฝันครั้งเยาว์วัยกลับคืนมา  ผนังร้านเค้กแห่งนี้ถูกแต่งแต้มเติมสีสันด้วยภาพทุ่งดอกทานตะวันที่ดูปร๊าดเดียวเธอก็รู้ว่าถูกเขียนด้วยสีน้ำมันคล้ายกับภาพโมนาลิซ่าของเลโอนาร์โด ดา วินชี  ศิลปินจิตรกรเอกที่เธอคลั่งไคล้  โต๊ะนั่งทุกตัวทำจากไม้ดูคลาสสิกและมีเสน่ห์  ของตั้งโชว์ในร้านไม่ได้ถูกวางระเกะระกะดูรกหูรกตา  แต่กลับถูกจัดวางอย่างถูกที่ดูสวยงามสะอาดตา


หญิงสาวมองการจัดตกแต่งร้านอย่างตะลึงจึงไม่ทันสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชฟสีขาวสะอาดตาเดินออกมาจากหลังร้านและจ้องมองเธออยู่เช่นกัน


“ยินดีต้อนรับครับ”  ชายหนุ่มพูดพลางกระแฮ่มเสียงดัง  นพรดาสะดุ้งตกใจหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนส่งยิ้มคล้ายปนขำมาให้เธอ  เธอได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆพลางกำมือปิดปากตัวเองก่อนจะหน้าไปอีกทาง


นพรดาเขินอายหน้าแดงเมื่อรู้ว่าได้แสดงปฏิกิริยาที่น่าอายออกไป  ถึงแม้ปีนี้เธอจะอายุย่างเข้าเลขสามทั้งสองตัวแล้วก็ตาม  แต่ก็มีหลายคนชอบบอกว่าเธอทั้งหน้าตาและนิสัยยังดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่มาก  เรื่องหน้าตาเธอว่าเป็นเพราะการดูแลและเอาใจใส่สุขภาพมากกว่า  แต่เรื่องนิสัยเธอเองก็ยอมรับว่ามันเปลี่ยนแปลงกันไม่ได้  และเธอก็ยังไม่อยากแก่ทั้งตัวเลขอายุทั้งนิสัยด้วย


“คุณอาคะๆ  หนูนิดอยากทานเค้กฉ้มอันนั้นจังเลยค่ะ”  นิดาวรรณที่ดูท่าจะไม่รู้ว่าคุณแม่คุณสวยเกิดอาการอายขนาดไหนปรี่เข้าไปหาเชฟหนุ่มหล่อตรงหน้าทันที  ก่อนจะชี้บอกชายหนุ่มว่าอยากกินเค้กส้มที่เจ้าตัวหมายปองมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว


เชฟหนุ่มสุดหล่อยิ้มให้กับความน่ารักของเด็กหญิงตัวน้อย  นพรดามองใบหน้านั้นแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเคยเห็นหรือเคยเจอใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้านี้มาจากไหน  แต่ยังไง้ยังไงก็นึกไม่ออก  บางทีเธอก็งงว่าเธอเรียนจบได้เกียรตินิยมมาได้ยังไง  เรื่องง่ายๆเนี่ยลืมเก่งจริงเชียว


“ได้สิครับ  แต่ว่าเค้กก้อนนั้นทานไม่ได้นะครับ  ถ้าทานไปหนูนิดต้องไม่สบายแน่ๆ”


“อ้าว ทามมายล่ะค่ะ?”  เด็กหญิงถามด้วยความสงสัย


“เพราะเค้กก้อนนั้นเป็นของปลอมที่ทำจากโฟมนะซิครับ  ถ้าทานเข้าไปหนูนิดต้องปวดท้องมากแน่ๆ  หลังจากนั้นก็ต้องไปโรงพยาบาลให้คุณหมอล้างท้องแล้วก็ฉีดยาด้วย”


“ม่ายอาวหนูนิดม่ายอยากไปโรงพยาบาล...หนูนิดม่ายอยากฉีดยา ฮือๆ...คุณแม่ค้าหนูนิดม่ายอยากฉีดยา”


เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความกลัวเมื่อถูกพูดถึงเรื่องฉีดยา  นพรดาย่อตัวนั่งกอดปลอบขวัญลูกสาวเพราะรู้ว่าลูกสาวคนนี้ของเธอกลัวเข็มฉีดยามากขนาดไหน  ถึงขนาดเคยเกร็งตอนคุณหมอฉีดยาเสียจนเข็มหัก  ต้องฉีดใหม่อีกรอบ  ซึ่งกว่าจะยอมฉีดใหม่อีกรอบเด็กหญิงก็ร้องไห้งอแง้อยู่เกือบชั่วโมงทีเดียว


