เรื่องเล่าจากแดนไกล(ตอนที่7)

     หนึ่งเดือนผ่านไปในขณะที่พวกเด็กๆแห่งโรงเรียนสัตศาสตร์กำลังขะมักเขม้นฝึกซ้อมการแปลงร่างเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะมีขึ้นในอีกไม่ช้า ณ เมืองหลังเขา  ประชาชนมากมายทุกหลังคาเรือนต่างใช้จ่ายทรัพยากรและพลังงานต่างๆไปอย่างฟุ่มเฟือยเพราะพวกเขารู้ดีว่าในอีกไม่ช้าพวกเขาก็จะสามารถมีแหล่งทรัพยากรและพลังงานใหม่มาทดแทน  หากจะถามถึงจิตใต้สำนึกของประชาชน ณ เมืองหลังเขาเหล่านี้ว่า  พวกเขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือกับการกระทำเยี่ยงโจรที่คอยฉกชิงถิ่นที่อยู่ของเหล่าชนพื้นเมืองมาเป็นของตน  ประชาชนเหล่านี้ก็จะตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า
    “ข้าไม่เคยคิดละอายใจหรอกเพราะพื้นดินผืนน้ำบนโลกใบนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการของเหล่ามนุษย์อย่างพวกข้าทั้งสิ้น  มนุษย์คือผู้ครอบครองโลกใบนี้  ดังนั้นพวกข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะใช้หรือทำลายมันได้ทั้งนั้น  พวกสัตว์ป่าหรือชนพื้นเมืองที่ไร้วิทยาการล้วนจำเป็นที่จะต้องถูกกำจัดไปให้สิ้นซาก”นั่นคือคำตอบที่จะได้รับจากประชาชน
    อันที่จริงเราจะกล่าวโทษประชาชนเหล่านี้ก็ไม่ถูกเลยซะทีเดียวเพราะพวกเขาทุกคนล้วนเติบโตมาในสภาพของการเป็นหนึ่ง  อยู่เหนือเผ่าพันธุ์ต่างๆในโลกใบนี้  พวกเขาถูกสอนมาให้ดำรงชีวิตเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก  เราจะลองไปดูโรงเรียนของพวกเขากันบ้างก็ได้
    โรงเรียนของเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมืองไม่ห่างไกลจากหอประชุมกลางมากนัก  หากจะเดินทางไปยังโรงเรียนแห่งนี้ให้ทันในเวลาเข้าเรียนแล้วล่ะก็  คงจะต้องตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง  แต่งตัวให้พร้อมโดยอุปกรณ์สำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือหน้ากากโลหะและถังออกซิเจนที่ถือเป็นเครื่องใช้ประจำตัวของประชาชนเมืองนี้  โรงเรียนแห่งนี้มีชื่ออันสวยหรูว่า  โรงเรียนพัฒนาการแห่งมนุษย์ผู้ประเสริฐ  ภายในโรงเรียนถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆเช่นโรงเรียนทั่วๆไป  มีทั้งห้องสมุด ห้องทดลอง  ห้องประชุม ห้องพักครู และห้องเรียน  แต่สิ่งหนึ่งที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่เคยมีหรือปรากฏมาก่อนก็คือ  การปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนเห็นคุณค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ ดังนั้นในเวลากลางคืนห้องเรียนหลายห้องก็ยังคงเปิดไฟทิ้งไว้  ตามห้องน้ำนักเรียนหรือแม้แต่ห้องน้ำครูเอง  น้ำจากก๊อกหลายก๊อกยังคงไหลลงสู่อ่างดังไปทั่ว  ตามพื้นถนนพื้นห้องต่างๆล้วนเกลื่อนกลาดไปด้วยเศษกระดาษ  ถุงพลาสติก  ถุงขนมมากมาย  ไม่มีใครสักคนที่จะก้มลงเก็บมันขึ้นมา  เพราะพวกเขาถือว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของหุ่นยนต์ทำความสะอาดที่จะคอยตามเก็บตามกวาดขยะต่างๆ  แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดอีกสักกี่ร้อยตัวก็ไม่สามารถทำให้โรงเรียนแห่งนี้หรือเมืองทั้งเมืองนี้สะอาดขึ้นมาได้
