ตอนที่6

    ในขณะที่ประชาชนเมืองเทมาริสทั้งเมืองกำลังดำรงชีวิตอยู่อย่างสงบสุขท่ามกลางธรรมชาติและสัตว์ป่าทั้งหลาย  เลยออกไปอีกด้านหนึ่งของป่ามหัศจรรย์  เลยข้ามทิวเขาหินสีดำทะมึนที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้นระหว่างความอุดมสมบูรณ์และความแห้งแล้งเอาไว้  ณ อีกฟากหนึ่งของผืนโลกใบเดียวกันนี้คือที่ตั้งของเมืองหลังเขา  เมืองที่ร้อนระอุและเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องจำนวนมากผุดขึ้นเรียงรายจนไม่มีเนื้อที่หลงเหลือพอให้สีเขียวแห่งพงไพรได้แทรกลง  ทุกๆส่วนของเมืองนี้ถูกปูไว้ด้วยถนนคอนกรีตสีเทา  มีตึกอาคารรูปร่างต่างๆตั้งเรียงเป็นตับ  บ้างก็มีสีขาวสะอาดตา  บ้างก็เป็นสีเทากระดำกระด่างบ่งบอกถึงการขาดความเอาใจใส่  แต่สิ่งหนึ่งที่อาคารเหล่านี้มีเหมือนกันนั้นก็คือปราศจากสีเขียวและวัสดุที่นำมาสร้างอาคารก็ล้วนแล้วแต่เป็นปูน กระเบื้อง หรือไม่ก็อะลูมิเนียมทั้งสิ้น
    นอกจากนั้นแล้วบนถนนคอนกรีตทุกสายในเมืองแห่งนี้ล้วนอัดแน่นไปด้วยยวดยานรูปร่างแปลกตาต่างๆมากมาย  เหนือขึ้นไปคือท้องฟ้าสีหม่นปราศจากก้อนเมฆในฤดูหนาว  หรืออาจเป็นฟ้าสีแดงฉาดที่มีเพียงดวงอาทิตย์และแสงแดดอันร้อนแรงครอบครองอยู่ในฤดูร้อน  แต่ส่วนมากแล้วสายตาของทุกคนมักจะถูกบดบังไว้ด้วยกลุ่มควันท่อไอเสียและยานบินที่คับคั่งอยู่บนเส้นทางท้องฟ้า
    หากจะพูดให้ถูกก็คือว่า ณ เมืองแห่งนี้แทบจะไม่มีที่ใดยอมถูกให้ทิ้งไว้ว่างเปล่าพอที่จะมีต้นหญ้าหรือวัชพืชสักต้นขึ้นให้เห็นเลย

    ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางเมืองแห่งนี้....
    “ท่านจะไปไหนหรือขอรับ”หุ่นยนต์คนขับรถเอ่ยถามอย่างสุภาพกับเจ้านาย
    “ไปหอประชุมกลาง”เสียงตอบดังออกมาจากหน้ากากโลหะของเจ้านายร่างใหญ่
    และแล้วยานบินขนาดมหึมาก็ถลาบินขึ้นสู่ฟ้าท่านกลางแสงแดดอันร้อนระอุของต้นฤดูร้อน
    หอประชุมทรงแปดเหลี่ยมที่ตั้งสูงเด่นสะดุดตาใครต่อใคร  ในวันนี้เป็นที่แจ้งประจักษ์กันดีว่าจะมีการประชุมสามัญประจำปีเรื่องการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและมลพิษของชาวเมืองขึ้น ณ ที่แห่งนี้  ยวดยานพาหนะมากมายต่างลงจอดกันบริเวณหน้าอาคารทรงแปดเหลี่ยมพร้อมๆกันผู้คนภายใต้หน้ากากโลหะที่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าอาคารไปอย่างรีบร้อน  
    “เฮ้อ  ค่อยหายใจสะดวกหน่อย”เศรษฐีคนนั้นถอดหน้ากากออกเมื่อเข้ามาถึงภายในอาคาร ใบหน้าหลังหน้ากากโลหะนั้นมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยชั้นไขมันส่วนเกินที่เพิ่มพูนขึ้นจนแทบจะล้นออกมา  ดวงตาสีเทาเข้มปราศจากขนตาขนคิ้วที่บ่งบอกถึงความเจ้าอารมณ์และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ  และเมื่อบวกกับผมสีขาวบนศีรษะที่หลงเหลืออยู่น้อยเต็มทีช่วยส่งผลให้บุคคลผู้นี้ดูน่าเกลียดและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน
    “ท่านวุฒิเชิญค่ะ  การประชุมจะเริ่มขึ้นภายในสิบนาทีนี้”หญิงสาวฝ่ายต้อนรับเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินนำเศรษฐีแก่ไปยังห้องประชุมที่จัดเตรียมไว้
    “มากันครบแล้วรึยัง”เสียงแหบพร่าเอ่ยถามด้วยอารมณ์ค่อนข้างหงุดหงิด
