เรื่องเล่าจากแดนไกล ตอนที่10

    และในวันถัดๆมาก็มีกล่องบรรจุกระดาษสีน้ำตาลถูกส่งมาที่ห้องเรียนเรื่อยๆ  คราวนี้พวกเด็กเปลี่ยนวิธีโดยการขอยืมเตาย่างมาจากบ้านของหงส์เพื่อมาอังไฟเจ้ากระดาษแผ่นนี้แทน  ลายเส้นขยุกขยิกมากมายปรากฏขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละแผ่นโดยที่ไม่มีใครสามารถอ่านลวดลายเหล่านั้นออกได้
    “ตอนนี้เรามีทั้งหมดสี่แผ่น  ถ้าจะรวมกับแผ่นแรกด้วยก็ต้องเป็นห้า  แต่ปัญหาสำคัญคือเราไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเจ้ากระดาษพวกนี้ดี”เลียงผาซึ่งบัดนี้ดูราวกับเป็นผู้บัญชาการของทุกคนแทนแก้วเอ่ยขึ้น
    “มันน่าจะเอาสี่ห้าแผ่นนี้มาเชื่อมต่อกันนะ”หงส์ว่า
    “แล้วเชื่อกันแบบไหนล่ะ”
    “ก็...ไม่รู้สิ  ลองเอามาเรียงต่อๆกันเป็นไง”
    เด็กชายจึงจัดการนำกระดาษทั้งสี่แผ่นมาเรียงต่อกันโดยลองสลับที่ไปมา  แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอะไร
    “ถ้าเรียงต่อกันอย่างที่ว่า  มันก็น่าจะมีแค่สี่แผ่นสิ  นี่มีตั้งห้าแผ่นอีกแผ่นจะเอาไปไว้ไหน”ห่านแฝดชายเอ่ยท้วงน้องสาว
    “เลิกเรียนแล้ว  ฉันว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”เพื่อนสาวคนหนึ่งในห้องบอก
    พวกเด็กๆจึงแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของของตน  เลียงผาจัดแจงรวมรวมแผ่นกระดาษปริศนาทั้งหมดเพื่อเก็บลงลิ้นชัก
    “เดี๋ยวก่อนเลียงผา  นั่นไงๆ”เสียงของเด็กชายห่านที่ร้องดังลั่นสะดุดความสนใจของเพื่อนๆทั้งชั้น
    “อะไร?”เลียงผาทำหน้าฉงน
    “ก็นั่นไงล่ะ  ลายแทงแผนที่ไง”ห่านกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น  ว่าแล้วก็ดึงกระดาษจากมือของเพื่อนชายไปส่องกับแสงไฟ  แล้วแผ่นกระดาษทั้งสี่เมื่อรวมกันและถูกแสงไฟก็ปรากฏออกเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ที่ยังขาดรายละเอียดบางส่วนเนื่องจากกระดาษแผ่นหนึ่งได้หายไป
    เลียงผาจัดการให้ชิมเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักวาดภาพประจำห้องลอกกระดาษทั้งสี่แผ่นลงเป็นแผ่นเดียว
    “ดูเหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดีนะ”หงส์กล่าวเมื่อเดินกลับบ้านพร้อมกัน
    “อาจใช่  ยกเว้นแต่แก้วกับสิงห์เท่านั้น”
    “ไม่น่าทะเลาะกันเล้ย”ห่านเสริมด้วยท่าทางเซ็งๆ
    “หมูน้อย  วันนี้ไม่เห็นนายทำอะไรเลย”เลียงผาหันไปถามเพื่อนตัวอ้วนซึ่งวันนี้มีท่าทางผิดปรกติ
    “ก็ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องที่ต้องใช้ความคิดนี่นา”ตุ้ยนุ้ยบอก
    “แต่เราว่าวันนี้นายดูมีเรื่องให้ต้องคิดมากนะ  เป็นอะไรรึเปล่า”ห่านที่เฝ้าสังเกตเพื่อนมาตลอดทั้งวันถามอย่างเป็นห่วง
    “ฉัน....ฉันทะเลาะกับพ่อมานิดหน่อย  ไม่มีอะไรหรอก”หมูน้อยตัดบทก่อนเดินดุ่มๆจากไป
    “แย่จัง”หงส์เปรยออกมาด้วยความสงสารเพื่อน

