เรื่องเล่าจากแดนไกล(ตอนที่4)

    เด็กๆต่างดีใจกันยกใหญ่เมื่อวันหยุดได้เวียนมาบรรจบถึง  พวกเขาทั้งสี่ต่างมีแผนการที่จะทำในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้แล้ว  โดยหมูน้อยได้ขออนุญาตทางบ้านว่าจะพาเพื่อนๆทั้งสามคนมาเที่ยวที่บ้านตนซึ่งตั้งติดอยู่กับโรงพยาบาลประจำเมือง
    และแล้ววันเสาร์ที่แสนรอคอยก็มาถึง.....
    “ผมไปแล้วนะครับแม่”เลียงผาตะโกนบอกมารดาก่อนวิ่งออกจากบ้าน
    “ข้าวเช้าล่ะ”
    “ไปกินที่บ้านหมูน้อยครับ”
    “ทำตัวให้ดีๆนะลูก”แม่ของเขาร้องเตือนอย่างเป็นห่วง
    “คร้าบ....”
    เลียงผาวิ่งตัดถนนใหญ่หน้าบ้านของเขามาอย่างรวดเร็ว  ความจริงแล้วบ้านของเขากับหมูน้อยอยู่เกือบจะตรงข้ามกันเลย  ดังนั้นเขาจึงวิ่งมาถึงบ้านของหมูน้อยเป็นคนแรก  บ้านหมูน้อยช่างดูแตกต่างกับบ้านของเขาและห่านกับหงส์อย่างสิ้นเชิง  มันเป็นบ้านทรงทันสมัยที่ก่อสร้างด้วยปูนล้วนๆ  ด้านหน้าตกแต่งอย่างสวยงามด้วยกระถางดอกไม้หลากหลายพรรณ  มีประตูทาสีเขียวตั้งเด่นอยู่ทางหน้าบ้านพร้อมกับป้ายสีทองขนาดใหญ่ที่ปักเด่นอยู่ขอบรั้วหน้าบ้านว่า “เรือนอาหารยินดีต้อนรับ”  โต๊ะไม้หลายตัวถูกพับเก็บเรียงกันไว้ทางด้านหนึ่งของสนามหน้าบ้าน  ส่วนสนามอีกด้านจึงว่างโล่งพอให้พวกเด็กๆสามารถวิ่งเล่นกันได้อย่างสบาย
    คนแรกที่ยืนหน้าออกมารับทางช่องประตูสีเขียวหน้าบ้านหมูน้อยคือหญิงสาวผิวขาวนัยน์ตากลมโตสีแดงเพลิง
    “มาหาใครจ๊ะ”เธอถามเลียงผาเสียงหวาน
    “หมูน้อยครับ”
    “อ้อเพื่อนตัวเล็กเหรอ  ตัวเล็กยังไม่ตื่นเลย  เข้ามาข้างในก่อนสิจ๊ะ”เธอเชื้อเชิญ
    ว่าแล้วประตูก็เปิดออกให้เด็กชายก้าวเข้าไป  เลียงผาสังเกตเห็นถึงหูที่ค่อนข้างตั้งชันและยาวของหญิงสาวคนนั้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเธอน่าจะเป็นกระต่ายที่น่ารักแสนสวยตัวหนึ่งแน่ๆ
    “ทานข้าวมารึยัง”
    “ยังครับ  หมูน้อยบอกว่าให้มาทานพร้อมกันที่บ้าน”
    “เธอชื่อเลียงผาใช่ไหม  ตัวเล็กเคยเล่าให้แม่ฟังเหมือนกัน”
    เด็กชายสะดุดใจกับคำว่า แม่ ที่หญิงสาวคนนั้นใช้เรียกแทนตัว
    “คุณน้าเป็นแม่ของหมูน้อยเหรอครับ?”เลียงผาถามด้วยแววตาฉงน
    หญิงสาวผู้มีหูยาวหันมายิ้มกับเด็กชายอย่างเอ็นดูก่อนกล่าวว่า
    “แม่ดูไม่เหมือนเจ้าตัวเล็กเลยใช่ไหม  ความจริงแม่เป็นแค่แม่เลี้ยงของเขาจ๊ะ  แม่จริงๆของตัวเล็กตายไปตั้งแต่ตัวเล็กเกิดแล้ว”นั่นคือความรู้ใหม่ที่เด็กชายได้รับ
    เลียงผานั่งคุยกับแม่เลี้ยงของหมูน้อยอยู่นานกว่าฝาแฝดทั้งคู่จะมาถึง  แต่นั่นก็คงไม่ช้าไปกว่าหมูน้อยที่ยังไม่ยอมตื่นลงมาสักที
    “เห็นทีน้าคงต้องขึ้นไปปลุกเจ้าตัวเล็กซะแล้ว”เธอหันมาเรียกคำแทนตัวว่าน้าเมื่อเด็กๆต่างเรียกเธอเช่นนั้น
    “หมูน้อยนี่นอนขี้เซาชะมัด”หงส์บ่นกับพี่ชาย
    “เอาน่า  เดี๋ยวก็คงลงมาแล้ว”
    ยังไม่ทันขาดคำพวกเขาก็เห็นเด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยเดินโซเซลงมาจากบันไดพร้อมกับแม่เลี้ยงแสนสวยของเขา
    “เดี๋ยวจะทำอาหารเช้าให้ทานนะจ๊ะ  เอ้าตัวเล็กไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน”เธอดุนหนังเด็กชายเข้าห้องน้ำไปก่อนจะเดินไปที่ครัวเตรียมอาหาร
    ไม่นานนักพวกเด็กก็ได้มานั่งล้อมวงกันทานข้าวเช้าฝีมือแม่เลี้ยงหมูน้อย
