ความคิดเห็นที่ 2
------------------------------------------------
"เจ้าชื่ออะไร"
เสียงทุ้มเบาเอ่ยถาม ดวงพักตร์ที่สะอาดสดใสยิ่งฉายรอยงดงามเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทะนง
"ฟ้าหญิงกัญจน์อมลแห่งโพชฌงค์นคร"
"ฟ้าหญิงหรือ
"
ดวงตาสีสนิมเหล็กมีรอยยิ้มราวกับไม่เชื่อ และพระองค์ก็ทรงมองออก สุรเสียงเลยแหวออกไปด้วยความที่ทรงเคยชินต่อการออกคำสั่งและถูกตามพระทัย
"เจ้าไม่เชื่อเราหรือเจ้าคนป่าเถื่อนไร้การศึกษา"
คิรากรตวัดสายตามองคามิน ชายหนุ่มขยับตัวเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม วรกายบอบบางขยับถอยห่างอย่างทรงหวาดกลัว
"หยุดนะ อย่าเข้ามาใกล้เรานะ"
"ก็จะพูดดีๆ ภาษาคนได้หรือยังล่ะ"
คิรากรถามอย่างเรียบเฉย ฟ้าหญิงแห่งโพชฌงค์ทรงระงับสุรเสียงกรีดร้องไว้แค่ริมพระโอษฐ์
"เราจะพูดด้วยดีๆ แต่เจ้าต้องบอกเราก่อน เจ้าเป็นใคร ชื่ออะไร"
แม้โอษฐ์จะรับสั่งว่าจะทรง 'พูดดี' แต่ก็ยังไม่วายยื่นพระประสงค์ คิรากรลอบถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยบอก
"ข้าชื่อคิรากร และนั่นเพื่อนของข้า ชื่อคามิน ข้าเป็น
จอมโจรแห่งทะเลทรายธาตวากร"
ประโยคสุดท้ายแฝงรอยหยิ่งทะนงไว้ชัดแจ้ง และยิ่งเมื่อได้เห็นรอยตระหนกในดวงเนตรสวย เธอก็ยิ่งยิ้มกว้างอย่างพอใจ
"โจร
"
"ใช่ พวกเราเป็นโจร ต่อไปนี้เจ้าคงจะทำตัวดีๆ กับเราขึ้นมาบ้างกระมัง"
"เรื่องอะไรเราต้องทำตัวดีๆกับพวกเจ้า"
คำตอบนั้นเกือบจะทำให้ดวงตาสีสนิมเหล็กปล่อยรอยแปลกใจออกมา หากว่าเธอระงับมันไว้ได้ทัน
"แปลว่าเจ้าอยากลองดีกับพวกเรา"
"เราไม่ได้อยากจะลองดีกับพวกเจ้า
"
ดวงเนตรคู่สวยมีรอยดำริ
โจร
หากเป็นโจร ก็แสดงว่าต้องเห็นเงินทองสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดสินะ
"ก็ในเมื่อพวกเจ้าเป็นโจร พวกเจ้าอยากได้เงินทองใช้แบบไม่มีวันหมดมั้ย"
พระองค์แย้มสรวลหวาน คิรากรชะงักไปเสียนิด
ขนาดที่ว่าเธอเป็นหญิง ก็ยังเกือบจะละลายไปกับรอยยิ้มของนาง
"ทำไม"
เสียงทุ้มเอ่ยถามไร้ความรู้สึก หากรอยแย้มสรวลหวานยังแต้มพระโอษฐ์บาง
"เราจะจ้างพวกเจ้าไปส่งเราที่โพชฌงค์นคร เมื่อส่งเราถึงที่นั่น พวกเจ้าต้องการเงินต้องการทองเท่าไหร่ เราจะให้พวกเจ้า"
คิรากรหันไปสบตากับคามินชั่วครู่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้า
"พวกเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าไม่โกหก"
"เราเป็นฟ้าหญิงแห่งโพชฌงค์นคร เราไม่พูดโกหก"
สุรเสียงนั่นเริ่มกริ้วเหมือนทุกครั้งยามที่มีสิ่งกวนพระอารมณ์
