ตอน ปกป้องผืนป่าอันเป็นที่รัก
ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้นเจ้าเมืองเทมาริสก็สามารถหาบุคคลที่จะปฏิบัติภารกิจนี้ได้ คนๆนั้นก็คือครูภพของพวกเด็กนั่นเอง ครูภพเป็นครูสอนวิชาแปลงร่างซึ่งนั่นก็หมายความได้ว่าการแปลงร่างของเขาย่อมสมบูรณ์แบบมากพอที่จะนำมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อ ดังนั้นจึงไม่มีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้เท่าชายหนุ่มอีกต่อไป การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ถือเป็นความอยู่รอดของชาวเมืองทั้งหมดจึงต้องมีการวางแผนไว้อย่างดี พวกเด็กเมื่อได้ทราบข่าวต่างก็พากันไปหาคุณครูของตน
ครูอยู่ไหมครับเลียงผาตะโกนถามเมื่อเด็กชายชวนเพื่อนๆมาหาครูภพในเช้าก่อนออกเดินทาง
พวกเธอมีอะไรกันรึชายหนุ่มโผล่หน้าออกมาจากกระท่อม
ครูจะออกเดินทางวันนี้แล้วใช่ไหมครับ พวกผมมาอวยพรครูครับ
ขอบใจทุกคนแล้วครูจะรีบกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ
ก่อนเริ่มต้นออกเดินทางชาวเมืองทุกคนต่างมายืนรอส่งชายหนุ่มซึ่งเกือบจะกลายเป็นวีรบุรุษของทุกคนไปเสียแล้ว
เก็บสิ่งนี้ติดตัวไว้เสมอ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือปฏิบัติงานไม่สำเร็จ ขอให้ติดต่อพวกเราทันทีชายชราส่งเปลือกหอยสีทองขนาดเท่าฝ่ามือให้ชายหนุ่ม
ผมจะไม่ทำให้ชาวเมืองผิดหวังครูภพกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
ชายหนุ่มหันมาลาพวกเด็กๆและชาวเมืองซึ่งคนสุดท้ายที่ครูภพหยุดคุยนานที่สุดก็คือครูฝ้ายของพวกเด็กๆนั่นเอง เลียงผาสังเกตเห็นน้ำตาของครูสาวที่แอบยืนร้องไห้คนเดียวอยู่ใต้ต้นไม้หลังจากที่ครูภพกลายเป็นนกอินทรีบินจากไปแล้ว
ท่าทางครูฝ้ายของพวกเราจะหลงรักครูภพอยู่นะห่านเป็นผู้ตั้งข้อสังเกตขึ้น
อ้าว นี่ไม่รู้กันเลยเหรอไงว่าสองคนนี้เขาเกือบจะเป็นแฟนกันอยู่แล้วนะแมวถามด้วยความประหลาดใจ
พวกเด็กๆหลายคนหันมามองเพื่อนสาวด้วยความประหลาดใจไม่น้อยไปกว่ากัน
เธอไปเอาข่าวมาจากไหน
ก็เห็นมากับตาเลย หลายครั้งด้วย เขาไปนั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านแม่ฉันบ่อยๆแมวซึ่งที่บ้านเปิดเป็นร้านอาหารขนาดเล็กคล้ายของหมูน้อยบอก
ถ้าเป็นแฟนกันได้ก็คงดีสินะ ฉันจะเอาใจช่วยคู่นี้สุดๆเลยพวกเด็กๆต่างเห็นด้วยกับคำพูดของหงส์
วันเวลาท่ามกลางทะเลสาบผ่านไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นไปตามวิถีของมัน พวกเด็กๆยังคงได้ยินข่าวคราวของครูภพจากสายสืบที่กลับมารายงานเสมอ ครูยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในตัวเมืองเหมือนเดิม ยังหาโอกาสเข้าไปในยานลำนั้นไม่ได้ และในที่สุดเมื่อวันที่สี่มาถึงชาวเมืองก็ได้รับข่าวที่ไม่คาดคิด!!