“โอ๋ๆ  เด็กดีนะคะ...เด็กดีนะคะ...คุณหมอไม่ฉีดยาหนูนิดหรอกค่ะถ้าหนูนิดไม่ทานเค้กอันนั้นเข้าไป โอ๋ๆ...ไม่ร้องไห้นะคะเด็กดีของคุณแม่”  นพรดาปลอบขวัญลูกสาวสุดที่รักด้วยความรักใคร่  นิดาวรรณที่หยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นมองหน้าคุณแม่  ก่อนจะเอ่ยอีกรอบ


“แต่หนูนิดอยากทานเค้กฉ้มนี่คะ”  แต่ก็ยังไม่วายเรื่องที่อยากจะทานเค้กส้ม


“ทานได้ซิคะ  หนูนิดทานเค้กส้มได้แน่นอน  ยังมีเค้กส้มอันอื่นๆอยู่อีกเยอะแยะเลย...ใช่ไหมคะ?” นพรดาเงยหน้าจ้องมองเชฟหนุ่มที่ยืนยิ้มอย่างขอความเห็น


“จริงหรือคะ?”


“จริงครับหนูนิด  มีเค้กส้มก้อนอื่นๆอยู่อีกมากเลย  แถมอร่อยกว่าก้อนนั้นอีกตั้งเยอะนะ”  เมื่อนิดาวรรณได้ฟังเชฟหนุ่มพูดถึงเค้กส้มก้อนอื่นๆ  เด็กหญิงตัวน้อยก็ยิ้มร่าด้วยความดีใจขึ้นมาในทันที


เชฟหนุ่มพานิดาวรรณไปยังตู้เค้กซึ่งตั้งอยู่ด้านในร้าน  ก่อนจะให้เด็กหญิงเลือกเค้กตามใจชอบ  สีหน้าของนิดาวรรณมีความสุขมากเมื่อเห็นเค้กมากมายถูกวางเรียงรายอยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่


“ว้าวๆ  เค้กเต็มไปหมดเลย”


“เลือกได้ตามสบายเลยนะครับ  เดี๋ยวคุณอาจะเป็นคนหยิบเค้กให้หนูนิดเอง”
นพรดามองลูกสาวตัวน้อยเลือกเค้กด้วยใบหน้ามีความสุข  อันที่จริงเธอเองก็เป็นคนชอบทานเค้กเหมือนกัน  เพียงแต่ระหว่างตอนเรียนปริญญาโทเธอมีปัญหาเรื่องสุขภาพ  และพอไปตรวจสุขภาพประจำปีคุณหมอก็ได้บอกว่าเธอเป็นโรคความดันสูง  ต้องเลี่ยงอาหารหวาน  มัน    และต้องกินยาทุกวันเป็นประจำ  ดังนั้นถึงแม้เธอจะชอบทานมากขนาดไหน  แต่ก็ห้ามทานในปริมาณที่มากเกินไป  โดยเฉพาะเค้กของโปรดของเธอ




“เป็นอะไรครับ เค้กไม่อร่อยเหรอ”


เชฟหนุ่มมองหญิงสาววางช้อนลงข้างจานก่อนจะดื่มน้ำเปล่าตาม  และก็แปลกใจว่าเค้กสตรอเบอร์รี่ที่เขาเลือกมาให้เธอชิมนั้นถูกกัดกินไปไม่ถึงครึ่งนึงด้วยซ้ำ


“เปล่าค่ะ  เค้กอร่อยมากเลยค่ะ”


“แต่คุณทานไปแค่นิดเดียวเองนะครับ  ถ้าเค้กร้านผมไม่อร่อยบอกผมได้ตรงๆเลยนะครับ  ผมจะได้ปรับปรุงแก้ไข”  ชายหนุ่มบอก


นพรดาส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ  ก่อนจะหันไปมองลูกสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งทานเค้กส้ม  ช็อกโกแลต  และพายแอปเปิ้ลสลับกันไปมาอย่างมีความสุข


“แหม  พยานก็นั่งอยู่ข้างหลังไงคะว่าเค้กอร่อยมาก  ไม่อร่อยยัยนิดไม่ตักทานพร้อมกันสามชิ้นหรอกคะ”  นพรดาเอ่ยแซวลูกสาว  เชฟหนุ่มหัวเราะน้อยๆเพราะคำกล่าวนั้นคือความจริง  เด็กหญิงตักเค้กสลับทานกันบ้าง  หรือไม่ก็ตักทีละอย่างละนิดแล้วยัดเข้าไปทีเดียวพร้อมกันเลยก็มี


