เรื่องเล่าจากแดนไกล ตอนที่9

    เมื่อย่างเข้าต้นเดือนที่สี่การฝึกซ้อมทั้งหมดก็มีอันต้องยุติลง  แม้เวลาสองเดือนเต็มอาจจะดูกระชั้นชิดมากเกินไป  แต่วันเวลาเหล่านี้ก็ทำให้พวกเด็กๆได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายพร้อมกับการพัฒนาตนเองไปในตัว
    และในเช้าวันที่หนึ่งของเดือนสี่มาถึงครูภพและครูฝ้ายต่างเรียกประชุมเด็กๆทั้งหมด
    “วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายที่ครูจะเป็นผู้ฝึกสอนให้กับพวกเธอเพราะการแข่งขันจะเริ่มนับตั้งแต่ปริศนาชิ้นแรกถูกส่งมาซึ่งก็คือเวลาบ่ายโมงของวันนี้  สิ่งที่ครูอยากจะบอกพวกเธอเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือความพยายามและความสามัคคีของหมู่คณะจะเป็นพลังช่วยผลักดันพวกเธอทุกคนไปถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ  เอาล่ะถึงเวลามาแบ่งหน้าที่ของทุกคนแล้ว”
    แล้วเด็กๆทั้งหมดก็ถูกมอบหมายหน้าที่ตามความถนัดของตนซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมายของทุกคนเกือบทั้งหมดคือแมวเด็กหญิงช่างคำนวณได้เป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัย  ชิมได้เป็นหัวหน้าฝ่ายจารกรรม  สิงห์ได้เป็นแม่ทัพแนวหน้า  แต่คนที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็คือหัวหน้าฝ่ายเสบียงอาหารซึ่งตกเป็นของหมูน้อย  แน่นอนเด็กชายตัวอ้วนดีใจจนเนื้อเต้นเลยทีเดียว  เขารู้อยู่แล้วว่าจะได้อยู่หน่วยนี้แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วย
    “เอาล่ะทีนี้ก็ถึงคราวของผู้บัญชาการสูงสุดแล้ว  ครูอยากให้พวกเธอเป็นคนเลือกเองมากกว่าว่าจะให้ใครเป็นผู้คุมแทนครูต่อไป”ครูภพขอความเห็นเด็กๆ
    “แก้วค่ะ”
    “ม้าครับ”
    “เลียงผาครับ”จู่ๆห่านก็เอ่ยชื่อเด็กชายออกไปทำให้เจ้าตัวและเพื่อนสนิทหันมามองแทบพร้อมกัน
    “นายจะบ้าเหรอ  ฉันออกคำสั่งใครไม่เป็นนะ”เลียงผาดุเสียงเขียว  เขาไม่ชอบการเสนอตัวเท่าไรนัก
    “ทำไมจะไม่ได้ก็อย่างตอนที่เราแข่งเรือกันไง  ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่พาทีมเราชนะได้ทั้งๆที่รั้งท้ายขนาดนั้น”ห่านเล่าอย่างภูมิใจในตัวเพื่อน
    เรื่องการแข่งแพในวันนั้นถือเป็นที่ประจักษ์สายตาของทุกคนในความเป็นผู้นำของเลียงผา  เนื่องจากวันนั้นได้มีการฝึกซ้อมทางน้ำขึ้นโดยแบ่งเป็นกลุ่มๆละหกคน  กลุ่มของเลียงผามีหงส์และเพื่อนในห้องอีกสี่คนอยู่ด้วย  การแข่งขันเริ่มต้นด้วยการหาไม้ในป่ามาทำเป็นแพหรือเรือโดยมีข้อแม้ว่าห้ามตัดต้นไม้เป็นอันขาด  ดังนั้นพวกเด็กๆจึงต้องหาเศษไม้ให้ได้จำนวนมากพอที่จะต่อแพ  และเนื่องจากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเลียงผาคือช้างซึ่งรูปร่างของเขาก็สมกับชื่อจริงๆมันก็เลยทำให้พวกเด็กๆกลุ่มนี้ต้องทำงานหนักขึ้น  พวกเด็กหาเศษไม้มาต่อกันได้จำนวนมากพอสำหรับคนหกคนแล้ว  พวกเขาก็จะต้องคำนวณกันว่าจะแปลงร่างเป็นสัตว์อะไรให้ได้ขนาดเล็กที่สุดซึ่งการแปลงร่างนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคลด้วยว่าจะแปลงเป็นอะไรได้  อย่างกลุ่มของแมวซึ่งเจ้าตัวก็แปลงร่างเป็นแมวขาวตัวเล็กแล้วก็มีกระรอก