"มีสิ่งใดที่พอจะบอกว่าเจ้าไม่ได้โกหกเรา"
ฉลองพระศอถูกดึงออกแล้วโยนส่งมา คิรากรเอื้อมมือไปรับไว้ ตราประจำราชวงศ์ของโพชฌงค์ปรากฏชัดบนจี้ทอง
"อืม ฟ้าหญิงตัวจริง"
คิรากรหันไปพูดกับคามิน ก่อนจะโยนส่งฉลองพระศอเส้นนั้นคืนในอาการเดียวกับที่พระองค์ทรงทำเมื่อครู่
"แล้วทำไมฟ้าหญิงอย่างเจ้าถึงมาเจอพายุทรายในธาตวากรได้"
เธออดถามออกมาอย่างสงสัยไม่ได้
"เรากำลังจะเดินทางกลับไปยังโพชฌงค์นคร หลังจากเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับเนตรานครมา แต่เจ้าพายุทรายบ้าๆ ก็ดันมาเกิดขึ้นซะก่อน ทำให้ขบวนเดินทาง ทหาร ข้ารับใช้ของเรากระจัดกระจายหาย แล้วพวกเจ้าก็มาเจอเรานั่นล่ะ"
"ข้าว่า
พวกทหาร ข้ารับใช้ของเจ้าคงจะดีใจไม่น้อยนะที่ได้เจอพายุทราย"
คิรากรเอ่ยขึ้นเรียบๆ ดวงเนตรสวยมีรอยพิศวงในคำพูดนั้น
"ก็ดีใจอย่างไรล่ะ ที่พายุทรายพัดแยกเจ้าออกมาจากพวกเขา พวกเขาคงสบายหู สบายใจ สบายกาย อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนแน่ๆ"
คิรากรพูดหน้าตาเฉย คามินหันหน้าหนีซ่อนรอยหัวเราะ พระสุรเสียงกรีดร้องอย่างขัดพระทัยกำลังจะหลุดออกมาแล้ว หากดวงตาสีสนิมเหล็กไม่เขม่นมองปรามเอาไว้ พระองค์สะบัดพระพักตร์เชิด ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมพระอารมณ์เอาไว้ เพื่อสิ่งที่ต้องพระประสงค์
"แล้วยังไง พวกเจ้าตกลงจะไปส่งเราที่โพชฌงค์หรือไม่"
พระองค์ตรัสถามอย่างทรงมีความหวัง คิรากรลุกยืน ดวงตาสีสนิมเหล็กฉายรอยยิ้ม
"พอดีพวกเราจะเดินทางลงใต้ ส่วนโพชฌงค์ของเจ้าต้องขึ้นเหนือ
"
"อย่าบอกนะ ว่าพวกเจ้าจะไม่ไปส่งเรา"
เสียงหัวเราะทุ้มเบาดังออกมาจากเจ้าของร่างโปร่งบาง
"เสียใจนะฟ้าหญิง นั่นคือคำตอบของพวกเรา คามิน
พวกเราจะทำอะไรกับฟ้าหญิงคนสวยนี่ดี ขายให้พวกพ่อค้าเร่ไปเป็นทาสดีมั้ย"
คามินพยักหน้ารับ ความจริงแล้ว ก้มหน้าซ่อนรอยหัวเราะต่างหาก เพราะเขารู้จักคิรากรดี เธอ
คือคนที่เกลียดการค้าขายมนุษย์มากที่สุด บ่อยครั้งไป ที่เขาและเธอจะออกไปตระเวณปล้นคนที่ถูกขายมาปล่อยให้เป็นอิสระ
"ไม่นะ พวกเจ้าจะทำกับเราอย่างนั้นไม่ได้นะ"
สุรเสียงนั้นฉายรอยตระหนกไม่แพ้ดวงเนตร
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องรับใช้พวกข้าอย่างดี และเมื่อผ่านเจอคาราวานค้าขายที่จะเดินทางขึ้นไปขายของยังโพชฌงค์ ข้าจะวานให้พวกเขาขึ้นไปส่งเจ้า แต่ในระหว่างนี้
"
ดวงตาสีสนิมเหล็กหรี่มองดวงพักตร์สวยอย่างมาดหมาย
"เจ้าต้องคอยรับใช้พวกข้าทั้งสองคน และห้ามนำคำพูดปากเสียของเจ้ามาใช้กับพวกข้า หาไม่แล้ว
