หนึ่งเดือนผ่านไปในขณะที่พวกเด็กๆแห่งโรงเรียนสัตศาสตร์กำลังขะมักเขม้นฝึกซ้อมการแปลงร่างเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะมีขึ้นในอีกไม่ช้า ณ เมืองหลังเขา ประชาชนมากมายทุกหลังคาเรือนต่างใช้จ่ายทรัพยากรและพลังงานต่างๆไปอย่างฟุ่มเฟือยเพราะพวกเขารู้ดีว่าในอีกไม่ช้าพวกเขาก็จะสามารถมีแหล่งทรัพยากรและพลังงานใหม่มาทดแทน หากจะถามถึงจิตใต้สำนึกของประชาชน ณ เมืองหลังเขาเหล่านี้ว่า พวกเขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือกับการกระทำเยี่ยงโจรที่คอยฉกชิงถิ่นที่อยู่ของเหล่าชนพื้นเมืองมาเป็นของตน ประชาชนเหล่านี้ก็จะตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า
ข้าไม่เคยคิดละอายใจหรอกเพราะพื้นดินผืนน้ำบนโลกใบนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการของเหล่ามนุษย์อย่างพวกข้าทั้งสิ้น มนุษย์คือผู้ครอบครองโลกใบนี้ ดังนั้นพวกข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะใช้หรือทำลายมันได้ทั้งนั้น พวกสัตว์ป่าหรือชนพื้นเมืองที่ไร้วิทยาการล้วนจำเป็นที่จะต้องถูกกำจัดไปให้สิ้นซากนั่นคือคำตอบที่จะได้รับจากประชาชน
อันที่จริงเราจะกล่าวโทษประชาชนเหล่านี้ก็ไม่ถูกเลยซะทีเดียวเพราะพวกเขาทุกคนล้วนเติบโตมาในสภาพของการเป็นหนึ่ง อยู่เหนือเผ่าพันธุ์ต่างๆในโลกใบนี้ พวกเขาถูกสอนมาให้ดำรงชีวิตเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก เราจะลองไปดูโรงเรียนของพวกเขากันบ้างก็ได้
โรงเรียนของเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมืองไม่ห่างไกลจากหอประชุมกลางมากนัก หากจะเดินทางไปยังโรงเรียนแห่งนี้ให้ทันในเวลาเข้าเรียนแล้วล่ะก็ คงจะต้องตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แต่งตัวให้พร้อมโดยอุปกรณ์สำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือหน้ากากโลหะและถังออกซิเจนที่ถือเป็นเครื่องใช้ประจำตัวของประชาชนเมืองนี้ โรงเรียนแห่งนี้มีชื่ออันสวยหรูว่า โรงเรียนพัฒนาการแห่งมนุษย์ผู้ประเสริฐ ภายในโรงเรียนถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆเช่นโรงเรียนทั่วๆไป มีทั้งห้องสมุด ห้องทดลอง ห้องประชุม ห้องพักครู และห้องเรียน แต่สิ่งหนึ่งที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่เคยมีหรือปรากฏมาก่อนก็คือ การปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนเห็นคุณค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ ดังนั้นในเวลากลางคืนห้องเรียนหลายห้องก็ยังคงเปิดไฟทิ้งไว้ ตามห้องน้ำนักเรียนหรือแม้แต่ห้องน้ำครูเอง น้ำจากก๊อกหลายก๊อกยังคงไหลลงสู่อ่างดังไปทั่ว ตามพื้นถนนพื้นห้องต่างๆล้วนเกลื่อนกลาดไปด้วยเศษกระดาษ ถุงพลาสติก ถุงขนมมากมาย ไม่มีใครสักคนที่จะก้มลงเก็บมันขึ้นมา เพราะพวกเขาถือว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของหุ่นยนต์ทำความสะอาดที่จะคอยตามเก็บตามกวาดขยะต่างๆ แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดอีกสักกี่ร้อยตัวก็ไม่สามารถทำให้โรงเรียนแห่งนี้หรือเมืองทั้งเมืองนี้สะอาดขึ้นมาได้
เอาล่ะนักเรียนทุกคน วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองเรากันดีกว่าเสียงแหบพร่าของครูคนหนึ่งดังลอดออกมาจากห้องเรียน
ครูครับจริงรึเปล่าที่เราจะย้ายเมืองกันในอีกไม่เกินสองเดือนนี้เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น
จริง ตอนนี้ทางการกำลังจัดเตรียมกำลังพลอยู่ คาดว่าจะพร้อมบุกในเดือนหน้านี้แล้วครูหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
งั้นพวกเราก็จะได้มีบ้านใหม่กันแล้วซิคะ
ใช่ พวกเธอดูรัฐบาลชุดนี้ไว้เป็นตัวอย่างนะ ต่อไปในอนาคตถ้าคนใดคนหนึ่งในห้องนี้ได้ขึ้นเป็นถึงหน่วยรัฐบาลล่ะก็ ต้องทำผลงานให้ได้เยี่ยมเท่ากับคนก่อนๆ
ครูคะ แล้ว...เด็กหญิงคนหนึ่งตั้งใจจะถามคำถามต่อ