    “เอาล่ะนักเรียนทุกคน  วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองเรากันดีกว่า”เสียงแหบพร่าของครูคนหนึ่งดังลอดออกมาจากห้องเรียน
    “ครูครับจริงรึเปล่าที่เราจะย้ายเมืองกันในอีกไม่เกินสองเดือนนี้”เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น
    “จริง  ตอนนี้ทางการกำลังจัดเตรียมกำลังพลอยู่  คาดว่าจะพร้อมบุกในเดือนหน้านี้แล้ว”ครูหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
    “งั้นพวกเราก็จะได้มีบ้านใหม่กันแล้วซิคะ”
    “ใช่  พวกเธอดูรัฐบาลชุดนี้ไว้เป็นตัวอย่างนะ  ต่อไปในอนาคตถ้าคนใดคนหนึ่งในห้องนี้ได้ขึ้นเป็นถึงหน่วยรัฐบาลล่ะก็  ต้องทำผลงานให้ได้เยี่ยมเท่ากับคนก่อนๆ”
    “ครูคะ  แล้ว...”เด็กหญิงคนหนึ่งตั้งใจจะถามคำถามต่อ
    “พอได้แล้ว  วันนี้ครูมาสอนไม่ได้มาตอบคำถามให้พวกเธอฟัง  ถ้าอยากรู้อะไรก็กลับไปถามพ่อแม่ที่บ้านนู่น”ครูหนุ่มตวาดกลับไป  ทั่วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบกริบ  หลังจากนั้นครูจึงได้เริ่มทำการสอนต่อไป
    “เข้าเรื่องประวัติศาสตร์เสียที  เสียเวลามามากแล้ว  ประวัติศาสตร์ของชนเผ่าคาเรนเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่เป็นที่แน่ชัด  แต่คาดว่าคงมีมาตั้งแต่เมื่อสามพันปีก่อน  ที่ตั้งแห่งแรกของเราอยู่ทางทิศตะวันออกของลุ่มแม่น้ำสีทองซึ่งในปัจจุบันได้เหือดแห้งไปเสียแล้ว  ชนเผ่าคาเรนของเรามีวิวัฒนาการมาตลอดระยะเวลากว่าสองพันปี  และเมื่อประมาณหนึ่งพันสามร้อยปีก่อนได้มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งริเริ่มในการนำเอาทรัพยากรและพลังงานต่างๆที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่พวกเขา  พวกเขาได้ถางป่า สร้างบ้านเรือนต่างๆขึ้น  มีการนำพลังงานน้ำมาปั่นกระแสไฟ ขุดแร่ธาตุจากผืนดินขึ้นมาใช้ ในยุคนั้นถือเป็นยุคที่เฟื่องฟูมากเพราะประชาชนทุกคนต่างมีกินมีใช้กันอย่างอุดมสมบูรณ์  สัตว์ป่าทั้งหลายก็มีให้เราล่ากันมากมายนับไม่ถ้วนจนครั้งหนึ่งสามารถเกิดเป็นเกมกีฬาขึ้นมาได้  แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งร้อยปียุคเฟื่องฟูนี้ก็ถึงคราววิบัติ  หลายคนเชื่อว่านั้นคือบทลงโทษของเทพเจ้าแต่ครูว่านะนั่นก็เป็นเพียงสัญญาณแห่งการย้ายถิ่นเท่านั้นเอง บ้านเมืองของเราที่เคยตั้งอยู่มากมายริมฝั่งแม่น้ำสีทองได้ถูกพายุและน้ำพัดพาเสียหายไปเกือบหมด  ประชาชนที่เหลือรอดชีวิตมาได้ต่างก็พากันโยกย้ายถิ่นฐานขึ้นเหนือมาเรื่อยและก็ตั้งถิ่นฐานผลัดเปลี่ยนเรื่อยมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน  เคยมีนักสำรวจหลายท่านได้ลองคำนวณถิ่นที่อยู่ที่พวกเราย้ายกันมา  บางท่านก็ว่าเราย้ายกันมาเก้าสิบห้าครั้งบางท่านก็ว่าเก้าสิบแปดครั้ง  แต่นั่นแหละยิ่งย้ายมากขึ้นก็แสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของพวกเราที่มีมากขึ้นเท่านั้น”ครูหนุ่มจบการเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
    จึงไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อนักเรียนทุกคนที่จบจากสถาบันแห่งนี้จะมีชีวิตไม่ต่างไปจากประชาชนในเมืองหลังเขา  เพราะพวกเขาเหล่านั้นถูกปลูกฝังมาบนพื้นฐานความเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกัน  แต่ถ้าจะลองถามดูว่า  แล้วมีใครสักคนไหมที่จะมีความคิดแตกต่างหรือขัดแย้งกับประชาชนทั้งเมืองหลงเหลืออยู่บ้าง  แน่นอนยังมีเหลืออีกหนึ่งคน...เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้  หากคุณจะยังจำชายหนุ่มรูปร่างสูงชะลูดที่เคยทะเลาะกับท่านเศรษฐีเมื่อเดือนที่แล้วได้  นั่นแหละเขาคนนั้น  
    ทะนงเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้า  เขาเรียนจบมาจากสถาบันแห่งเดียวกับที่เด็กทุกคนศึกษาแต่ความต่างของชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ  ความคิดและจิตใต้สำนึกของเขาที่มักบอกตัวเองอยู่เสมอมาว่า  สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ได้รับการฝึกสอนเหล่านั้นมันไม่ใช่สิ่งดีงามเอาเสียเลย  ดังนั้นมันจึงเป็นปมด้อยของชายหนุ่มนับตั้งแต่นั้นมา  เขาเรียนจบด้วยคะแนนตกๆหล่นๆและทำงานในหน่วยราชการตามความต้องการของผู้เป็นลุงซึ่งก็คือท่านเศรษฐีวุฒิผู้นำเมืองหลังเขานั่นเอง  คุณอาจสงสัยว่าเขาเป็นลุงเป็นหลานกันได้อย่างไรในเมื่อทั้งรูปร่างหน้าตาและความคิดจิตใจล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  โปรดเลิกสงสัยเสียเถอะเพราะทุกสิ่งในโลกกลมๆใบนี้ล้วนมีความแตกต่างด้วยกันทั้งสิ้น  หากลุงกับหลานคู่นี้จะต่างกันบ้างก็สุดความสามารถที่จะอธิบายได้
    ทะนงนั้นอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กห่างไกลจากตัวเมือง  หากจะมองหาบ้านของชายหนุ่มแล้วล่ะก็  ไม่ใช่เรื่องยากเลยเพราะเพียงแค่ออกจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือไม่เกินสิบกิโลเมตรก็จะสามารถเห็นบ้านปูนหลังเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยพรรณไม้สีเขียวนานาพันธุ์ซึ่งไม่สามารถมองหาได้จากส่วนอื่นของเมืองนี้  ดังนั้นพื้นที่ประมาณหกไร่เศษของชายหนุ่มจึงเปรียบเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ยังพอหลงเหลืออยู่ในบริเวณแห่งนี้  ทุกๆเช้ายามเมื่อแสงอาทิตย์สีทองอ่อนรอดส่องผ่านใบไม้ลงมา  เหล่าฝูงวิหคทั้งหลายต่างพากันออกจากรังเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่  เสียงร้องจิ๊บๆของพวกมันเปรียบดั่งดนตรีอันไพเราะแห่งป่าเขาลำเนาไพร  ตามพื้นหญ้าและสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆนั้นก็เป็นที่อาศัยของกระต่ายฝูงใหญ่ที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวทั้งพ่อ แม่ ลูก  ตามต้นไม้ใหญ่ก็มีลิง ค่าง ชะนี หลายตัวเกาะห้อยโหนอยู่  หรือจะเหล่ากระรอก กระแต ที่มักโดดข้ามไปมาระหว่างต้นไม้