เสียงเป่าเขาซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วทั้งหมู่บ้าน ชาวเมืองต่างมาชุมนุมกัน ณ บริเวณหน้าทะเลสาบอาร์เทมิส ทุกคนมีสีหน้าหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กังวลใจ
สายสืบของเรารายงานมาว่ากองทัพศัตรูกำลังเตรียมการเพื่อบุกมาที่นี่!!!เจ้าเมืองกล่าวด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
มันจะบุกมาทำไม? มันรู้แล้วเหรอว่าเราหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่
เปล่า มันต้องการพื้นที่ป่าบริเวณแทบนี้ทั้งหมด ขณะนี้พวกมันได้เตรียมรถถังขนาดใหญ่ไว้เพื่อถางป่ามหัศจรรย์
ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำลายป่าแห่งนี้ได้เสียงชาวเมืองคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ต่อจากนั้นก็มีเสียงเฮสนับสนุนดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ ชาวเมืองทั้งหมดตกลงใจที่จะปกป้องผืนป่าแห่งนี้ด้วยชีวิตของพวกเขา แม้ว่าศึกคราวนี้พวกเขาจะไม่เห็นหนทางแห่งชัยชนะ แต่ด้วยความรักและหวงแหนผืนป่าแห่งนี้ทำให้ชาวเมืองทั้งหมดต่างมีกำลังใจที่จะปกป้องสถานที่อันเป็นที่รักไว้ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
อาวุธต่างๆถูกทำขึ้นอย่างรีบเร่งตามสภาพที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นคันธนู ลูกดอก ไม้กระบอง ลูกตุ้ม ทุกคนต่างหน้าดำคร่ำเคร่งลงมือทำงานกันโดยไม่พูดจา ไม่ช้าทุกอย่างก็เสร็จแม้จะไม่สมบูรณ์นักแต่มันก็คือที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ในขณะนั้น
เราคงต้องอาศัยกำลังของชาวเมืองทั้งหมดเจ้าเมืองพูดขึ้นในที่ประชุม
แล้วพวกเด็กๆล่ะ
ให้ไปด้วยแต่คงให้อยู่กองหลัง คอยพยาบาลคนป่วยแล้วก็เตรียมอาวุธชายชราตอบ
ทั้งหมดเลยเหรอชาวเมืองคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
เหตุการณ์ครั้งนี้ดูจะสร้างความหนักใจให้กับท่านเจ้าเมืองเป็นอย่างมาก เขาไม่ต้องการสูญเสียประชาชนของเขาโดยเฉพาะพวกเด็กๆ หากแต่กำลังพลที่น้อยเช่นนี้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกที่จะต้องนำพวกเด็กๆเข้าสู่สงครามด้วย
เหลือไว้แค่ชั้นหนึ่งละกันให้เฝ้าที่นี่ พวกเขายังเด็กเกินไปไม่เหมาะกับสงครามเจ้าเมืองกล่าว
ดังนั้นเมื่อการเดินทางสู่สงครามเริ่มต้นขึ้น เด็กชั้นหนึ่งทั้งหมดจึงถูกทิ้งไว้ ณ ทะเลสาบอาร์เทมิส พวกเขาจับกลุ่มกันนั่งอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่รอข่าวคราวของพวกผู้ใหญ่
พวกนายเชื่อเรื่องตำนานอาร์เทมิสไหมจู่ๆหงส์ก็เอ่ยปากถามเพื่อนๆ