พอได้แล้ว วันนี้ครูมาสอนไม่ได้มาตอบคำถามให้พวกเธอฟัง ถ้าอยากรู้อะไรก็กลับไปถามพ่อแม่ที่บ้านนู่นครูหนุ่มตวาดกลับไป ทั่วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบกริบ หลังจากนั้นครูจึงได้เริ่มทำการสอนต่อไป
เข้าเรื่องประวัติศาสตร์เสียที เสียเวลามามากแล้ว ประวัติศาสตร์ของชนเผ่าคาเรนเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่เป็นที่แน่ชัด แต่คาดว่าคงมีมาตั้งแต่เมื่อสามพันปีก่อน ที่ตั้งแห่งแรกของเราอยู่ทางทิศตะวันออกของลุ่มแม่น้ำสีทองซึ่งในปัจจุบันได้เหือดแห้งไปเสียแล้ว ชนเผ่าคาเรนของเรามีวิวัฒนาการมาตลอดระยะเวลากว่าสองพันปี และเมื่อประมาณหนึ่งพันสามร้อยปีก่อนได้มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งริเริ่มในการนำเอาทรัพยากรและพลังงานต่างๆที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่พวกเขา พวกเขาได้ถางป่า สร้างบ้านเรือนต่างๆขึ้น มีการนำพลังงานน้ำมาปั่นกระแสไฟ ขุดแร่ธาตุจากผืนดินขึ้นมาใช้ ในยุคนั้นถือเป็นยุคที่เฟื่องฟูมากเพราะประชาชนทุกคนต่างมีกินมีใช้กันอย่างอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าทั้งหลายก็มีให้เราล่ากันมากมายนับไม่ถ้วนจนครั้งหนึ่งสามารถเกิดเป็นเกมกีฬาขึ้นมาได้ แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งร้อยปียุคเฟื่องฟูนี้ก็ถึงคราววิบัติ หลายคนเชื่อว่านั้นคือบทลงโทษของเทพเจ้าแต่ครูว่านะนั่นก็เป็นเพียงสัญญาณแห่งการย้ายถิ่นเท่านั้นเอง บ้านเมืองของเราที่เคยตั้งอยู่มากมายริมฝั่งแม่น้ำสีทองได้ถูกพายุและน้ำพัดพาเสียหายไปเกือบหมด ประชาชนที่เหลือรอดชีวิตมาได้ต่างก็พากันโยกย้ายถิ่นฐานขึ้นเหนือมาเรื่อยและก็ตั้งถิ่นฐานผลัดเปลี่ยนเรื่อยมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน เคยมีนักสำรวจหลายท่านได้ลองคำนวณถิ่นที่อยู่ที่พวกเราย้ายกันมา บางท่านก็ว่าเราย้ายกันมาเก้าสิบห้าครั้งบางท่านก็ว่าเก้าสิบแปดครั้ง แต่นั่นแหละยิ่งย้ายมากขึ้นก็แสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของพวกเราที่มีมากขึ้นเท่านั้นครูหนุ่มจบการเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
จึงไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อนักเรียนทุกคนที่จบจากสถาบันแห่งนี้จะมีชีวิตไม่ต่างไปจากประชาชนในเมืองหลังเขา เพราะพวกเขาเหล่านั้นถูกปลูกฝังมาบนพื้นฐานความเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกัน แต่ถ้าจะลองถามดูว่า แล้วมีใครสักคนไหมที่จะมีความคิดแตกต่างหรือขัดแย้งกับประชาชนทั้งเมืองหลงเหลืออยู่บ้าง แน่นอนยังมีเหลืออีกหนึ่งคน...เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ หากคุณจะยังจำชายหนุ่มรูปร่างสูงชะลูดที่เคยทะเลาะกับท่านเศรษฐีเมื่อเดือนที่แล้วได้ นั่นแหละเขาคนนั้น
ทะนงเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้า เขาเรียนจบมาจากสถาบันแห่งเดียวกับที่เด็กทุกคนศึกษาแต่ความต่างของชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ ความคิดและจิตใต้สำนึกของเขาที่มักบอกตัวเองอยู่เสมอมาว่า สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ได้รับการฝึกสอนเหล่านั้นมันไม่ใช่สิ่งดีงามเอาเสียเลย ดังนั้นมันจึงเป็นปมด้อยของชายหนุ่มนับตั้งแต่นั้นมา เขาเรียนจบด้วยคะแนนตกๆหล่นๆและทำงานในหน่วยราชการตามความต้องการของผู้เป็นลุงซึ่งก็คือท่านเศรษฐีวุฒิผู้นำเมืองหลังเขานั่นเอง คุณอาจสงสัยว่าเขาเป็นลุงเป็นหลานกันได้อย่างไรในเมื่อทั้งรูปร่างหน้าตาและความคิดจิตใจล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โปรดเลิกสงสัยเสียเถอะเพราะทุกสิ่งในโลกกลมๆใบนี้ล้วนมีความแตกต่างด้วยกันทั้งสิ้น หากลุงกับหลานคู่นี้จะต่างกันบ้างก็สุดความสามารถที่จะอธิบายได้
