เรื่องเล่าจากแดนไกล(ตอนที่14)

    ตอน ปกป้องผืนป่าอันเป็นที่รัก
    ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้นเจ้าเมืองเทมาริสก็สามารถหาบุคคลที่จะปฏิบัติภารกิจนี้ได้  คนๆนั้นก็คือครูภพของพวกเด็กนั่นเอง  ครูภพเป็นครูสอนวิชาแปลงร่างซึ่งนั่นก็หมายความได้ว่าการแปลงร่างของเขาย่อมสมบูรณ์แบบมากพอที่จะนำมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อ  ดังนั้นจึงไม่มีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้เท่าชายหนุ่มอีกต่อไป  การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ถือเป็นความอยู่รอดของชาวเมืองทั้งหมดจึงต้องมีการวางแผนไว้อย่างดี  พวกเด็กเมื่อได้ทราบข่าวต่างก็พากันไปหาคุณครูของตน
    “ครูอยู่ไหมครับ”เลียงผาตะโกนถามเมื่อเด็กชายชวนเพื่อนๆมาหาครูภพในเช้าก่อนออกเดินทาง
    “พวกเธอมีอะไรกันรึ”ชายหนุ่มโผล่หน้าออกมาจากกระท่อม
    “ครูจะออกเดินทางวันนี้แล้วใช่ไหมครับ  พวกผมมาอวยพรครูครับ”
    “ขอบใจทุกคนแล้วครูจะรีบกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ”
    ก่อนเริ่มต้นออกเดินทางชาวเมืองทุกคนต่างมายืนรอส่งชายหนุ่มซึ่งเกือบจะกลายเป็นวีรบุรุษของทุกคนไปเสียแล้ว
    “เก็บสิ่งนี้ติดตัวไว้เสมอ  หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือปฏิบัติงานไม่สำเร็จ  ขอให้ติดต่อพวกเราทันที”ชายชราส่งเปลือกหอยสีทองขนาดเท่าฝ่ามือให้ชายหนุ่ม
    “ผมจะไม่ทำให้ชาวเมืองผิดหวัง”ครูภพกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
    ชายหนุ่มหันมาลาพวกเด็กๆและชาวเมืองซึ่งคนสุดท้ายที่ครูภพหยุดคุยนานที่สุดก็คือครูฝ้ายของพวกเด็กๆนั่นเอง  เลียงผาสังเกตเห็นน้ำตาของครูสาวที่แอบยืนร้องไห้คนเดียวอยู่ใต้ต้นไม้หลังจากที่ครูภพกลายเป็นนกอินทรีบินจากไปแล้ว
    “ท่าทางครูฝ้ายของพวกเราจะหลงรักครูภพอยู่นะ”ห่านเป็นผู้ตั้งข้อสังเกตขึ้น
    “อ้าว  นี่ไม่รู้กันเลยเหรอไงว่าสองคนนี้เขาเกือบจะเป็นแฟนกันอยู่แล้วนะ”แมวถามด้วยความประหลาดใจ
    พวกเด็กๆหลายคนหันมามองเพื่อนสาวด้วยความประหลาดใจไม่น้อยไปกว่ากัน
    “เธอไปเอาข่าวมาจากไหน”
    “ก็เห็นมากับตาเลย หลายครั้งด้วย  เขาไปนั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านแม่ฉันบ่อยๆ”แมวซึ่งที่บ้านเปิดเป็นร้านอาหารขนาดเล็กคล้ายของหมูน้อยบอก
    “ถ้าเป็นแฟนกันได้ก็คงดีสินะ  ฉันจะเอาใจช่วยคู่นี้สุดๆเลย”พวกเด็กๆต่างเห็นด้วยกับคำพูดของหงส์
    วันเวลาท่ามกลางทะเลสาบผ่านไปเรื่อยๆ  ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นไปตามวิถีของมัน  พวกเด็กๆยังคงได้ยินข่าวคราวของครูภพจากสายสืบที่กลับมารายงานเสมอ  ครูยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในตัวเมืองเหมือนเดิม  ยังหาโอกาสเข้าไปในยานลำนั้นไม่ได้  และในที่สุดเมื่อวันที่สี่มาถึงชาวเมืองก็ได้รับข่าวที่ไม่คาดคิด!!
