เรื่องเล่าจากแดนไกล(ตอนที่12)

    ตอน การตามหา
    หันมาดูทางด้านพวกเด็กๆ  เช้าตรู่ของวันที่สามในการเดินทางพวกเขาก็              มาถึงเขตทุ่งหญ้าซาวานนาที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา  มีทุ่งหญ้าสีเหลืองทองแผ่ปกคลุมอยู่ทุกตารางนิ้ว  ต้นไม้ลำต้นสูงใหญ่ขึ้นอยู่ประปรายอย่างไม่เป็นระเบียบนัก  นานๆทีจึงได้เห็นพุ่มไม้หรือดงหญ้าสีเขียว
    “เราจะต้องเดินตัดทุ่งหญ้าแห่งนี้ไปทางทิศตะวันตก  ข้ามไปจนถึงเขตภูเขาหิน  และที่นั่นเราเองที่แผนที่ของเราขาดหาย”หงส์บอก
    พวกเด็กๆเริ่มต้นออกเดินทางข้ามทุ่งหญ้าไปด้วยความระมัดระวัง  โดยมีแนวหน้าและหน่วยคุ้มกันที่ถูกตั้งขึ้นคอยสอดส่องดูแลทั่วพื้นที่  พวกเขาพยายามเลี่ยงเส้นทางที่มีหญ้าขึ้นสูงเพราะอาจมีสัตว์ร้ายแฝงตัวอยู่ได้
    ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นจากทิศตะวันออก  ลอยสูงขึ้นๆจนบัดนี้แสงแดดได้แผ่ไปทั่วทั้งทุ่งหญ้าแห่งนี้  พวกเด็กๆหยุดพักเหนื่อยกันบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากฝูงม้าลายและยีราฟที่กำลังยืนเล็มหญ้าอยู่  และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น....
    สิงห์แม่ทัพแนวหน้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ก่อนเป็นคนแรก
    “ดูนั่นสิ!”เด็กชายตะโกนพร้อมกับชี้ไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ไกลออกไปกว่าร้อยเมตร
    “อะไรเหรอ”หงส์ถามเนื่องจากเขาไม่เห็นอะไรที่ผิดปรกติ
    “มีสิงโตสุ่มอยู่ในพงไม้นั่น  มันคงกำลังจะล่าเหยื่อ”สิงห์กล่าวด้วยสีหน้าไม่ดีนัก  คำพูดของเด็กชายเรียกความตื่นตระหนกจากเพื่อนๆโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
    “เราจะทำยังไงดี  ขืนพวกมันวิ่งมาทางนี้ล่ะก็เสร็จแน่”แมวร้องถามสีหน้าหวาดหวั่น
    “นายแน่ใจนะ”เลียงผาหันไปถามเพื่อน  เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า  เด็กชายจึงออกคำสั่งกับเพื่อนๆ
    “พวกเราแปลงร่างเป็นนกหรือไม่ก็ลิงขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้นะ  ส่วนสัมภาระทั้งหมดให้ซุกอยู่ในพงหญ้านั่น”พลางชี้ไปยังพงไม้สูงไม่ไกลนัก
    “แต่เราแปลงร่างเป็นสัตว์เล็กอย่างนั้นไม่ได้”ช้างบอก  นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กชายร่างยักษ์รวมทั้งหมูน้อยด้วย
    “งั้นนายเป็นงูเหลือมหรือไม่ก็นกยักษ์ก็ได้”เลียงผาหาทางแก้ปัญหาให้
    และแล้วพวกเด็กๆก็เริ่มต้นดำเนินตามแผนทันที  ดังนั้นเมื่อการล่าเริ่มต้นขึ้นสัตว์ใหญ่น้อยทั้งยี่สิบสี่ตนจึงเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ  พวกเด็กๆเห็นสิงโตตัวใหญ่กระโจนออกมาจากพุ่มไม้พุ่งเข้าใส่ฝูงม้าลาย  เหล่าเหยื่อทั้งหลายต่างตื่นตระหนกหันหลังวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น  เสียงฝีเท้าและฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า  และแล้วการล่าก็สิ้นสุดลงเมื่อราชสีห์สามารถตะครุบม้าลายที่วิ่งล้าหลังได้ตัวหนึ่ง  เจ้าแห่งสัตว์ป่าจัดการฉีกชิ้นเนื้อทีละส่วนๆออกกินอย่างเอร็ดอร่อย
    พวกเด็กมองดูภาพนั้นด้วยความเศร้าสลดใจแม้จะรู้ดีว่านี่คือวงจรชีวิตแห่งการดำรงอยู่  แต่พวกเขาก็อดสงสารเจ้าม้าลายตนนั้นไม่ได้  พวกเขารอให้สิงโตจัดการกับอาหารอันโอชะจนอิ่มและเดินจากไปก่อนจะค่อยๆกลับลงมายังพื้นดินและกลับร่างเดิมเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง  ดังนั้นครูภพซึ่งได้รับมอบหมายให้มาตามหาพวกเด็กๆ ณ บริเวณแทบนี้จึงไม่พบล่องรอยของพวกเขาเลย  สำหรับพวกเด็กๆเองก็เห็นเพียงนกอินทรียักษ์ตัวหนึ่งบินผ่านไป!!