    วันต่อๆไปทุกอย่างอาจดูดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคนในห้อง  ปริศนาและสิ่งของต่างๆยังคงถูกส่งมาในห้องทุกบ่ายโมง  นอกจากกระดาษสี่แผ่นกับอีกเสี้ยวหนึ่งที่ไหม้ไปแล้วนั้นก็ยังมีกล่องไม้อีกกล่องที่ภายในบรรจุต้นไม้ใบไม้แห้งๆหลายอย่างไว้ด้วยกันกับเมล็ดพืชอีกสี่ห้าชนิด  ซึ่งหญ้าแห้งและเมล็ดพืชเหล่านั้นพวกเด็กต่างไม่รู้จักและเคยพบเห็นเลย  ดังนั้นเลียงผาจึงสั่งการให้หงส์เป็นคนค้นหาข้อมูลของเจ้าสิ่งเหล่านี้
    ก่อนวันที่สิบหกของเดือนจะมาถึงพวกเด็กๆก็ได้รับแจกอุปกรณ์สำคัญที่ใช้สำหรับการเดินป่าครั้งนี้ก็คือ  สัญญาณฉุกเฉินที่จะใช้จุดขึ้นเมื่อถึงคราวมีภัยคนละหนึ่งอัน  แต่ข้อสำคัญของการใช้สัญญาณนี้ก็คือว่า  หากมีสมาชิกคนใดใช้พลุสัญญาณนี้เท่ากับว่ากลุ่มนั้นจะต้องออกจากการแข่งขันในทันที
    “ของที่ส่งมาคงมีเพียงเท่านี้แหละ”เลียงผาเรียกประชุมเพื่อนๆในห้องทั้งหมดเมื่อวันที่สิบห้าของเดือน
    “ฉันคิดว่านี่คงเป็นแผนที่ภายในป่ามหัศจรรย์ที่ต้องการให้กลุ่มเราเดินทาง”ว่าแล้วเด็กชายก็ชูแผ่นกระดาษที่ชิมเป็นผู้ร่างขึ้นใหม่ให้
    “แล้วเราจะเดินทางยังไงโดยไม่มีกระดาษแผ่นแรกนั่น”เพื่อนสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
    “ชิมกับฉันลองต่อเส้นสายเพิ่มเติมดู  อาจไม่สมบูรณ์นักแต่ก็พอใช้ได้”ว่าแล้วเด็กชายก็แจกแผนที่ที่ถูกคัดลอกเหล่านั้นให้ทุกคนในห้อง
    “เราไม่น่าทำแผ่นแรกนั่นไหม้เลย”แมวเปรยขึ้นกับเพื่อน
    “นี่เธอเห็นว่าเป็นความผิดของฉันรึไง  เธอก็รู้ว่านายนั่นต่างหากที่ทำมันไหม้”แก้วกล่าวอย่างโมโหพร้อมกับหันไปชี้หน้าสิงห์
    “อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆนะ”สิงห์เถียงขึ้นบ้าง
    และแล้วการทะเลาะเรื่องเดิมๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
    “นี่พวกนายจะเลิกโยนความผิดให้กันได้รึยัง”เลียงผาว่าอย่างเหลืออด  ทั่วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
    “ฉันถามจริงเถอะมันมีประโยชน์อะไรที่จะนั่งเถียงกันไปเถียงกันมาอย่างนี้  ถ้ากลุ่มเราเป็นอย่างนี้ต่อไป  อย่างว่าแต่จะเอาชนะรุ่นพี่เลย  แต่การเริ่มต้นเดินทางก็ไม่ต้องไปแล้ว”
    “ฉันขอโทษเลียงผา”แก้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ
    “ฉันด้วย  ประชุมแผนกันต่อดีกว่า”สิงห์กล่าวก่อนนั่งลงเงียบๆ
    “ส่วนที่ขาดหายไปของแผนที่เรามันอยู่ช่วงกลางๆ  ดังนั้นแผนของฉันก็คือเราจะเดินทางกันเป็นกลุ่มเกือบสุดท้ายโดยการตามรอยเท้าของกลุ่มอื่นๆไป  และเมื่อถึงบริเวณที่เรามีเส้นทางแล้ว  เราก็จะค่อยเร่งเดินทางต่อไปให้เร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ”
    “เป็นความคิดที่เยี่ยมมากเลย”ห่านกล่าว
    “แล้วระหว่างเวลานี้ถึงวันนั้นพวกเราจะทำยังไงดี”
    “เราจะเตรียมแผนการเดินทางและตุนเสบียงให้มากพอเนื่องจากเราไม่ควรเสียเวลาในการหาอาหารภายในป่ามากนัก”