    “พ่อนายไปไหนล่ะ”ห่านกระซิบถามเพื่อน
    “ยังไม่กลับจากโรงพยาบาลเลย”หมูน้อยพูดขณะที่ข้าวเต็มปาก
    “พ่อนายเป็นหมอเหรอ”
    “ก็ทำนองนั้น”เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักแล้วก็หันมาสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ  พวกเด็กๆดูจะเจริญอาหารดีในเช้าวันนี้เนื่องจากพวกเขาทานข้าวกันในเวลาสายมากแล้ว  ประกอบกับฝีมือทำกับข้าวที่แสนอร่อยของแม่เลี้ยงจึงไม่แปลกนักที่หมูน้อยจะมีรูปร่างเช่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
    “เราจะไปไหนกันต่อดี”ห่านถามขึ้นหลังจากจัดการอาหารตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
    “ไปเที่ยวตลาดกันไหม”เลียงผาเสนอ
    “สายแล้วนะ  ป่านนี้ตลาดวายหมดแล้ว”หงส์บอกในฐานะที่บ้านอยู่ใกล้ตลาดมากที่สุด
    “ไปโรงพยาบาลกันสิจ๊ะ  ที่นั่นมีพิพิธภัณฑ์ด้วย”แม่เลี้ยงหมูน้อยเสนอ
    “เหรอครับ  ผมไม่เคยรู้เลย”
    “ฉันเดินจนเบื่อแล้ว”หมูน้อยบ่น  แต่เมื่อเห็นเพื่อนๆทั้งสามมีท่าทางสนอกสนใจเช่นนั้นก็ไม่กล้าขัด
    “ตัวเล็กก็เป็นไกด์พาเพื่อนๆไปเดินเล่นสิ”
    “ก็ได้ครับแม่”หมูน้อยกล่าวเสียงอ่อย  
    ดังนั้นเด็กทั้งสี่คนจึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งติดอยู่กับบ้านของพวกเขา  มันเป็นอาคารหลังใหญ่สามหลังตั้งเรียงติดกันเป็นรูปตัวยู  โดยอาคารกลางสิบสองชั้นที่ตั้งเด่นสุดตรงหน้าเด็กทั้งสามในเวลานี้คือตึกรักษาคนไข้ของโรงพยาบาล  ด้านซ้ายมือเป็นศูนย์วิจัยและแปลงทดลองต่างๆ  ส่วนด้านขวามือที่พวกเด็กๆกำลังมุ่งหน้าไปนั้นคือส่วนที่จัดแยกออกมาเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าชม
    ไกด์ร่างอ้วนตัวน้อยพาลูกทัวร์ทั้งสามคนมาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ก่อนแจกเอกสารของทางพิพิธภัณฑ์ที่เสียบวางเอาไว้ให้ผู้คนได้หยิบอ่าน
    “เอาล่ะครับทุกๆท่านฟังทางนี้  วันนี้ กระผม...เด็กชายหมูน้อยจะทำหน้าที่เป็นไกด์พาทุกๆท่านเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่ออีกแห่งของทางเมืองแห่งนี้”  ตุ้ยนุ้ยกล่าวอย่างมาดมั่นด้วยท่าทางเลียนแบบมัคคุเทศก์มืออาชีพ
    และแล้วขบวนทัวร์น้อยๆก็ได้เคลื่อนตัวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์  โดยส่วนแรกที่คณะทัวร์คณะนี้ไปหยุดยืนดูก็คือส่วนที่เป็นประวัติศาสตร์ของเมืองนี้
    “เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งพันสองร้อยปีล่วงมาแล้ว  ตามความเชื่อเมืองเทมาริสถือกำเนิดขึ้นโดยเทพีอาร์เทมิส  เมื่อครั้งหนึ่งที่พระองค์ทรงสร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกับสัตว์ต่างๆได้อย่างสงบสุข  โดยให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้ปกครองสัตว์ต่างๆ  พระองค์ทรงประทานพรข้อหนึ่งให้แก่มนุษย์กลุ่มนี้  พรที่ทรงประทานให้ก็คือเวทมนตร์แห่งการแปลงร่าง  ดังนั้นในวันที่ 9 เดือน 9 ซึ่งถือกันว่าเป็นวันแห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเมืองแห่งนี้  เราจึงมีพิธีการบวงสรวงเทพีอาร์เทมิสกันเพื่อขอบคุณพระองค์ที่ปกปักษ์รักษาเมืองเทมาริสแห่งนี้มาเป็นระยะเวลานานกว่าพันปี”

    จากคุณ : ไฟลี่ - [16 เม.ย. 45 08:33:50]