เรื่องเล่าจากแดนไกล(ตอนที่11)

    หลังจากพักผ่อนกันจนเต็มอิ่มแล้ว  ในเช้ามืดของวันที่ยี่สิบสองพวกเด็กๆก็มารวมตัวกันเพื่อเริ่มต้นออกเดินทาง  ทุกคนมีกระเป๋าประจำตัวกันคนละหนึ่งใบโดยในนั้นจะบรรจุแผนที่ ของใช้ประจำตัว อาหารแห้งเล็กน้อยและพลุสัญญาณฉุกเฉิน  ส่วนเสบียงอาหารกองกลางและเครื่องมือเครื่องใช้ในการพักแรมจะถูกบรรทุกไปโดยเพื่อนสามคนที่แปลงร่าง
    “เอาล่ะเริ่มต้นออกเดินทางกันได้แล้ว”เลียงผากล่าว
    ขบวนนักเรียนทั้งหมดยี่สิบสี่คนจึงได้เริ่มต้นการเดินทางโดยมุ่งเข้าสู่ป่ามหัศจรรย์ทางด้านเขตน้ำตกที่พวกเขาคุ้นเคย
    “เมื่อเลยเขตน้ำตกนี้ไปก็จะเป็นป่าดิบชื้น  อากาศจะร้อนแล้วก็ชุ่มชื้นหน่อย  ตามแผนที่แล้วพวกเราจะต้องเดินเลียบริมแม่น้ำนี้ไปเรื่อยๆจนเข้าไปในป่าลึก”หงส์รายงานข้อมูลที่ได้รับ  ตอนนี้เด็กสาวถูกย้ายไปฝ่ายวิจัยแล้ว
    “เราจะต่อแพกันไหม”เพื่อนคนหนึ่งเสนอ
    “ไม่ดีกว่า  เวลาที่ใช้ในการต่อแพก็มากโขอยู่  อีกอย่างแม่น้ำบริเวณนี้มันตื้นเกินไป พืชน้ำก็เยอะ  ตอนแข่งแพคราวที่แล้วยังไปกันไม่ค่อยรอดเลย  คราวนี้เรามีสัมพาระมาตั้งมาก”แมวอธิบาย
    พวกเด็กๆจึงตัดสินใจใช้เท้าทั้งสองเดินเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ  พวกเขาได้เจอสัตว์ต่างๆหลายชนิดทั้งฝูงนากยักษ์ที่ว่ายขึ้นมานอนผึ่งแดดอยู่ริมฝั่งหลังจากดำผุดดำว่ายจับปลากินอย่างสำราญใจแล้ว  เดินต่อไปไม่ไกลนักสายตาของหงส์ก็ไปปะทะเข้ากับร่างยาวของจระเข้ไคแมนทั้งฝูงที่กำลังนอนนิ่งขวางทางอยู่
    “ฉันว่าเราเดินอ้อมกันไปดีกว่า”หมูน้อยกล่าวน้ำเสียงขลาดๆ
    ขบวนผจญภัยจึงเสียเวลาอีกเล็กน้อยในการเดินอ้อมเส้นทางตัดเข้าไปในแนวพุ่มไม้ที่ขึ้นอย่าหนาทึบ
    “เราตัดเข้าไปทางนี้เลยก็ได้”หงส์แนะ
    “ต้นไม้แทบนี้มันรกจริง”เพื่อนหลายคนอดบ่นออกมาไม่ได้
    “ก็แหม  แนวป่าริมฝั่งแม่น้ำก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ  เดินเข้าไปอีกหน่อยก็หมดแล้ว”
    เมื่อเดินทางกันมาได้ครึ่งวันเต็มพวกเด็กๆก็หยุดพักทานอาหารกลางวันกันบริเวณใต้ต้นไทรใหญ่  แสงแดดเวลาเที่ยงวันดูจะไม่มีผลกระทบเลยกับดินแดนแทบนี้เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามากมายได้ปกคลุมท้องฟ้าจนมืดครึ้ม  หากจะสังเกตบริเวณป่าแทบนี้ให้ดีก็จะสามารถมองเห็นได้ถึงความงดงามของธรรมชาติที่ถูกแต่งแต้มไว้อย่างเหมาะเจาะ  นกมาคอว์ฝูงใหญ่กำลังส่งเสียงเจื้อแจ้วบินผ่านไปเหนือยอดไม้  ดอกกล้วยไม้สีสันสะดุดตานับสิบดอกกำลังเบ่งบานอยู่ตามลำต้นไม้ป่าเหนือศีรษะพวกเด็กๆ  นี่ยังไม่ได้รวมถึงเหล่าสัตว์นานาพันธุ์ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสงบ  ทั้งแมวป่าออซเซลอตที่หลับปุ๋ยอยู่ใต้โคนต้นไม้  ลิงเฮาว์เลอร์ที่กำลังกินใบไม้ผลไม้อยู่บนยอดไม้สูง
    หลังจากทานอาหารกลางวันและพักเหนื่อยกันเรียบร้อยแล้วพวกเด็กๆก็ได้เริ่มเดินทางต่อ  เดินเลยออกไปได้หน่อยพวกเขาก็พบกับซากกองฟืนและร่องรอยของการค้างแรม