    “เออ...ยังขาดท่านทะนงค่ะ”เสียงเล็กเบาตอบด้วยอาการสั่นเทา
    “ไป้  โทรไปตามมันมาให้ถึงที่นี่ภายในสิบนาทีนี้”ชายแก่ตะโกนออกคำสั่งไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
    “ค่ะ....ค่ะ”หญิงสาวละล่ำละลักจากไป
    แล้วอารมณ์ของเศรษฐีแก่ก็ยังคงบูดสนิทเมื่อการประชุมเริ่มขึ้นโดยขาดผู้เข้าร่วมประชุมคนสำคัญไปหนึ่งคน
    “มันอยู่ไหน”เสียงทรงอำนาจถามขึ้น
    “กำลังเดินทางมาอยู่ค่ะ”
    “ท่านวุฒิคิดอย่างไรกับข้อเสนอของท่านภงธนาบ้าง”
    “ไอ้การคุมกำเนิด ลดอัตราการเกิดของท่านมันก็ดีอยู่หรอกนะ  แต่ว่าข้อเสนอของท่านเนี่ยกว่าจะเห็นผลคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี  แล้วระยะเวลาระหว่างนี้ไปจนถึงตอนนั้นพวกเรามิต้องตายกันหมดเหรอ”เศรษฐีอ้วนผู้เป็นประธานการประชุมตำหนิ
    “ตอนนี้เมืองของเรากำลังประสบปัญหาประชากรล้นเมืองและการขาดแคลนอาหารอย่างหนัก  โดยคาดว่าเสบียงอาหารสำรองทั้งหมดที่มีอยู่คงจะหมดไปภายในสองถึงสามปีนี้อย่างแน่นอน”เลขาการประชุมรายงาน
    “เราอพยพไปหาที่อยู่ใหม่กันไม่ดีกว่าเหรอ”ผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่งเสนอ
    “เป็นความคิดที่ดี  แต่สถานที่แห่งนั้นมันอยู่ไหนกันล่ะ”
    “มีอยู่ที่หนึ่ง  เลยออกไปอีกด้านหนึ่งของทิวเขาหินสีดำ  บริเวณนั้นเราเคยส่งยานออกไปสำรวจดูแล้ว  พื้นที่แห่งนั้นยังคงเป็นป่าไม้ขนาดกว้างที่อุดมสมบูรณ์  รู้สึกว่าจะได้รับสมญาว่าเป็นป่ามหัศจรรย์  และติดกับชายป่าด้านหนึ่งก็เป็นที่ตั้งของเมืองเทมาริส”
    “ฮึ ๆ นี่ท่านยังเชื่อตำนานเทพปรัมปรานั่นอีกเหรอ”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก
    “ข้าไม่ได้เชื่อแต่ตำนานนี้มีอยู่จริงนะท่าน  เทพีอาร์เทมิสทรงสร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นจริง”
    “เอาเถอะๆจะยังไงก็ตามเจ้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับป่าแห่งนี้และเมืองเทมาริสนี้มาให้ข้าด้วย  อีกสิบสองวันเราจะมีการประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง  ถ้าป่าแห่งนี้น่าสนใจอย่างที่เจ้าว่าจริง  ต่อให้จะต้องทำลายเมืองเทพแห่งนั้นข้าก็จะยึดป่าแห่งนี้มาเป็นของเราให้จงได้!!!”ชายชรากล่าวน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

    เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลงทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน  วุฒิ...เศรษฐีชราผู้นั้นก็ยังคงนั่งรออยู่ในห้องประชุมด้วยอารมณ์บูดเน่าที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง  ไม่นานนักประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดขึ้น  ผู้ที่เดินเข้ามาคือเด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงชะลูด  
    “เพิ่งมาเอาป่านนี้  การประชุมเขาเริ่มกันตอนเย็นรึไง”น้ำเสียงประชดประชันดังขึ้นจากผู้ที่นั่งรออยู่
    “ผมจะมาหรือไม่มา  มันก็ไม่ได้เป็นผลอะไรกับการประชุมอยู่แล้วนี่ครับ”ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
    “ดีนี่  งั้นคราวหน้าแกก็ไม่ต้องมาเลยล่ะกัน”