    “สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”เสียงทรงอำนาจของท่านเศรษฐีวุฒิเอ่ยถามผ่านหน้าจอมอนิเตอร์
    “กองทัพสามารถยึดเมืองแห่งนี้ได้แล้ว  แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือเราไม่พบศพหรือมนุษย์คนใดอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้เลย”แม่ทัพหนุ่มกล่าวรายงาน
    “เป็นไปได้อย่างไรกันที่ไม่มีชาวเมืองอาศัยอยู่  หรือว่าพวกมันรู้ตัวแล้วหลบหนีกันไปหมด”เศรษฐีอ้วนตั้งของสังเกต
    “ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่าน  แล้วท่านต้องการให้เราติดตามหาพวกมันไหม”
    “ไม่จำเป็นหรอก  แต่ก็ตั้งหน่วยลาดตะเวนไว้บ้างก็ดี”
    “ขอรับท่าน”ชายหนุ่มรับคำสั่ง
    ทางด้านเหล่าชาวเมืองซึ่งกำลังเดินทางข้ามป่าโปร่งที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มๆทั้งป่ายูคาลิปตัสและป่าไผ่  ในขณะนั้นนกอินทรียักษ์ตัวหนึ่งโฉบบินลงมาตรงหน้าท่านเจ้าเมือง
    “ว่าไงครู  หาพวกเด็กๆพบแล้วรึยัง”ชายชราถามครูภพ
    “ขาดอีกกลุ่มหนึ่งครับ  กลุ่มชั้นหนึ่ง”ครูหนุ่มกล่าวสีหน้าไม่ดีนัก
    “แล้วกลุ่มอื่นๆล่ะ”
    “อยู่ที่ทะเลสาบแล้ว  นี่ผมตั้งใจมาส่งข่าวแล้วจะลองบินหาดูอีกรอบหนึ่ง”
    “ให้ใครไปช่วยหาด้วยสิ”ชายชราเสนอ
    “ครูอีกสี่ห้าคนกำลังค้นหาอยู่ทั้งบนดินและบนฟ้า  แต่ผมเกรงว่าบางทีพวกเด็กๆอาจเดินหลงออกนอกเส้นทางไป”
    “งั้นให้ชาวเมืองคนอื่นๆไปช่วยด้วยละกัน”
    ดังนั้นครูภพจึงขออาสาสมัครชาวเมืองที่สามารถแปลงร่างเป็นนกอินทรีหรือนกยักษ์ชนิดอื่นที่สามารถบินไปได้ทั่วผืนป่า  และเมื่อรวบรวมได้เกือบสิบคนครูหนุ่มก็กางปีกโผบินออกไป
    “ฝากลูกผมด้วยนะครับครู”บิดาของหมูน้อยกล่าวก่อนที่กลุ่มค้นหาจะออกเดินทาง
    ส่วนพวกเด็กๆเมื่อเข้าเขตป่าหินในช่วงตะวันลับขอบฟ้าก็แทบจะหมดเรี่ยวแรงในการเดินทาง
    “คืนนี้พักกันตรงนี้ก่อน  แล้วพรุ่งนี้ค่อยแกะรอยกลุ่มอื่นๆ”เลียงผาออกคำสั่ง
    แม้จะเหนื่อยมากมายเพียงใด  พวกเขาก็ยังคงต้องช่วยกันหาอาหารมาทานในค่ำนี้เนื่องจากเสบียงนั้นร่อยหรอเต็มที  แต่บริเวณเขตรอยต่อของทุ่งหญ้าซาวานากับป่าหินเช่นนี้ไม่ง่ายต่อหาอาหารเลย
    “ได้แค่ผลไม้นิดหน่อยกับนกอีกสี่ห้าตัว”หมูน้อยหัวหน้าทีมล่าอาหารกล่าว  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเจียดเสบียงส่วนหนึ่งออกมาเป็นอาหารมื้อค่ำนี้