    “งั้นต้องเป็นอาหารที่เบาพอจะแบกกันไปไหว”หงส์กล่าวอย่างรอบคอบ
    “เรื่องนั้นก็ใช่แต่ฉันอยากให้ใครสักคนแปลงเป็นช้างหรือม้าไว้ขนของ”
    “เรากับช้างเป็นได้อยู่แล้ว”ม้ากล่าว
    “น่าจะมีสักหกเจ็ดคนเพื่อสับเวรกันจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”
    ดังนั้นพวกเด็กๆจึงเลือกเพื่อนในห้องมาช่วยเป็นสัตว์พาหนะได้ทั้งหมดเก้าคนโดยแบ่งเป็นสามช่วงๆละสามคน
    “ส่วนฝ่ายเสบียงอาหารก็ต้องหาอาหารมาให้พอกับพวกเราทุกคนโดยฉันกะว่าเราจะตุนเสบียงกันสักสามวัน  ส่วนวันหรือสองวันแรกเราคงพอมีเวลาหาอาหารในป่าเพราะช่วงแรกที่ต้องเดินตามรอยเท้ากลุ่มอื่นไปนั้นคงไปกันได้ช้า  และ...หมูน้อย นายต้องเป็นหัวหน้าในการหาเสบียงให้พวกเรานะ”เลียงผากันไปเตือนเพื่อนตุ้ยนุ้ยของตน
    “ฉันรู้  ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
    “อ้อหงส์  เรื่องที่ให้ไปหาข้อมูลของหญ้าแห้งพวกนั้นได้รึยัง”
    “ขอเวลาอีกหน่อย  มันยังไม่ครบ  แล้วอีกอย่างฉันอยากหาหนังสือเกี่ยวกับป่าไม้ทุกประเภทติดไปด้วยเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการเดินทางบ้าง”
    “ก็ดี”แล้วเด็กชายก็จบการประชุมของวันนั้นลงได้

    วันที่สิบหกของเดือนย่างมาถึง  กลุ่มต่างๆของโรงเรียนก็เตรียมพร้อมข้าวของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  มีสองสามกลุ่มที่เริ่มเดินทางในวันแรกของการเริ่มต้น  แต่บางกลุ่มก็ยังวางแผนกันอย่างหน้าดำเคร่งเครียด  ส่วนกลุ่มชั้นหนึ่งของพวกเด็กๆก็ตระเตรียมอุปกรณ์ต่างๆกันอย่างขะมักเขม้น  แต่ความที่เป็นครั้งแรกของการแข่งขันพวกเขาจึงทำงานกันไปอย่างล่าช้า  หน่วยจารกรรมโดยการนำของชิมได้ข้อมูลพิเศษเกี่ยวกับกลเม็ดของกลุ่มอื่นๆและอุปกรณ์สำคัญที่นำเข้าป่าไปด้วย
    “ทุกคนในกลุ่มจะต้องมีแผนที่และพลุสัญญาณฉุกเฉินติดตัวไปพร้อมเสบียงอาหารคนละเล็กน้อย  และเมื่อหลงกับกลุ่มก็ให้แปลงร่างเป็นนกแล้วบินขึ้นฟ้าให้สูงเพื่อมองหากลุ่ม  อ้อแต่แผนนี้เขาว่าจะใช้ไม่ได้ในเขตป่าดงดิบ”ชิมแจกแจงข้อมูลที่ล้วงมาได้จากกลุ่มรุ่นพี่
    “เราก็จุดกองไฟให้ควันเยอะๆสิ  จะได้ให้คนหลงทางมองเห็นได้”หงส์เสนอ
    เมื่อย่างเข้าวันที่ยี่สิบของเดือนภายในโรงเรียนก็เหลือเพียงกลุ่มชั้นหนึ่งกับชั้นสามที่ยังไม่ออกเดินทางเท่านั้น
    “ดูท่าชั้นสามจะมีปัญหากันอยู่  คงทะเลาะกันมั้งเลยออกเดินทางไม่ได้”ชิมกล่าวหลังจากออกไปสืบข้อมูลมาได้
    “หวังว่ากลุ่มเราคงไม่เป็นอย่างนั้นนะ”เลียงผาว่าพลางหันไปมองแก้วและสิงห์ที่กำลังช่วยคนอื่นๆลำเลียงข้าวของอยู่  แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้ทะเลาะกันให้เห็นต่อหน้าเพื่อนๆในห้องแต่ความรู้สึกห่างเหินและมิตรภาพก็ดูไม่ดีขึ้นเหมือนเดินเท่าไรนัก
    “เราควรเร่งออกเดินทางกันภายในวันสองวันนี้นะ”แมวหัวหน้าฝ่ายวิจัยกล่าวด้วยสีหน้ายุ่งยาก
    “มีอะไรรึเปล่า?”