    “ครับ”เขารับคำอย่างว่าง่าย  เป็นผลให้ดีกรีความโกรธของเศรษฐีอ้วนเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
    “ออกไปเลยนะ  แล้วไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”เขาตวาดไล่
    “ขอบคุณครับ  ผมเองก็ไม่คิดที่จะมาอยู่แล้ว  ไอ้การประชุมกับแนวความคิดของพวกท่านเนี่ยมันไม่ได้มีอะไรสร้างสรรค์เลย”แล้วชายหนุ่มก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก

    สิบสองวันผ่านไป .... ในการประชุมครั้งใหม่นี้ได้มีการจัดการบรรยายเกี่ยวกับสภาพของป่ามหัศจรรย์และเมืองเทมาริสขึ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนได้รับทราบ
    “ป่ามหัศจรรย์แห่งนี้มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่าห้าแสนไมล์ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงดินแดนและเขตลึกลับในตำนาน  มีป่าหลากหลายชนิดปะปนกันอยู่ทั้งทุ่งหญ้าเขตร้อน  ป่าดงดิบ  ป่าชายเลน  ทะเลทราย  หรือแม้กระทั่งป่าเมืองหนาวในเขตขั้วโลก  ณ ใจกลางป่าแห่งนี้คือทะเลสาบอันกว้างใหญ่ซึ่งเชื่อกันว่าเทพีอาร์เทมิสเทพีแห่งธรรมชาติและผืนดินทรงอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้  และในบริเวณชายป่าด้านตะวันออกนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองเทมาริส  เมืองในตำนานที่เทพีอาร์เทมิสทรงสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์ได้อาศัยอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าอื่นๆอย่างสงบพร้อมยังได้มอบหน้าที่ในการดูแลพิทักษ์ผืนป่ามหัศจรรย์ไว้กับพวกเขาด้วย”
    “แล้วตำนานเวทมนต์แปลงร่างของพวกชาวเมืองเทมาริสนั้นจริงเท็จเพียงใด”ผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งเอ่ยแทรกถามขึ้น
    “ยานสำรวจของเราไม่สามารถลดระดับลงไปได้ต่ำกว่าห้าหมื่นฟุต  ฉะนั้นจึงไม่สามารถถ่ายภาพระยะใกล้  หรือสืบหาวิถีการดำรงชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ได้”ผู้รายงานกล่าว
    “จะจริงหรือเท็จนั้นไม่สำคัญหรอก  เพราะไม่ว่าเวทมนต์ใดๆก็ไม่อาจมาสู้รบปรบมือกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของพวกเราได้”ท่านวุฒิกล่าวด้วยความมั่นใจ
    การบรรยายจึงดำเนินต่อไป....
    “หากพูดถึงทรัพยากรของป่าแห่งนี้แล้วถือว่าสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เราค้นพบมา  พันธุ์ไม้ต่างๆที่เคยพบว่าสูญพันธุ์ยังคงเจริญงอกงามอยู่ในดินแดนแห่งนี้  รวมไปถึงแร่ธาตุในดินทั้งหลายโดยเฉพาะทองคำที่ยานสำรวจของเรารายงานกลับมาว่า  มีทองคำถูกฝังอยู่มากมายบริเวณโดยรอบทะเลสาบ”
    เสียงฮือฮาแสดงความพออกพอใจดังขึ้นทั่วทั้งห้องประชุม
    “ถ้าเช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ก็เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับการอพยพในครั้งนี้  แล้วท่านคิดว่าเราจะใช้เวลาเตรียมการนานเท่าไรถึงจะพร้อมรบ”เศรษฐีอ้วนหันไปถามผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าด้านกำลังพลทหาร
    “ขอเวลาข้าอีกสองเดือนกำลังทหารของเราก็จะแกร่งไม่มีใครเทียบได้”ชายร่างกำยำผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