    และในเมื่อเขามีบ้านอันแสนสุขเช่นนี้แล้ว  ทะนงจึงมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่าส่วนตัวแห่งนี้มากกว่าการออกไปเผชิญกับปัญหาต่างๆในเมือง  ที่นี่เขาสามารถทำงานต่างๆมากมายที่เขาอยากทำได้เช่น  การสำรวจพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ในป่าน้อยๆนี้  หรือจะพรวนดินรดน้ำพวกมันในเรือนเพาะชำหลังเล็กใกล้บ้านเขา  ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ให้ทั้งความสบายใจ ความสดชื่น  ที่เขาไม่อาจหาได้เลยจากเมืองใหญ่
    ชายหนุ่มถอดถังออกซิเจนที่ใส่ติดตัวเข้าเมืองออกหลังจากที่ก้าวเข้าสู่บริเวณบ้านพักของตน  ถังออกซิเจนที่ถือเป็นเครื่องใช้สำคัญของคนทั้งเมืองกลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปถนัดตาเลยเมื่อย่างเข้าสู่บริเวณแห่งนี้  หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ทะนงก็เดินออกจากบ้านมาพร้อมๆกันถังที่ใช้บรรจุอาหารในมือ  ห่างจากบริเวณบ้านไปไม่ไกลนักคือบ่อน้ำขนาดกลางที่เขาเพิ่งขุดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว  เขาจัดการหาพันธุ์ปลาที่อุตส่าห์ดั้นด้นจับมาจากแม่น้ำซึ่งอยู่เลยเมืองออกไปถึงสามร้อยไมล์เพื่อมาเพาะพันธุ์ลงในบ่อแห่งนี้  บริเวณกลางบ่อนั้นมีศาลาขนาดเล็กที่ถูกสร้างไว้สำหรับใช้เป็นเล้าไก่  ชายหนุ่มโปรยเมล็ดข้าวเปลือกลงไปในรางอาหาร  เหล่าสัตว์ปีกนับสิบตัวเมื่อรู้ถึงเวลาอาหารแล้วต่างก็แย่งกันเข้ามาจิกกินกันจ้าละหวั่น  ข้าวเปลือกที่เป็นเศษขยะของคนอื่นๆนั้นชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถนำมันมาใช้ประโยชน์ได้อย่างดีเยี่ยมโดยการใช้เป็นอาหารเลี้ยงไก่  และขี้ของไก่พวกนี้ก็ตกลงบนพื้นของศาลาซึ่งถูกตีเป็นระแนงไว้อย่างหยาบๆซึ่งทำให้มันสามารถร่วงหล่นลงสู่บ่อน้ำเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าฝูงปลาได้อีกต่อหนึ่ง
    เลยเวลาเที่ยงไปแล้วแต่แสงแดดยังคงไม่สามารถส่องผ่านเข้ามาบริเวณบ้านแห่งนี้ได้มากนัก  ดังนั้นทะนงจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง  ต่างจากบริเวณเขตเมืองหลังเขาแห่งนี้ที่ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นมาอยู่ตรงหัวของเขาเมื่อไหร่  ทุกกิจกรรมในเมืองต่างหยุดพัก  รถราและยานยนต์ต่างๆทั้งทางถนนบนดินหรือบนฟ้าแทบจะมีเหลืออยู่นับคันได้  เนื่องจากความร้อนระอุของแสงอาทิตย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายคร้านที่จะออกนอกบ้านในเวลาเช่นนี้  ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักใช้เวลาช่วงนี้หมดไปกับการนอนกลางวัน  การเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้า  หรือมื้อกลางวันที่มักใช้เวลานานไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง  และเมืองแห่งนี้จะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสี่โมง

    จากคุณ : ไฟลี่ - [20 เม.ย. 45 08:00:09]