ข้าขายเจ้าแน่"
ฟ้าหญิงแห่งโพชฌงค์จำต้องรับสั่งรับความเจ็บพระทัย คิรากรหันไปหาเพื่อนสนิท
"พวกเราช่างโชคดีเสียจริงนะ คามิน มีคนรับใช้เป็นถึงฟ้าหญิงแห่งโพชฌงค์"
----------------------------------------------------------------------------
"เราเหนื่อยเราร้อน หยุดพักก่อนไม่ได้หรือ"
ถ้อยรับสั่งราวกับจะหมดพระกำลังของคนที่นั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับคิรากร ในตอนแรกคิรากรสั่งแกมบังคับให้คามินรับฟ้าหญิงผู้ทรงโฉมไปนั่งเคียงข้าง หากชายหนุ่มก็ปฏิเสธเด็ดขาดเหมือนกัน พร้อมกับยกแม่น้ำทั้งห้า และในที่สุดคิรากรก็จำต้องยอม เพราะสงสารม้าไม่ใช่เพราะอะไรทั้งสิ้น
"ไม่ พวกเรายังเดินทางไปได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าจะให้หยุดพักเช่นนั้นหรือ"
เสียงตอบกลับมาห้วนจัด ฟ้าหญิงกัญจน์อมลทรงระงับความกริ้วไว้อย่างยากลำบาก อยากจะแผลงฤทธิ์ร้ายๆของพระองค์ออกไป หากพระองค์ก็ตัดสินพระทัยใหม่
.ทำไมไม่ลองใช้ 'เสน่ห์' ที่เคยทำให้ทุกคนหลงใหลให้เป็นประโยชน์เล่านะ
เมื่อดำริเช่นนั้น ดวงพักตร์ที่หันมองคนที่ทำราวกับโอบประคองพระองค์อยู่จึงแต้มรอยแย้มสรวลหวานซึ้ง
"คิรากร เราเหนื่อย พักเสียหน่อยไม่ได้หรือ
นะ"
สุรเสียงหวานอย่างที่เคยสั่นหัวใจชายแทบจะทั่วทั้งนคร หากแต่กับคนที่เคียงใกล้อยู่ในตอนนี้ยังคงเฉยชาราวกับไม่รู้สึกอะไร
"อย่ามาใช้มารยากับข้า ฟ้าหญิงคนสวย"
เสียงสั่งเบาๆ หากก็หนักแน่นพอที่จะทำให้ดวงพักตร์สะบัดกลับอย่างไม่พอพระทัย เสียงหัวเราะที่ดังมาเบาๆ ภายใต้ผ้าคลุมหน้ายิ่งทำให้พระอารมณ์เดือดจัด
"หน้าตาเจ้าคงจะดูไม่ได้แน่ๆเลยใช่มั้ย คิรากร ถึงต้องคลุมหน้าไว้ตลอดเวลาเช่นนี้"
ถ้อยรับสั่งเชือดเฉือน
"ใช่ เจ้าไม่รู้หรือ หน้าข้าเป็นแผลเป็นยาวใหญ่น่าเกลียดตั้งแต่ปลายคางไปจรดใบหู"
"อะไรนะ"
พระองค์รับสั่งอุทานอย่างตกพระทัย คนที่พูดขู่เลยยิ่งได้ใจ
"เป็นแผลเป็นตอนที่ข้าสู้กับโจรกลุ่มอื่นในทะเลทราย แผลยาวใหญ่ที่เย็บนับสิบๆเข็ม เจ้าอยากจะเห็นมั้ย"
"ไม่ ไม่ เราไม่อยากดู"
พระองค์รับสั่งปฏิเสธทันควัน ดวงตาสีสนิมเหล็กมีรอยยิ้มอย่างพอใจ และคนที่พูดบ่นมากมาตลอดทางก็เหมือนจะเงียบเสียงลง ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างเงียบสงบสมใจคิรากรและคามิน
(โปรดติดตามตอนต่อไป) =======================================================
จากคุณ :
ลิปิการ์ (พระจันทร์สีน้ำเงิน) - [25 เม.ย. 45 19:09:39]
|
|
|