    “ดี  แล้วผลงานนักฆ่าไซเบอร์รุ่นใหม่ของท่านดอกเตอร์เล่า  จะเสร็จภายในสองเดือนนี้หรือไม่”เขาหันไปถามผู้เข้าร่วมประชุมอีกท่านหนึ่ง
    “มากเกินไปท่านวุฒิ  ข้าขอเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้นแหละ  หุ่นยนต์นักฆ่าของข้าก็จะพร้อมรับมือกับศัตรูทุกรูปแบบ”ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าดอกเตอร์กล่าวด้วยความหยิ่งผยอง
    “ดีมาก  งั้นประกาศออกไปให้ประชาชนรับทราบเลยว่า  อีกไม่เกินสามเดือนนี้เราจะมีการอพยพย้ายถิ่นฐานกันอีกครั้งหนึ่ง”นั่นคือคำสั่งสุดท้ายของการประชุมในวันนี้

    ข่าวการอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อไปยังที่อยู่ใหม่ถูกประกาศออกไปอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น  ทั่วทั้งเมืองหลังเขาแห่งนี้ต่างเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ  ท้องถนนที่เคยติดขัดไปด้วยยวดยานพาหนะกลับยิ่งติดแน่นมากขึ้นกว่าเดินเนื่องมาจากประชาชนทั้งหลายต่างพากันออกไปเลี้ยงฉลองและใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟือย
    “เห็นทางการประกาศว่าพบป่าแห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์มาก”ประชาชนหลายกลุ่มต่างวิพากษ์วิจารณ์และคาดหวังถึงสถานที่แห่งใหม่
    “รัฐบาลชุดนี้ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ  ข้ายังจำได้เลยนะเมื่อห้าปีก่อนที่ยึดเมืองแห่งนี้จากพวกชนผิวดำ  ไม่รู้เลือกสถานที่กันยังไงทั้งป่าไม้และสัตว์ป่าแทบจะหาความสมบูรณ์ไม่ได้  แล้วเป็นไง...ไม่กี่ปีก็ต้องย้ายสถานที่กันใหม่”หญิงชราคนหนึ่งกล่าว
    “โถ จะเอาอะไรกับตอนนั้น  ก็เมืองก่อนโน้นที่เคยอยู่นะแทบจะเป็นทะเลทรายอยู่แล้ว  หามาได้แค่นี้ก็ดีถมไป”อีกคนหนึ่งแย้ง
    “ช่างอดีตมันเถอะน่า  พวกท่านรอดูอนาคตของเรากันดีกว่า  เฮ้อ ข้าจะได้ใช้อะไรให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยหน่อย  อุตส่าห์ประหยัดมาตั้งนานแล้ว”
    “นั่นสิๆ  ข้านะอยากมีบ้านทั้งหลังที่ทำจากสักทองสักหลังนึง  เอาแบบต้นโตๆสักสามสี่คนโอบเลย”
    “ข้าเอาบ้านทองคำเลยดีกว่า  เห็นว่าพบทองฝังอยู่มากด้วยนี่”
    “โธ่.....โธ่....ท่านคิดว่าพวกทองคำเนี่ยจะมีตกมาถึงเราเหรอ  ข้าว่าไอ้บ้านทองคำอย่างที่ท่านฝันนั่นน่ะนะ  นู้น...สงสัยไปถูกสร้างเป็นบ้านของไอ้เศรษฐีวุฒินู่น”
    “ท่านก็อย่างโลภมากไปเลยน่า  เราได้กันแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว  ปล่อยให้พวกมันคอรัปชั่นไปบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก  ขอแค่ยังมีหลงเหลือมาถึงประชาชนอย่างเราๆบ้างก็พอแล้วล่ะ”เสียงชายชราคนหนึ่งกล่าวอย่างปลงๆ
    “พวกท่านคิดว่าการรบครั้งนี้จะสำเร็จไหม  เห็นว่าคราวนี้บุกรุกถึงเมืองของเทพเลยนะ”ชายหนุ่มคนหนึ่งแย้งขึ้นเรียบๆ
    “หนุ่มน้อยเอ๋ย!  จะไปสนอะไรกับเทพเจ้าพวกนั้น  ไม่ว่าพลังเทพหรือเวทมนต์อะไรก็ต้านทานวิทยาศาสตร์และมันสมองของดอกเตอร์ศศวัตรไม่ได้หรอก”ชายแก่ผู้อพยพถิ่นฐานมาหลายต่อหลายเมืองกล่าวอย่างมั่นใจ
    “ใช่ๆ  ดอกเตอร์ศศวัตรนี่แหละเทพเจ้าตัวจริงล่ะ”อีกคนหนึ่งสนับสนุน



    จากคุณ : ไฟลี่ - [18 เม.ย. 45 07:29:59]