    “เราเดินกันมาถูกทางแล้วล่ะ  นี่คงเป็นของกลุ่มที่ล่วงหน้ามากันก่อน”
    การเดินตามรอยเช่นนี้ก็นับว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว  เพราะแทบตลอดทางจะมีซากกองไฟที่มอดแล้วเป็นสัญลักษณ์ให้พวกเด็กๆ
    “ทำไมกลุ่มอื่นๆดูจะเดินช้ากันนัก”เพื่อนคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต
    “คงออกเดินทางกันสายแหละ  และพอค่ำลงพวกเขาก็เดินกันต่อไม่ได้  แต่เรื่องนี้กลุ่มเราวางแผนไว้แล้ว  เราถึงออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดไง  พอเริ่มค่ำเราก็หลุดออกจากเขตป่าดิบชื้นนี้ไปแล้ว”แมวอธิบาย
    “แหมรอบคอบจังดีจัง”เพื่อนคนเดิมเอ่ยชมอย่างจริงใจ
    และการคาดการของเด็กสาวก็เป็นจริงเพราะเมื่อฟ้าเริ่มอ่อนแสงลงพวกเด็กๆก็สามารถออกจากเขตป่าดิบชื้นได้  ในคืนนั้นพวกเขาจึงค้างแรมกันในเขตป่าสนซึ่งอยู่ถัดมา  การคำนวณของแมวนับว่าดีเยี่ยมเนื่องจากในเขตป่าสนนี้เต็มไปด้วยต้นสนมากมายและใบสนที่หล่นลงมากองทับกันบนพื้นนั้นได้ปิดกั้นไม่ให้ต้นไม้อื่นมีโอกาสเติบโตขึ้น
    “คืนนี้เราคงต้องทานอาหารที่เตรียมมากันก่อนเพราะแทบนี้หาอาหารไม่ได้หรอก”ห่านบอกและนั่นคือสาเหตุที่บริเวณนี้แทบไม่มีสัตว์อะไรอาศัยอยู่  นั่นนับว่าเป็นทำเลค้างแรมที่ไม่เลวนัก
    “เวรคืนนี้เอาแค่สี่คนก็พอ”เลียงผาสั่งการ
    พวกเด็กๆที่เหลือจึงพากันหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจึงไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังคืบคลานเข้ามา

    ในเวลาเดียวกันนั้นอีกฟากหนึ่งของป่าแห่งนี้  กองทัพใหญ่แห่งเมืองหลังเขากำลังเร่งกำลังพลยกทัพเข้ามาโจมตีชาวเมืองเทมาริส  พวกเขาใช้ยานลำใหญ่กว่าสิบลำบินข้ามทิวเขาหินดำและป่ามหัศจรรย์มา
    “จะลงจอดบริเวณไหนดีขอรับ”ลูกยานคนหนึ่งถามขึ้น
    “จอดมันกลางเมืองนั่นเลยแหละ”แม่ทัพทศยศเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม
    และแล้วยานบินลำใหญ่ขนาดมหึมาก็ลดระดับต่ำลง  ปล่องกลางของตัวยานถูกเปิดออกพร้อมๆกับลมพายุใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นให้พัดพาเอาบ้านเรือนและข้าวของบริเวณแทบนั้นพังราบเป็นหน้ากอง
    “หนีเร็วๆ!!”เสียงชาวบ้านตะโกนโหวกเหวก  เกิดความชุลมุนตื่นตระหนกไปทั่วทั้งเมืองเนื่องจากประชาชนแทบนี้ได้ดำรงชีวิตอยู่กันมาอย่างสงบสุขเป็นเวลานาน
    “ไปที่หลบภัยเร็ว”เสียงคนๆหนึ่งตะโกนขึ้นมา  
    และแล้วชาวบ้านทั้งหลายก็ต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน  พวกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรก็ต่างวิ่งตามพ่อแม่ของตนไปต้อยๆ  หลายคนแปลงร่างเป็นนกอินทรี นกกระสาหรือสัตว์ปีกอื่นๆโผบินขึ้นฟ้าล่วงหน้าไปก่อน
    สถานที่หลบภัยที่ชาวเมืองต่างมุ่งหน้าไปนั้นก็คือห้องใต้ดินโรงเรียนสัตศาสตร์ที่พวกเด็กๆเรียนอยู่นั่นเอง