    เสียงเป่าเขาซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วทั้งหมู่บ้าน  ชาวเมืองต่างมาชุมนุมกัน ณ บริเวณหน้าทะเลสาบอาร์เทมิส  ทุกคนมีสีหน้าหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กังวลใจ
    “สายสืบของเรารายงานมาว่ากองทัพศัตรูกำลังเตรียมการเพื่อบุกมาที่นี่!!!”เจ้าเมืองกล่าวด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
    “มันจะบุกมาทำไม?  มันรู้แล้วเหรอว่าเราหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
    “เปล่า  มันต้องการพื้นที่ป่าบริเวณแทบนี้ทั้งหมด  ขณะนี้พวกมันได้เตรียมรถถังขนาดใหญ่ไว้เพื่อถางป่ามหัศจรรย์  ”
    “ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำลายป่าแห่งนี้ได้”เสียงชาวเมืองคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา  ต่อจากนั้นก็มีเสียงเฮสนับสนุนดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ  ชาวเมืองทั้งหมดตกลงใจที่จะปกป้องผืนป่าแห่งนี้ด้วยชีวิตของพวกเขา  แม้ว่าศึกคราวนี้พวกเขาจะไม่เห็นหนทางแห่งชัยชนะ  แต่ด้วยความรักและหวงแหนผืนป่าแห่งนี้ทำให้ชาวเมืองทั้งหมดต่างมีกำลังใจที่จะปกป้องสถานที่อันเป็นที่รักไว้ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
    อาวุธต่างๆถูกทำขึ้นอย่างรีบเร่งตามสภาพที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นคันธนู ลูกดอก ไม้กระบอง ลูกตุ้ม  ทุกคนต่างหน้าดำคร่ำเคร่งลงมือทำงานกันโดยไม่พูดจา  ไม่ช้าทุกอย่างก็เสร็จแม้จะไม่สมบูรณ์นักแต่มันก็คือที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ในขณะนั้น
    “เราคงต้องอาศัยกำลังของชาวเมืองทั้งหมด”เจ้าเมืองพูดขึ้นในที่ประชุม
    “แล้วพวกเด็กๆล่ะ”
    “ให้ไปด้วยแต่คงให้อยู่กองหลัง  คอยพยาบาลคนป่วยแล้วก็เตรียมอาวุธ”ชายชราตอบ
    “ทั้งหมดเลยเหรอ”ชาวเมืองคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
    เหตุการณ์ครั้งนี้ดูจะสร้างความหนักใจให้กับท่านเจ้าเมืองเป็นอย่างมาก  เขาไม่ต้องการสูญเสียประชาชนของเขาโดยเฉพาะพวกเด็กๆ  หากแต่กำลังพลที่น้อยเช่นนี้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกที่จะต้องนำพวกเด็กๆเข้าสู่สงครามด้วย
    “เหลือไว้แค่ชั้นหนึ่งละกันให้เฝ้าที่นี่  พวกเขายังเด็กเกินไปไม่เหมาะกับสงคราม”เจ้าเมืองกล่าว  
    ดังนั้นเมื่อการเดินทางสู่สงครามเริ่มต้นขึ้น  เด็กชั้นหนึ่งทั้งหมดจึงถูกทิ้งไว้ ณ ทะเลสาบอาร์เทมิส  พวกเขาจับกลุ่มกันนั่งอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่รอข่าวคราวของพวกผู้ใหญ่  
    “พวกนายเชื่อเรื่องตำนานอาร์เทมิสไหม”จู่ๆหงส์ก็เอ่ยปากถามเพื่อนๆ
    “ไม่รู้สิ  เขาว่ากันว่าเมืองเทมาริสของเรามีเทพีอาร์เทมิสเป็นผู้ปกปักษ์รักษาอยู่”แมวบอก
    “ถ้างั้นยามเมื่อมีภัยเช่นนี้  องค์เทพีก็น่าจะลงมาช่วยพวกเรานะ”ห่านพูดพร้อมกับนึกไปถึงคำอ้อนวอนของมารดาที่เฝ้าขอพรเทพีอาร์เทมิสทุกคืน