“ฮ่าๆๆ...ครับ...ผมเชื่อแล้วครับ”


“ค่ะ  คืออันที่จริงฉันมีปัญหาเรื่องสุขภาพนะค่ะ  ห้ามทานของหวานของมันเกินขนาด  ไม่งั้นยาจะคุมไม่อยู่  เดี๋ยวจะต้องเข้าโรงพยาบาลให้หมอฉีดทั้งๆที่ไม่ได้ทานเค้กส้มโฟมก้อนนั้น”


นพรดาชี้ไปยังเค้กส้มโฟมก้อนเดิมที่เชฟหนุ่มใช่แกล้งขู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอ  เชฟหนุ่มหัวเราะกับมุขและความตลกขบขันของหญิงสาว


‘สาวสวยบางคนก็ตลกเหมือนกันนะ’ เขาคิด


“อ้อ ฮ่าๆๆ เข้าใจแล้วครับ”


“ไม่ทราบว่าคุณ...”


“วินครับ...วินธร  รัฐกิจจงไพบูลย์ครับ  ผมเป็นทั้งเชฟแล้วก็เจ้าของร้านนี้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  เชฟหนุ่มเอ่ยนำแนะตนเอง  “เอ่อ...คุณ...”


“ดาค่ะ  นพรดา  เอื้ออำนงค์กร  ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”  นพรดาเอ่ยแนะนำตัวบ้างก่อนจะยิ้มเป็นมารยาท  ชายหนุ่มชะงักไปสักพักนึงก่อนจะจ้องหน้าหญิงสาวด้วยสายตาที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ  จนเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่งชายหนุ่มก็ดูจะไม่มีท่าทีจะหยุดจ้องเธอเลยแม้แต่น้อย  นพรดารู้สึกประหลาดและเขินอยู่ในที  แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามออกไป  ได้แต่กระแอ่มเบาๆ


“แฮ่ม...คะ...”


“อ้อ ขอโทษครับ”


วินธรรู้สึกตัวว่าจ้องหน้าหญิงสาวนานเกินไป  จึงเอ่ยขอโทษก่อนจะเกาท้ายทอยอย่างอายๆ  นพรดารู้สึกคุ้นตากับนิสัยนี้อย่างบอกไม่ถูกแต่ก็จำไม่ได้ว่าไปคุ้นเอาตอนไหน


ทั้งสองต่างเงียบเมื่อไม่รู้จะพูดคุยเรื่องอะไรกัน  จนกระทั่งเชฟหนุ่มทนไม่ไหวจึงหาเรื่องเอ่ยถามขึ้น


“แล้ววันนี้คุณดาไม่ทำงานหรือครับ”


“อ้อ  คือดาเลิกงานเร็วนะค่ะ  แล้วนี่ก็ไปรับยัยนิดกลับมาตอนแรกว่าจะกลับบ้านแล้ว  แต่ยัยนิดเรียกร้องจะทานเค้กส้มให้ได้”


“แล้วสามีของคุณดาล่ะครับ”


“หย่ากันแล้วค่ะ”


“อ๊ะ...ขอโทษครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจ...”  วินธรรีบเอ่ยขอโทษขอโพยหญิงสาวเป็นการใหญ่  นพรดาส่ายหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้เชฟหนุ่ม


“ไม่เป็นไรค่ะ  อันที่จริงเราหย่ากันได้สักพักแล้ว  และเราก็หย่ากันด้วยดีไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน  คุณวินไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ”


วินธรมองนพรดาอย่างอึ้งๆ  หญิงสาวตรงหน้าเขาไม่ใช่แค่เพียงสวยสง่าแต่ภายนอกเท่านั้น  แต่ภายในจิตใจของเธอนั้นงดงามเหมือนภายนอกไม่แพ้กัน  ชายผู้ใดหนอกลับปล่อยสาวสวยจิตใจดีขนาดนี้หลุดมือไปเสียดาย  ช่างน่าสงสารเหลือเกิน


“ค่าเค้กทั้งหมดเท่าไหร่ค่ะ”  นพรดาเอ่ยถามถึงค่าเค้กทั้งสี่ชิ้น  ซึ่งมีของเธอหนึ่งชิ้น  และของนิดาวรรณสามชิ้น


วินธรส่ายหน้าปฏิเสธ  ก่อนจะเดินเข้าไปหลังตู้กระจก  หยิบเค้กส้มสามชิ้น  เค้กช็อกโกแลตสองชิ้น  สตรอเบอร์รี่สองชิ้น  และพายแอปเปิ้ลสองชิ้นใส่กล่องที่มีรูปสกรีนชื่อร้านดูสวยงามน่ารัก