    “เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอย่างนี้ทำให้พวกเราสูญเสียชาวเมืองไปหลายคนเลย  แล้วตอนนี้พวกเด็กก็กำลังอยู่ระหว่างการแข่งขันในป่ากันเสียด้วย”ครูใหญ่ซึ่งเป็นผู้เดียวที่อยู่เฝ้าโรงเรียนเอ่ยขึ้นกับชาวเมืองทั้งหมด
    “ต้องมีคนออกไปตามพวกเด็กๆในป่า”ชาวเมืองคนหนึ่งเสนอ
    “นั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว  แต่พวกเราเองก็ไม่สามารถหลบอยู่ในห้องใต้ดินนี้ได้ตลอดเหมือนกัน”
    “ห้องนี้มีอุโมงค์ใต้ดินเชื่อมกันป่าด้านหลัง  พวกเราต้องหนีเข้าไปในป่ามหัศจรรย์”
    “แล้วเราจะไปอยู่ส่วนไหนของป่าล่ะ  พวกเด็กๆด้วยจะตามกันเจอไหมเนี่ย”มารดาของเลียงผาเอ่ยน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเป็นห่วงลูกชาย
    “พวกเด็กๆต้องปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงไป  ส่วนพวกเราทุกคนจะเดินทางเข้าป่าไปยังทะเลสาบอาร์เทมิสกัน!!!”ครูใหญ่ที่ไม่เคยเป็นที่ถูกชะตาของเด็กนักเรียนทุกคนกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

    “ว่าไงนะ ไม่พบศพชาวเมืองเลยงั้นเหรอ  เป็นไปได้ยังไงกัน”แม่ทัพหนุ่มตวาดเสียงดังลั่น
    “ขอรับ  ทีมสำรวจของเรารายงานมาว่าพบแต่ซากปรักหักพังของบ้านเรือนแล้วก็ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเท่านั้น”
    “ออกไปสำรวจใหม่ให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง  ก็ดีถ้าอพยพกันไปให้หมดจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเรา”
    “จะไม่ประมาทไปหน่อยเหรอท่านแม่ทัพ”เสียงแหบพร่าของดอกเตอร์ถามขึ้นด้วยความสมเพช
    “หรือว่าท่านดอกเตอร์กลัวชาวพื้นเมืองพวกนั้นด้วย”ชายหนุ่มกล่าวอย่างดูถูก
    “ข้าไม่ได้กลัวแต่ข้าเป็นคนไม่ประมาท  เมื่อทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด  สงครามคราวนี้ก็เช่นกันท่านน่าจะตามกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซากไป”ดวงตาที่เคยสงบเงียบวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
    “ก็น่าชมเชยในความรอบคอบของท่านไว้ข้าจะลองนำไปคิดดู  ส่วนเจ้ากลับไปสั่งกองทัพให้ออกค้นหาอีกครั้ง”เขาหันไปสั่งลูกยานคนเดิน
    ชายหนุ่มร่างกายกำยำผู้นั้นรับคำสั่งออกมาบอกหัวหน้าผู้คุมกองทัพอีกต่อหนึ่ง
    “ข้าค้นหาจนละเอียดหมดแล้ว  รับรองไม่มีใครเหลือรอดสายตาไปสักคนแน่”หัวหน้ากองกล่าวน้ำเสียงเบื่อหน่าย
    “ข้ารู้  แต่นี้เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพนะท่านขัดขืนได้เหรอ”
    “เฮ้อ  ก็ได้  ข้าจะไปอีกรอบ  แต่ความจริงมันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ  ตอนที่กองทัพของข้าจะลงไปสำรวจบ้านเมือง  ข้าเห็นฝูงนกอินทรียักษ์ฝูงใหญ่บินผ่านไปด้วย  ไม่รู้แทบนี้มีนกยักษ์แบบนั้นอาศัยอยู่ได้ยังไงกัน”ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวด้วยความแปลกใจ!