    “องค์เทพีคงไม่ว่างมั้ง  ท่านคงมีงานยุ่งเลยไม่ได้มาสนใจดูพวกเรา”เลียงผาว่า
    “ไหนๆพวกเราก็ว่างอยู่  ลองมาขอพรองค์เทพีดูดีไหม  เพื่อว่าท่านอาจมีเวลาว่างพอรับฟังได้”สิงห์เสนอ  
    เด็กๆต่างเห็นด้วยจึงพากันเดินไปยังบริเวณทะเลสาบหน้ารูปปั้นที่ๆชาวเมืองเชื่อกันว่าเทพีอาร์เทมิสทรงสิงสถิตอยู่  เด็กทั้งยี่สิบสี่คนต่างคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นและพร้อมใจกันสวดภาวนาขอพรให้องค์เทพีช่วยปกปักษ์รักษาผืนป่าและชีวิตของชาวเมืองทุกคน
    เป็นเวลานานที่พวกเขาต่างนั่งกันอยู่ในท่านั้น  เด็กทั้งหมดคงจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นแน่หากไม่ได้ยินเสียงสัญญาณซึ่งดังมาจากเพิงบัญชาการของท่านเจ้าเมือง  เลียงผาเป็นคนแรกที่วิ่งไปถึงที่นั่น  เสียงสัญญาณยังดังติดต่อกันมาเป็นระยะๆจากเครื่องรับรูปเปลือกหอยขนาดใหญ่  เด็กชายเอื้อมมือไปเปิดตัวรับสัญญาณ  เสียงของครูภพดังรอดผ่านลำโพงออกมา
    “กระรอกเรียกฐาน กระรอกเรียกฐาน  มีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง”
    “ครูภพนี่!  ครูคะนี่พวกเราเอง”ห่านตะโกนตอบกลับไปด้วยความดีใจ
    “พวกเธอเหรอ  มาทำอะไรกันตรงนั้น  ท่านเจ้าเมืองอยู่ไหน”เสียงชายหนุ่มถามกลับมาอย่างร้อนรน
    “ทุกคนออกไปในป่ากันหมดแล้ว  พวกศัตรูกำลังบุกมาทำลายป่าของเรา  ที่นี่เลยเหลือแต่พวกเราแค่ยี่สิบสี่คนเท่านั้น”เลียงผาตอบ
    “ตายละ”เสียงครูครางออกมา  “ทุกคนกำลังไปสู้กับกองทัพหุ่นงั้นเหรอ”
    “ครูเป็นอะไรรึเปล่าครับ”หงส์ถามเมื่อสังเกตถึงน้ำเสียงที่ผิดปรกติ
    “ตอนนี้ครูถูกจับอยู่ในยานกลาง  ครูถอดผลึกนั่นออกมาไม่ได้”เสียงตอบอย่างสิ้นหวังดังกลับมา
    “ตายละ  กองทัพหุ่นทั้งกองทัพพวกผู้ใหญ่จะสู้ได้เหรอ”หมูน้อยพูด
    “เอาอย่างนี้ดีกว่า  ครูอยากให้พวกเธอเข้าไปในป่าส่งข่าวให้พวกผู้ใหญ่รู้  นั่นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
    “แล้วครูล่ะครับ”หงส์ถาม
    “ครูไม่เป็นไรหรอก  พวกมันคงไม่คิดฆ่าครูง่ายๆ  จัดการทำตามที่สั่งด่วนเลย”เสียงแข็งกร้าวของชายหนุ่มดังมาก่อนสัญญาณจะขาดหายไป
    เด็กทั้งยี่สิบสี่คนต่างล้มตัวลงด้วยความหมดหวัง  สีหน้าทุกคนในขณะนี้ล้วนเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดวิตก
    “เราจะทำยังไงต่อไปดี”หมูน้อยเอ่ยถามขึ้น
    “เราต้องไปเตือนพวกเขา”เลียงผาพูดขึ้นในที่สุด
    “แล้วครูภพล่ะ”ห่านถาม
    “ก็ต้องไปช่วยเขาสิ  คนอื่นเขาไปเสี่ยงตายกันหมดเหลือแต่พวกเราที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
    “ไปเถอะ  อย่ามัวแต่หมดหวัง  พวกเรามีกันตั้งยี่สิบสี่คน”ห่านพูด