“ผมไม่คิดเงินครับ  วันนี้ผมเพิ่งเปิดร้านเป็นวันแรก  วันนี้ค่าอาหารบริการฟรีแก่ลูกค้าคนแรกครับ...แถมเค้กกลับไปทานที่บ้านด้วยนะครับ”


นิดาวรรณที่เพิ่งจะทานเค้กกันเสร็จเดินมายังโต๊ะของคุณแม่และเชฟหนุ่มสุดหล่อ  เมื่อเห็นเชฟหนุ่มยื่นกล่องเค้กซึ่งมองเข้าไปเห็นเค้กที่เธอแสนจะชอบถูกบรรจุวางเรียงรายเต็มไปหมด  เด็กหญิงก็อดตื่นเต้นไม่ได้  เพราะหมายความว่าเสาร์อาทิตย์นี้เธอยังมีเค้กทานจนอิ่มแปล้  แถมยังอร่อยมากอีกด้วย


“ตายแล้ว  ไม่ได้หรอกค่ะ  โดยเฉพาะเพิ่งเปิดร้านมาด้วย  เดี๋ยวจะเป็นลางไม่มีนะคะ”  นพรดาตกใจเมื่อรู้ว่าเธอเป็นลูกค้าคนแรกของชายหนุ่ม  แต่ตอนที่เดินผ่านร้านเค้กนี้กับลูกสาวตัวน้อยครั้งแรกเธอก็แปลกใจอยู่เล็กน้อย  เพราะเธอจำได้ว่าเธอไม่เคยเห็นร้านเค้กร้านนี้มาก่อน  จนกระทั่งลูกสาวตัวน้อยร้องเรียกอยากทานเค้กส้ม


“คุณอาให้เค้กหนูนิดเหยอคะ”  นิดาวรรณเอ่ยถามน่ารัก  เมื่อได้ยินอะไรแว่วๆเกี่ยวกับคำว่าฟรีและแถม  เด็กมักจะสามารถจดจำคำศัพท์ได้รวดเร็วและว่องไวต่อการใช้ครั้งต่อไปเสมอ


เชฟหนุ่มย่อตัวนั่งลงก่อนจะลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู  ก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มให้กับนพรดาอย่างอ่อนโยน


“ใช่ครับ  เค้กกล่องนี้คุณอายกให้หนูนิดครับ  แล้วครั้งหน้าคุณอาจะพยายามทำเค้กที่ไม่หวานและมันมากเกินไปสำหรับคุณแม่หนูนิดนะครับ”


...ตึกตึกตึกตึกตึก...จู่ๆเสียงหัวใจของนพรดาก็เต้นดังและแรงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่  หญิงสาวมองชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้อย่างรู้สึกแปลก  ก่อนจะหลบสายตานั้นไปอย่างไม่มีเหตุผล


‘นี่เราเป็นอะไรเนี่ย สามสิบสามแล้วนะ’


“เออค่ะ...เอ่อ...ขอบคุณมากค่ะ...”  นพรดาตอบอย่างตะกุกตะกัก  ผิดแปลกจากตอนแรกที่ยังนั่งคุยกับชายหนุ่มด้วยทวงท่าทีอย่างธรรมดา  วินธรสังเกตได้ถึงความผิดแปลกไป  ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นตรง  มองหน้าหญิงสาวด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง


“คุณดาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ  หรือว่าเค้กเมื่อกี้หวานไปจนอาการไม่ดี”


“เอ่อ...เปล่าค่ะ...ดายังอาการดีอยู่ค่ะ”


นพรดาตอบ  หญิงสาวหลับตาก่อนจะหายใจเข้าออกอย่างช้าๆสองสามทีก่อนจะส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเป็นเชิงยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ  วินธรยิ้มมุมปากมองหญิงสาวด้วยความตลก


เมื่อทั้งสองได้ตกลงโดยที่วินธรไม่ยอมให้หญิงสาวจ่ายเงิน  และอ้างว่าเขาถือเป็นเคล็ดโชคลางของเขาแบบนี้  นพรดางงเล็กน้อยเพราะเธอไม่เคยได้ยินเรื่องโชคร้ายแบบนี้มาก่อน  แต่ก็ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์มายืนยันได้  แต่หญิงสาวก็ได้ให้สัญญาไว้ว่าอาทิตย์หน้าเธอจะพานิดาวรรณมาทานเค้กที่ร้านของเขาอีก   หลังจากนั้นสองแม่ลูกจึงขอตัวกลับบ้านของตนเองไป








ติดตามตอนต่อไป

แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 21:11:36

แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 16:50:21

แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 16:46:49

แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 16:45:14

จากคุณ : mollaly
เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 16:44:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com