    “นำศพชาวเมืองและผู้บาดเจ็บมาครบไหม”เจ้าเมืองเทมาริสผู้เป็นชายแก่ร่างเล็กไว้หนวดเครายาวจรดพื้นถามนกอินทรียักษ์สีน้ำตาลทองที่ถลาร่อนลงมายืนตรงหน้า
    “ครบครับท่านเจ้าเมือง  คนเจ็บผมให้พวกแพทย์นำตัวไปรักษาแล้ว  ส่วนศพคนตายไม่ทราบว่าท่านจะให้ทำอย่างไร”อินทรียักษ์นั้นกลับร่างมาเป็นชายหนุ่มผิวเข้มตามเดิม
    “ฉันอยากแบกพวกเขาไปฝังในป่า  อย่างน้อยก็อยากให้พวกเขาได้อยู่กันอย่างสงบสุขตลอดกาล”เสียงชายชราเศร้าสร้อยนัก
    “ผมจะจัดการตามที่ท่านสั่ง”ชายหนุ่มผิวเข้มรับคำก่อนจากไปทิ้งให้เจ้าเมืองนั่งอยู่คนเดียว
    “ฉันจะต้องปกป้องเมืองเทมาริสแห่งนี้ให้รอดพ้นจากเงื้อมือของคนชั่วให้จงได้”ชายชรากล่าวสาบานกับตนเองต่อหน้ารูปวาดองค์เทพีอาร์เทมิสในห้องหลบภัย
    หลังจากนั้นสองชั่วโมงเหล่าชาวเมืองทั้งหลายก็เริ่มต้นออกเดินทางผ่านอุโมงค์ใต้ดินขึ้นไปออกยังบริเวณโพรงข้างต้นไทรในเขตป่าดิบชื้น  พวกเขาจัดการขุดหลุมฝังศพชาวเมืองที่เสียชีวิตทั้งหมด ณ บริเวณใต้ต้นไทรยักษ์แห่งนั้น
    “หลับให้สบายเถอะ  พวกท่านทั้งหลายจะอยู่กันอย่างสงบสุข ณ ที่แห่งนี้ตลอดกาล”เจ้าเมืองกล่าวพร้อมกับวางช่อกล้วยไม้ป่าสีขาวบริสุทธิ์ลงเป็นการคารวะต่อดวงวิญญาณของผู้ที่จากไป
    การเดินทางของเหล่าชาวเมืองเทมาริสนั้นเป็นไปอย่างช้าๆเนื่องจากมีผู้บาดเจ็บหลายคนร่วมขบวนอยู่ด้วย  เมื่อเดินทางเข้าเขตป่าสนมาได้สักพักหนึ่งพวกเขาก็ต้องหยุดพักกันเนื่องจากผู้บาดเจ็บคนหนึ่งต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน  แพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดถูกระดมกันมาให้ความช่วยเหลือ(หนึ่งในศพชาวเมืองมีหมอผ่าตัดฝีมือดีประจำโรงพยาบาลผู้เคราะห์ร้ายรวมอยู่ด้วย)
    “ตามเขตามาเร็ว  เขาเป็นหมอผ่าตัดได้”หัวหน้าแพทย์ที่ดูแลคนไข้อยู่สั่ง
    ดังนั้นเขตาหรือบิดาของหมูน้อยก็ถูกตามตัวมาจากขบวนอย่างรวดเร็ว  พวกเขากางเต๊นท์ตั้งเครื่องมือแพทย์ที่ถอดออกมาจากหลังม้ากันอย่างรีบเร่งท่ามกลางทิวสนและแสงแดดยามบ่ายคล้อย  หลังจากผ่านไปได้สามชั่วโมง  การผ่าตัดอันแสนทุลักทุเลก็สิ้นสุดลงท่านกลางความโล่งใจของเหล่าแพทย์และชาวเมืองทั้งหลาย
    “คงต้องพักแรมกันที่นี่แหละ  ไปต่อไม่ไหวแล้ว”หัวหน้าแพทย์กล่าวกับเจ้าเมือง
    ในราตรีอันมืดมิดที่มีเพียงกองไฟลุกโชติช่วงอยู่นั้นร่างชายอ้วนผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาหาเจ้าเมือง
    “ท่านเขตามีธุระอะไรกับฉันงั้นเหรอ”ชายชรากล่าวด้วยความฉงน
    “ผมอยากทราบเรื่องของพวกเด็กๆ”
    “ไม่ต้องเป็นห่วงไป  ครูใหญ่ได้แจ้งให้ครูทุกคนทราบแล้ว  พวกเขากำลังออกตามหาพวกเด็กๆอยู่  ท่านคงได้พบลูกชายของท่านที่ทะเลสาบอาร์เทมิส”
    “ผมเป็นห่วงลูกจริงๆ”เขตารำพันขึ้น


    จากคุณ : ไฟลี่ - [29 เม.ย. 45 13:09:53]