    และเหตุการณ์ก็ดูยิ่งเลวร้ายลงเมื่อราตรีนั้นพายุได้พัดผ่านมายังป่ามหัศจรรย์ สายลมแรงและห่าฝนเม็ดใหญ่ตกลงจากฟากฟ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา  พื้นดินที่เคยแห้งขอดและแตกระแหงกลับกลายเป็นอ่างน้ำขนาดเล็กมากมายรองรับน้ำบริสุทธิ์ใส  และเมื่อแสงแดดแห่งรุ่งอรุณของเช้าวันต่อมาสาดส่อง  ชีวิตบนผืนป่าหินแห่งนี้ก็ดูไม่วังเวงดั่งเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา  แต่นั่นไม่ใช่ข่าวดีสำหรับกลุ่มนักเดินทางกลุ่มนี้เลยเพราะพายุฝนเมื่อคืนได้พัดพาเอาร่องรอยของกลุ่มอื่นๆที่ล่วงหน้าไปจนหมดสิ้น
    “เราจะทำยังไงดีล่ะคราวนี้”ห่านกล่าวอย่างจนปัญญา
    “ในแผนที่ไม่ได้บอกอะไรไว้เลยเหรอ”เลียงผาถาม
    “ก็พอมีบ้าง  ยังไงๆเราก็ต้องเข้าเขตป่าหินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก”
    “งั้นเราเดินทางกันต่อ  ไม่แน่ว่าข้างหน้าอาจมีร่องรอยที่พายุไม่ได้พัดไปก็เป็นได้”
    พวกเด็กๆเริ่มเก็บข้าวของและออกเดินทางด้วยความลังเลใจ  การเดินทางในแทบนี้เป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากพื้นดินส่วนใหญ่เป็นกองหินที่สูงต่ำไม่เท่ากัน  สัตว์สัมภาระที่เคยใช้ช้างก็เปลี่ยนมาเป็นลาแทนซึ่งเท่ากับต้องเพิ่มจำนวนอีกเท่าตัวจึงสามารถแบกของได้หมด  พวกเด็กๆเดินเรียงเดี่ยวผ่านช่องแคบของภูเขาที่ขนาบสองข้างห่างกันไม่เกินสามเมตร  และเมื่อสุดปลายทางช่องแคบแห่งนี้แล้ว  เส้นทางบนแผนที่ก็ขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
    “ไปต่อไม่ได้แล้ว”แมวบอก
    “ลองให้ใครแปลงเป็นนกบินดูรอบๆนี้สิ  เพื่อจะเจออะไรบ้าง”เลียงผาสั่งสิงห์  แม่ทัพแนวหน้าจัดหาหน่วยลาดตระเวนขึ้น
        สิบห้านาทีผ่านไปอินทรียักษ์ตัวหนึ่งก็โผบินลงมาตรงหน้าเด็กชาย
    “เจออะไรบ้างไหมสิงห์”เลียงผาถามอินทรีร่างยักษ์
    “ไม่ใช่”เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูกล่าวก่อนที่อินทรีตัวนั้นจะกลายร่างเป็นครูหนุ่มของพวกเด็กๆ”
    “อ้าว ครูภพมาที่นี่ได้ยังไงครับ?”เด็กชายถามด้วยความแปลกใจ
    “ก็มาตามหาพวกเธอนะสิ”
    “เอ๊  พวกผมมาผิดเส้นทางเหรอ”
    “เปล่าหรอกพวกเธอยังอยู่บนเส้นทางดี  แต่ว่าการแข่งขันนั้นยุติแล้ว”
    “ว้า  กลุ่มอื่นชนะไปแล้วเหรอครับ”เสียงถามดังมาจากเพื่อนๆทางด้านหลัง
    “ไม่ใช่มันถูกยกเลิกแล้วต่างหาก  มีเรื่องเกิดขึ้นในเมือง  พวกต่างเมืองมันบุกมายึดเมืองเรา  สงครามกำลังจะเกิดขึ้น!!”