กระแต  ส่วนสัตว์ใหญ่สุดในกลุ่มนี้ก็แค่ลิงน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น  สำหรับกลุ่มของเลียงผาโชคร้ายหนักกว่าเพื่อนเพราะช้างไม่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ที่เล็กได้มากกว่าหมูอ้วนกลมๆตัวหนึ่ง  เพื่อนอีกห้าคนจึงต้องพยายามแปลงร่างให้เล็กที่สุดโดยเลียงผาเองแปลงเป็นหนู ห่านแปลงเป็นกระรอก  และอีกสามคนเป็นลิงลม ตัวอาย-อาย และกระแต  แต่ดูเหมือนว่าแค่เพียงน้ำหนักของหมูตัวเดียวก็ไม่สามารถให้แพเคลื่อนได้ง่ายดายนัก  มันแทบจะล้มคว่ำไปหลายต่อหลายครั้ง  และร้ายที่สุดก็ตอนที่แพของกลุ่มต้องไปติดอยู่ในดงสาหร่าย
    “เรารั้งอยู่ท้ายสุดแล้วนะ”ห่านบอกน้ำเสียงสิ้นหวัง
    “ใครแปลงร่างเป็นปลาตัวใหญ่ๆได้บ้างล่ะ”เลียงผาหันไปถามเพื่อนของตน
    “เราทำได้”ลิงลมตัวน้อยเพื่อนของเขากล่าวก่อนแปลงร่างเป็นปลานิลว่ายลงไปกัดกินสาหร่ายทำให้แพเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง
    “จริงสิ  นายลองช่วยดันแพดูหน่อยสิ”เลียงผาสั่งเพื่อนที่ว่ายอยู่ในน้ำ
    แล้วปลานิลตัวนั้นก็ดันแพของพวกเด็กๆ  มันขยับเคลื่อนหน้าไปได้บ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    “ใครแปลงร่างเป็นปลาได้อีกมั่ง”
    “ความจริงเราก็พอทำได้นะ”ช้างในร่างหมูอ้วนกล่าวก็กลายร่างเป็นปลาบึกตัวยักษ์  และก็ยังมีเพื่อนอีกคนที่แปลงเป็นปลาช่อนลงไปช่วย
    “จริงสิเราก็ลงไปช่วยได้”ห่านกล่าวก่อนกลายร่างเป็นสัตว์ปีกสีขาวคอยาว
    “ห่าน  ฉันว่านายว่ายนำหน้าพวกเราไปดีกว่า  เราหลงเข้ามาในดงสาหร่ายแบบนี้เดี๋ยวมันก็มาพันเข้ากับแพอีก  นายไปกรุยทางให้ที  ด้านหลังแค่ปลาสามตัวก็พอแล้วล่ะ”เลียงผาบอก
    ดังนั้นเจ้าห่านสีขาวตัวสวยจึงว่ายนำหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ  ปากของมันคอยจิกลากพืชน้ำและสาหร่ายที่ลอยเข้ามาขวางทางแพอย่างคล่องแคล่ว
    “กวาง”เลียงผาหันไปเรียกตัวกระแตที่นั่งอยู่บนแพ  “นายไปอยู่ท้ายแพคอยบอกทิศทางให้พวกนั้นดัน  อาจต้องใช้สัญญาณมือบ้างเพราะในน้ำท่าจะได้ยินลำบาก  ส่วนฉันจะไปอยู่หน้าแพดูทางให้”
    กระแตตัวนั้นรับคำก็เดินไปนั่งท้ายแพ  และแล้วการเดินทางจึงดำเนินต่อไป...กัปตันเลียงผาออกคำสั่งให้มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงสุด  นายท้ายกวางรับคำสั่งอย่างแข็งขันก่อนส่งสัญญาณมือให้กะลาสีใต้น้ำทั้งสามเร่งเครื่องเต็มกำลัง  แพไม้ของพวกเด็กๆแล่นผ่านผิวน้ำไปได้อย่างรวดเร็ว  แต่โน่น!  เหนือผิวน้ำทางด้านหน้าผู้ตรวจการห่านกระพือปีกส่งสัญญาณ  ด้านหลังของผู้ตรวจการคือก้อนหินขนาดมหึมาซึ่งขวางทางน้ำอยู่  จะทำยังไงดีล่ะในเมื่อแพแล่นด้วยความเร็วเช่นนี้ขืนตรงต่อไปต้องปะทะเข้ากับสิ่งกีดขวางอย่างจังแน่
    กัปตันตะโกนสุดเสียง “เลี้ยวซ้ายสุดกำลัง”
    ด้านนายท้ายก็โบกไม้โบกมือพร้อมกับตะโกนโหวกเหวกให้สัญญาณแก่ลูกน้อง  แต่ โอ! ดูเหมือนว่าลูกน้องจะรับสัญญาณผิดเสียแล้ว  พวกเขาหันตัวแพไปทางด้านขวาเต็มที่ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการพุ่งเข้าตรงหินยักษ์เช่นกัน!!!  