    “การเดินทางอาจมีปัญหานิดหน่อย  ถ้าคำนวณไม่ผิดอีกไม่เกินสี่วันจะมีพายุใหญ่เข้ามา  และถ้าเรากำลังเดินทางอยู่ในช่วงที่ไม่มีแผนที่มันจะยุ่งเพราะพายุอาจพัดเอารอยเท้าหายไปหมดก็ได้”เด็กสาวตอบ
    “งั้นเร่งมือกันหน่อย  เราจะไปกันเช้ามืดมะรืนนี้เลย”เลียงผาตัดสินใจ
    การเตรียมพร้อมของทุกอย่างถูกเร่งขึ้นอย่างเต็มที่เพื่อให้เสร็จก่อนบ่ายสามโมงวันพรุ่งนี้  เนื่องจากเด็กชายต้องการให้เพื่อนๆของเขาพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มก่อนการเดินทาง
    “นายตุนเสบียงของพวกเราได้ครบไหม”เลียงผาถามหมูน้อยอย่างเป็นห่วง
    “ครบแล้ว  นายเชื่อมือฉันเถอะ  ยังไงๆการเดินทางครั้งนี้ฉันก็ไม่ทำให้กลุ่มเราล่มแน่”หมูน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเศร้าไปบ้าง
    “นายเล่าเรื่องพ่อให้พวกเราฟังบ้างได้ไหม  ถึงพวกเราจะช่วยไม่ได้แต่อย่างน้อยก็เป็นคนรับฟังได้นะ”หงส์ปลอบเพื่อน
    “พ่อไม่กลับบ้านมาเดือนกว่าแล้ว  แม่เคยใช้ให้ฉันไปตามพ่อที่โรงพยาบาล”  เผอิญวันนั้นพ่อของเด็กชายกำลังเช็ดตัวให้คนไข้อยู่ขณะที่เด็กชายเข้าไปหา  และด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำมาทั้งวันทำให้สติของเขาไม่สมบูรณ์ดีนัก  เมื่อพูดกันอย่างไม่ลงรอยไปสักพักหมูน้อยจึงถูกผู้เป็นพ่อตบหน้าไปฉาดใหญ่ต่อหน้าผู้คนมากมายในโรงพยาบาล  เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้หมูน้อยเป็นอย่างมาก  แม้ว่าแม่เลี้ยงของเขาจะพยายามปลอบ  พยายามอธิบายถึงอารมณ์ชั่ววูบให้เด็กชายฟังอย่างไรก็ไร้ผล
    “งั้นนายก็ไม่ได้เจอหน้าพ่ออีกเลยเหรอตั้งแต่วันนั้น”หงส์ถาม
    “อืม”
    “เอาน่า  อย่าคิดมากไป  เดี๋ยวจบการแข่งขันนี้แล้ว  เมื่อนายกลับบ้านไปพ่อนายอาจจะนั่งรออยู่หน้าบ้านเลยก็ได้นะ”
    “ฉันก็หวังอยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”หมูน้อยกล่าวด้วยหัวใจที่สิ้นหวัง

    จากคุณ : ไฟลี่ - [23 เม.ย. 45 09:30:30]