    “ว่าไงนะครับ!”พวกเด็กๆตะโกนถามเป็นเสียงเดียวกัน
    ระหว่างรอหน่วยลาดตระเวนของสิงห์ครูหนุ่มก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พวกเด็กๆฟัง  และเมื่อกลุ่มลาดตระเวนกลับมาพวกเขาจึงได้ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางป่ามหัศจรรย์แห่งนี้
    ระหว่างการพักแรมในคืนนั้น  พวกเด็กๆได้พบกับกลุ่มของครูฝ้ายที่ตามรอยบนพื้นดินมา
    “แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะครับ”
    “ตอนนี้คงต้องลี้ภัยอยู่ในป่ากันก่อน  แต่อีกไม่นานท่านเจ้าเมืองคงตั้งกองทัพออกมายึดเมืองคืนแน่  ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเมืองของเราไม่เคยทำสงครามแพ้ใคร”ครูหนุ่มให้กำลังแก่พวกเด็กๆ
    “แต่ฝ่ายนั้นมียานบินยักษ์นะครับ”หมูน้อยเถียงหลังจากที่ได้ฟังเหตุการณ์ในคืนที่เมืองถูกถล่ม
    “จะยานบินหรือกองทัพหุ่นก็ไม่อาจสู้ความสามัคคีและน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพวกเราไปได้หรอก”
    “ผมก็หวังว่าที่ครูพูดมาคงจะเป็นจริงนะครับ”เลียงผากล่าวด้วยความไม่แน่ใจ
    “ครูครับ...ล...แล้วชาวเมืองที่ตายไปมีใครมั่งครับ”หมูน้อยกล่าวน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
    “ครูไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่ได้อยู่ตอนฝังศพพวกเขา  แต่ครูยังเห็นพ่อของหมูน้อยนะ  ท่านเป็นคนช่วยผ่าตัดให้กับชาวเมืองที่บาดเจ็บตั้งหลายคน”คำพูดของครูหนุ่มสร้างความสบายใจให้เด็กชายเป็นอย่างมาก
    “อ้อ  พ่อเขาเป็นห่วงหมูน้อยมากนะ  ตอนที่ครูกำลังจะมาออกตามหาพวกเธอ  ท่านยังฝากครูให้ช่วยดูแลเธอเลย”นั่นยิ่งทำให้หมูน้อยยิ้มออกมาได้ในยามน่าสิ่วน่าขวานเช่นนี้
    เมื่อมีครูภพกับครูฝ้ายเป็นผู้นำในการเดินทางเช่นนี้ทำให้ขบวนของพวกเด็กๆเดินทางไปได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น  และเมื่อบวกกับเสบียงอาหารที่ลดหลั่นลงตามวันเวลาทำให้ช่วยทุ่นแรงไปได้มาก  ดังนั้นในเช้าของวันที่หกพวกเขาก็เข้าสู่เขตของป่าโปร่งซึ่งเป็นป่าแห่งสุดท้ายก่อนที่จะถึงทะเลสาบอาร์เทมิส
    “รับรองว่าเย็นนี้พวกเธอได้เจอพ่อแม่อย่างแน่นอน”ครูภพกล่าวให้กำลังใจพวกเด็กๆ
    แม้เหนื่อยอ่อนกับการเดินทางเพียงไร  แต่กำลังใจของทุกคนก็ยังคงเข้มแข็งไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้นเมื่อตะวันคล้อยต่ำลงขบวนนักเดินทางกลุ่มนี้ก็สามารถหลุดออกมาจากป่าโปร่งได้  เบื้องหน้าของเด็กๆคือลำธารน้ำสายเล็กที่ไหลออกมาจากถ้ำหินขนาดใหญ่
    “พวกชาวเมืองทั้งหมดหลบซ่อนกันอยู่ในถ้ำหินนั่น”ครูฝ้ายกล่าว
    ครูทั้งสองพาพวกเด็กเดินข้ามลำน้ำเข้าไปยังถ้ำหินแห่งนี้  และเมื่อลอดผ่านอุโมงค์ถ้ำไป  พวกเขาจึงได้พบกับทะเลสาบอาร์เทมิสที่ถูกปกคลุมด้วยดอกบัวหลากสี  และกึ่งกลางทะเลสาบแห่งนี้คือรูปปั้นสีเขียวมรกตของหญิงสาวในอาภรณ์บางพลิ้วยืนเด่นเป็นสง่าอยู่  นั่นคือเทพีอาร์เทมิส  เทพีแห่งธรรมชาติและผืนแผ่นดิน
    รอบบริเวณทะเลสาบคือทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่เหล่าชาวบ้านยึดเป็นพื้นที่อาศัยอยู่ชั่วคราว  พวกเขากำลังช่วยกันสร้างบ้านหลังย่อมขึ้นอย่างง่ายๆจากต้นไม้และใบหญ้าที่หาได้บริเวณนั้น
    “เราจะตัดต้นไม้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น”นั่นคือกฎเหล็กของชาวเมืองนี้
    พวกเด็กๆเดินตรงเข้ามายังกลุ่มคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการก่อสร้าง  เลียงผาสอดส่ายสายตาไปยังบุคคลเหล่านั้นก็ร้องตะโกนออกมาดังลั่น
    “พ่อ!”
    เด็กชายวิ่งนำหน้าไปหาผู้เป็นบิดาที่กำลังขนไม้อยู่  สองพ่อลูกต่างกอดกันกลมทามกลางสายตายินดีของเหล่าชาวเมือง

    จากคุณ : ไฟลี่ - [3 พ.ค. 45 10:04:39]