    จะทำยังไงดี  จะทำยังไงดี!!!  กัปตันตะโกนร้องถามตัวเอง
    และในวินาทีถัดมากัปตันในร่างหนูตัวกระจ่อยร่อยก็กลายร่างเป็นอินทรียักษ์  มันกางปีกสีน้ำตาลทองออกก่อนส่งเสียงบอกเพื่อนสัตว์ปีกให้มารับกระแตตัวน้อยที่นั่งอกสั่นขวัญหายอยู่ท้ายเรือไป  และก่อนที่แพจะพุ่งชนเข้ากับก้อนหินยักษ์  นกอินทรีตนนั้นก็ถลาบินขึ้นพร้อมแพในอุ้งเล็บทั้งสองข้าง
    “ตูม”เสียงแพถูกวางลงน้ำอีกครั้ง
    ตัวกระแตค่อยๆปีนออกจากลำตัวห่านกลับเข้าแพ  ส่วนกัปตันก็กลับสู่ร่างเดินคือเจ้าหนูน้อยผู้กล้าหาญ
    หลังจากนั้นแพไม้ลำนี้แล่นต่อไปอย่างราบรื่น  พวกเขาแล่นผ่านแพของกลุ่มอื่นๆที่ติดสาหร่ายบ้าง  แพแตกบ้าง  หรือบางแพก็แล่นช้าเพราะขาดท้ายแพที่ดีเช่นลำนี้  ในที่สุดการเดินทางอันแสนตื่นเต้นครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อแพของเหล่าเด็กๆกลุ่มนี้ลอยลำเข้ามาเทียบท่าปลายทางได้เป็นลำแรก

    “ตกลงเสนอชื่อกันมาสามคนใช่ไหม  เอาล่ะเราจะมาโหวตเสียงกันดูว่าพวกเธออยากให้ใครเป็นผู้นำ  เริ่มจากม้าก่อนเลย”
    มือของเพื่อนๆในชั้นถูกยกขึ้นให้กับบุคคลที่ตนเลือก  และในที่สุดคะแนนเสียงก็เป็นเอกฉันท์คือ ม้าได้ห้าคะแนน  เลียงผาได้เก้าคะแนน  ส่วนแก้วมีเพื่อนในห้องยกมือให้ทั้งหมดสิบคนจึงได้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดไป
    “น่าเสียดาย  นายแพ้เขาเพียงแค่คะแนนเดียวเอง”ห่านอดบ่นไม่ได้เมื่อถึงเวลาพัก
    “ดีแล้วล่ะ  เราไม่อยากเป็นสักหน่อย  แค่ได้อยู่ฝ่ายจารกรรมกับนายกันหงส์ก็ดีถมไปแล้ว”
    “แต่ว่าความจริงนายเหมาะกับตำแหน่งนี้มากกว่าแก้วอีกนะ”หงส์เอ่ยชม
    “เอาเถอะๆ  เขาเลือกกันไปแล้วนะ”เลียงผาตัดบทก่อนหันไปสนใจอาหารตรงหน้า
    ในเวลาบ่ายโมงของวันนั้นปริศนาชิ้นแรกก็ได้ถูกส่งมาให้ที่ห้องเรียน  โดยเจ้าสิ่งนั้นคือกล่องกระดาษทรงกลมที่ด้านในบรรจุกระดาษสีน้ำตาลอ่อนซึ่งถูกมัดไว้ด้วยเชือกสีน้ำตาลเข้ม  บ่งบอกได้ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านี้คงถูกรีไซเคิลขึ้นมาจากกระดาษเก่าๆที่ใช้แล้ว
    แก้วเป็นคนคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาดูต่อหน้าทุกคน  แล้วพวกเด็กๆก็ต่างงวยงงไปตามๆกันเมื่อภายในกระดาษแผ่นนั้นไม่ได้ถูกเขียนอะไรไว้เลยแม้แต่น้อย
    “ไม่เห็นมีอะไรเลย”แก้วพูดขึ้นอย่างปลงๆ
    “ก็ถ้ามีมันก็คงไม่เรียกว่าเป็นปริศนาหรอก”
    “แล้วเราจะแก้ปริศนากระดาษชิ้นนี้ได้ยังไง”
    “ฉันว่ากระดาษแผ่นนี้น่าจะมีอะไรเขียนอยู่นะ”หงส์บอกเมื่อสังเกตเห็นรอยจางๆบนแผ่นกระดาษ
    “แล้วอะไรที่เธอว่ามันหายไปไหนเสียล่ะ”
    “คงต้องใช้หมึกล่องหนเขียนล่ะมั้ง”ชิมเอ่ยขึ้น
    “บ้าเหรอ  มีที่ไหนกันหมึกล่องหนเนี่ย”แก้วเอ็ดให้กับคำหยอกล้อของเพื่อนหน้าทะเล้น