ทะนงนั้นอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กห่างไกลจากตัวเมือง หากจะมองหาบ้านของชายหนุ่มแล้วล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องยากเลยเพราะเพียงแค่ออกจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือไม่เกินสิบกิโลเมตรก็จะสามารถเห็นบ้านปูนหลังเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยพรรณไม้สีเขียวนานาพันธุ์ซึ่งไม่สามารถมองหาได้จากส่วนอื่นของเมืองนี้ ดังนั้นพื้นที่ประมาณหกไร่เศษของชายหนุ่มจึงเปรียบเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ยังพอหลงเหลืออยู่ในบริเวณแห่งนี้ ทุกๆเช้ายามเมื่อแสงอาทิตย์สีทองอ่อนรอดส่องผ่านใบไม้ลงมา เหล่าฝูงวิหคทั้งหลายต่างพากันออกจากรังเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่ เสียงร้องจิ๊บๆของพวกมันเปรียบดั่งดนตรีอันไพเราะแห่งป่าเขาลำเนาไพร ตามพื้นหญ้าและสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆนั้นก็เป็นที่อาศัยของกระต่ายฝูงใหญ่ที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวทั้งพ่อ แม่ ลูก ตามต้นไม้ใหญ่ก็มีลิง ค่าง ชะนี หลายตัวเกาะห้อยโหนอยู่ หรือจะเหล่ากระรอก กระแต ที่มักโดดข้ามไปมาระหว่างต้นไม้
และในเมื่อเขามีบ้านอันแสนสุขเช่นนี้แล้ว ทะนงจึงมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่าส่วนตัวแห่งนี้มากกว่าการออกไปเผชิญกับปัญหาต่างๆในเมือง ที่นี่เขาสามารถทำงานต่างๆมากมายที่เขาอยากทำได้เช่น การสำรวจพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ในป่าน้อยๆนี้ หรือจะพรวนดินรดน้ำพวกมันในเรือนเพาะชำหลังเล็กใกล้บ้านเขา ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ให้ทั้งความสบายใจ ความสดชื่น ที่เขาไม่อาจหาได้เลยจากเมืองใหญ่
ชายหนุ่มถอดถังออกซิเจนที่ใส่ติดตัวเข้าเมืองออกหลังจากที่ก้าวเข้าสู่บริเวณบ้านพักของตน ถังออกซิเจนที่ถือเป็นเครื่องใช้สำคัญของคนทั้งเมืองกลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปถนัดตาเลยเมื่อย่างเข้าสู่บริเวณแห่งนี้ หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทะนงก็เดินออกจากบ้านมาพร้อมๆกันถังที่ใช้บรรจุอาหารในมือ ห่างจากบริเวณบ้านไปไม่ไกลนักคือบ่อน้ำขนาดกลางที่เขาเพิ่งขุดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว เขาจัดการหาพันธุ์ปลาที่อุตส่าห์ดั้นด้นจับมาจากแม่น้ำซึ่งอยู่เลยเมืองออกไปถึงสามร้อยไมล์เพื่อมาเพาะพันธุ์ลงในบ่อแห่งนี้ บริเวณกลางบ่อนั้นมีศาลาขนาดเล็กที่ถูกสร้างไว้สำหรับใช้เป็นเล้าไก่ ชายหนุ่มโปรยเมล็ดข้าวเปลือกลงไปในรางอาหาร เหล่าสัตว์ปีกนับสิบตัวเมื่อรู้ถึงเวลาอาหารแล้วต่างก็แย่งกันเข้ามาจิกกินกันจ้าละหวั่น ข้าวเปลือกที่เป็นเศษขยะของคนอื่นๆนั้นชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถนำมันมาใช้ประโยชน์ได้อย่างดีเยี่ยมโดยการใช้เป็นอาหารเลี้ยงไก่ และขี้ของไก่พวกนี้ก็ตกลงบนพื้นของศาลาซึ่งถูกตีเป็นระแนงไว้อย่างหยาบๆซึ่งทำให้มันสามารถร่วงหล่นลงสู่บ่อน้ำเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าฝูงปลาได้อีกต่อหนึ่ง
เลยเวลาเที่ยงไปแล้วแต่แสงแดดยังคงไม่สามารถส่องผ่านเข้ามาบริเวณบ้านแห่งนี้ได้มากนัก ดังนั้นทะนงจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ต่างจากบริเวณเขตเมืองหลังเขาแห่งนี้ที่ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นมาอยู่ตรงหัวของเขาเมื่อไหร่ ทุกกิจกรรมในเมืองต่างหยุดพัก รถราและยานยนต์ต่างๆทั้งทางถนนบนดินหรือบนฟ้าแทบจะมีเหลืออยู่นับคันได้ เนื่องจากความร้อนระอุของแสงอาทิตย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายคร้านที่จะออกนอกบ้านในเวลาเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักใช้เวลาช่วงนี้หมดไปกับการนอนกลางวัน การเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือมื้อกลางวันที่มักใช้เวลานานไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง และเมืองแห่งนี้จะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสี่โมง
จากคุณ :
ไฟลี่ - [20 เม.ย. 45 08:00:09]