    เด็กๆต่างเห็นด้วยกับคำพูดของแฝดชาย  ต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกับกำลังใจที่กลับขึ้นมาใหม่  เลียงผากลับมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง  แม้ครานี้จะไม่ใช่แค่เกมที่เล่นเพื่อความสนุกอีกต่อไป   มันเป็นเกมแห่งความอยู่รอดที่หมายถึงความเป็นความตายของประชาชนทั้งเมือง  ถึงพวกเขาจะเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ไม่มีใครเห็นความสำคัญ  แต่บางครั้งความไม่สำคัญนี้ก็อาจกลายเป็นหนทางแห่งการอยู่รอดก็เป็นได้
    เลียงผาเริ่มจัดการแบ่งกลุ่มอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือกลุ่มที่จะเดินทางเข้าป่าไปเตือนพวกผู้ใหญ่  และกลุ่มที่จะเข้าเมืองไปเพื่อหาทางช่วยครูภพ
    “กลุ่มที่จะไปช่วยครูภพเราอยากให้ไปกันแค่ไม่กี่คนก็พอ  มันเดินทางไกลแล้วก็ลำบากกว่า  เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการเดินป่าเราขอแค่หกคนเท่านั้น”เลียงผากล่าวกับเพื่อนๆ  หลังจากนั้นเขาจึงจัดการเลือกผู้ร่วมเดินทางไปกับเขา  คนทั้งหกจึงมีตัวเขา  แฝดห่านหงส์ แมว ชิม และคนสุดท้ายที่เด็กชายเลือกก็คือหมูน้อย
    “เราอาจไปเป็นตัวถ่วงพวกนายก็ได้”เด็กชายตุ้ยนุ้ยกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก
    “ไม่หรอก  นายช่วยพวกเราได้  ฉันรู้ว่านายมีอะไรดีๆในตัวหลายอย่าง”เลียงผากล่าว
    ส่วนที่เหลือก็จะเดินทางไปกับกลุ่มที่สองโดยมีสิงห์กับแก้วเป็นผู้นำ
    “ขอร้องได้ไหม  อย่าทะเลาะกันระหว่างเดินทาง”เลียงผาพูดกับเพื่อนทั้งสองด้วยความรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก
    “อย่าห่วงเลยน่า  ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำตัวเป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว”สิงห์ให้ความมั่นใจ
    “ยังไงก็ฝากดูสองคนนี้ด้วยละกัน”เด็กชายหันไปกระซิบกับเพื่อนๆที่เหลืออยู่เมื่อยังคงสังเกตเห็นแก้วที่มองเพื่อนชายคนนี้ด้วยดวงตาที่ไม่น่าไว้ใจนัก
    “นายว่าสมควรจะลากใครคนใดคนหนึ่งมากับพวกเราด้วยไหม”เลียงผาหันไปปรึกษาห่าน
    “เชื่อใจพวกเขาหน่อยสิ  สองคนนั่นเป็นเพื่อนกันนะ  ทะเลาะกันก็เป็นของธรรมดา  เชื่อสิพอเข้าตาจนจริงๆเดี๋ยวพวกเขาก็สามัคคีกันเองแหละ”ห่านกล่าวอย่างมั่นใจ
    การเดินทางเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาโดยการนำของแก้วและสิงห์ที่ยังคงเป็นไปด้วยดี  พวกเขาตามพวกผู้ใหญ่เข้าป่าไปโดยอาศัยร่องรอยการเดินป่าและกองไฟที่ตั้งค่ายพักแรม  ส่วนกลุ่มของเลียงผาที่จะเข้าเมืองก็ตามรอยของสายสืบใต้ดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยแปลงกายเป็นตัวตุ่นมุดดำดินไป
    “นั่นนายเอาอะไรไปด้วยนะ”เลียงผาถามเมื่อเห็นห่อผ้าใบใหญ่ที่ห่านถืออยู่ในมือ
    “ก็เครื่องมือสื่อสารของครูภพไง  เราจะไปตามหาครูกันไม่ใช่เหรอ  แล้วไม่เอามันไปเราจะไปหาครูได้ยังไง”ห่านว่า
    “แต่ไอ้ห่อที่นายถือนี่มันใหญ่มากนะ  ถ้าเราเป็นตัวตุ่นกันจะแบกมันไปได้ยังไง”เลียงผาถามด้วยความสงสัยปนหนักใจ!!!!


    จากคุณ : ไฟลี่ - [7 พ.ค. 45 09:03:35]