    “มีนะ  เมื่อก่อนตอนเด็กๆเราก็เคยเล่นเหมือนกันพวกนายไม่เคยเล่นเหรอที่เขาใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้มมาแทนน้ำหมึกแล้วเขียนลงไปในกระดาษไง”ห่านกล่าว
    “อ้อ  ใช่ๆ  แล้วก็เอาไปผิงไฟใช่ไหม  หมึกพวกนั้นมันก็จะปรากฏออกมาให้เห็นว่าเราเขียนอะไรลงไปบ้าง”
    “งั้นเราก็เอาไปผิงไฟกันเถอะ”
    แล้วพวกเด็กๆก็ยกขบวนกันออกไปที่สนาม  จัดแจงก่อกองไฟกองใหญ่โดยแก้วเป็นผู้คลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาอังกับความร้อนของกองไฟ
    “เข้าไปใกล้อีกนิดสิ  มันยังไม่โดนความร้อนเลย”เพื่อนชายคนหนึ่งเอ่ยด้วยความใจร้อน
    เด็กหญิงจึงขยับแผ่นกระดาษเข้าไปใกล้กองไฟมากขึ้น
    “อ่ะ  นั่นไงๆ  เห็นรอยหมึกแล้ว”เพื่อนๆพากันร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ
    “มันเขียนว่ายังไงเหรอ?”คนที่ยืนอยู่ข้างหลังยื่นหน้าเข้ามาถาม
    “ไม่รู้สิ  ยังดูไม่ออก  แก้วอังไฟให้ทั่วแผ่นหน่อยสิ”สองห์เอ่ยขึ้นด้วยความใจร้อน  และด้วยความไม่ทันใจทำให้เด็กชายขยับข้อมือเพื่อนสาวไปด้วยตัวเอง  แก้วซึ่งไม่ชอบใจนักพยายามสะบัดข้อมือของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายจนทำให้กระดาษในมือของเด็กหญิงพลาดหลุดตกลงไปในกองเพลิง!!
    “ตายแล้ว  เอาไม้มาเขี่ยเร็ว”แก้วร้องเสียงหลง
    เลียงผาซึ่งทำหน้าที่ถือไม้คอยเขี่ยฟืนอยู่ปราดเข้ามาเขี่ยแผ่นกระดาษออกจากกองเพลิงทันที  แม้ความเร็วของเด็กชายจะมีมากเพียงใดก็ไม่อาจรวดเร็วไปกว่าไฟกองใหญ่ที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่  ดังนั้นเขาจึงเขี่ยออกมาได้เพียงแผ่นกระดาษสีน้ำตาลที่ไหม้เกือบหมด  เลียงผาก้มลงหยิบมันขึ้นมา  รอยไหม้สีดำต่างปลิวลงลงพื้นเหลือเพียงแผ่นกระดาษสีน้ำตาลแผ่นเล็กที่ขอบไหม้อยู่โดยรอบ  บนกระดาษแผ่นนั้นปรากฏรอยหมึกสีน้ำตาลเข้มลากผ่านไปมาเป็นรูปร่างแปลกตาและไม่อาจเข้าใจได้
    “ไหม้หมดอย่างนี้พวกเราจะทำยังไงดี”นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยอย่างสิ้นหวัง
    “เพราะนายที่เดียว  จู่ๆมาขยับมือฉันทำไม”แก้วหันไปเอ็ดเสียงเขียวกับเพื่อนชาย
    “เธอนั่นแหละไม่รู้จักจับให้มันแน่นๆ  เราแค่ขยับมือเธอเข้าไปให้ใกล้อีกหน่อยเท่านั้น”เด็กชายเถียงเสียงเขียวเช่นกัน
    “นาย...”แก้วโกรธจนพูดไม่ออก
    “พอทีๆ  ยังไงมันก็ไหม้ไปหมดแล้ว  เราน่าจะหาทางแก้ไขกันมากกว่ามานั่งทะเลาะกันแบบนี้”เลียงผาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
    ในที่สุดการเริ่มต้นของการแข่งขันก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก  เด็กๆต่างพากันแยกย้ายเดินกลับห้องไป
    “ฉันไม่น่าเลือกยายนี่มาเป็นหัวหน้าเลยจริงๆ”เสียงบ่นจากเด็กชายคนเดิมพูดกับเพื่อนสนิท


    จากคุณ : ไฟลี่ - [21 เม.ย. 45 07:04:40]