ไม่รู้สิ เขาว่ากันว่าเมืองเทมาริสของเรามีเทพีอาร์เทมิสเป็นผู้ปกปักษ์รักษาอยู่แมวบอก
ถ้างั้นยามเมื่อมีภัยเช่นนี้ องค์เทพีก็น่าจะลงมาช่วยพวกเรานะห่านพูดพร้อมกับนึกไปถึงคำอ้อนวอนของมารดาที่เฝ้าขอพรเทพีอาร์เทมิสทุกคืน
องค์เทพีคงไม่ว่างมั้ง ท่านคงมีงานยุ่งเลยไม่ได้มาสนใจดูพวกเราเลียงผาว่า
ไหนๆพวกเราก็ว่างอยู่ ลองมาขอพรองค์เทพีดูดีไหม เพื่อว่าท่านอาจมีเวลาว่างพอรับฟังได้สิงห์เสนอ
เด็กๆต่างเห็นด้วยจึงพากันเดินไปยังบริเวณทะเลสาบหน้ารูปปั้นที่ๆชาวเมืองเชื่อกันว่าเทพีอาร์เทมิสทรงสิงสถิตอยู่ เด็กทั้งยี่สิบสี่คนต่างคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นและพร้อมใจกันสวดภาวนาขอพรให้องค์เทพีช่วยปกปักษ์รักษาผืนป่าและชีวิตของชาวเมืองทุกคน
เป็นเวลานานที่พวกเขาต่างนั่งกันอยู่ในท่านั้น เด็กทั้งหมดคงจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นแน่หากไม่ได้ยินเสียงสัญญาณซึ่งดังมาจากเพิงบัญชาการของท่านเจ้าเมือง เลียงผาเป็นคนแรกที่วิ่งไปถึงที่นั่น เสียงสัญญาณยังดังติดต่อกันมาเป็นระยะๆจากเครื่องรับรูปเปลือกหอยขนาดใหญ่ เด็กชายเอื้อมมือไปเปิดตัวรับสัญญาณ เสียงของครูภพดังรอดผ่านลำโพงออกมา
กระรอกเรียกฐาน กระรอกเรียกฐาน มีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง
ครูภพนี่! ครูคะนี่พวกเราเองห่านตะโกนตอบกลับไปด้วยความดีใจ
พวกเธอเหรอ มาทำอะไรกันตรงนั้น ท่านเจ้าเมืองอยู่ไหนเสียงชายหนุ่มถามกลับมาอย่างร้อนรน
ทุกคนออกไปในป่ากันหมดแล้ว พวกศัตรูกำลังบุกมาทำลายป่าของเรา ที่นี่เลยเหลือแต่พวกเราแค่ยี่สิบสี่คนเท่านั้นเลียงผาตอบ
ตายละเสียงครูครางออกมา ทุกคนกำลังไปสู้กับกองทัพหุ่นงั้นเหรอ
ครูเป็นอะไรรึเปล่าครับหงส์ถามเมื่อสังเกตถึงน้ำเสียงที่ผิดปรกติ
ตอนนี้ครูถูกจับอยู่ในยานกลาง ครูถอดผลึกนั่นออกมาไม่ได้เสียงตอบอย่างสิ้นหวังดังกลับมา
ตายละ กองทัพหุ่นทั้งกองทัพพวกผู้ใหญ่จะสู้ได้เหรอหมูน้อยพูด
เอาอย่างนี้ดีกว่า ครูอยากให้พวกเธอเข้าไปในป่าส่งข่าวให้พวกผู้ใหญ่รู้ นั่นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แล้วครูล่ะครับหงส์ถาม
ครูไม่เป็นไรหรอก พวกมันคงไม่คิดฆ่าครูง่ายๆ จัดการทำตามที่สั่งด่วนเลยเสียงแข็งกร้าวของชายหนุ่มดังมาก่อนสัญญาณจะขาดหายไป
เด็กทั้งยี่สิบสี่คนต่างล้มตัวลงด้วยความหมดหวัง สีหน้าทุกคนในขณะนี้ล้วนเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดวิตก
เราจะทำยังไงต่อไปดีหมูน้อยเอ่ยถามขึ้น
เราต้องไปเตือนพวกเขาเลียงผาพูดขึ้นในที่สุด
แล้วครูภพล่ะห่านถาม
ก็ต้องไปช่วยเขาสิ คนอื่นเขาไปเสี่ยงตายกันหมดเหลือแต่พวกเราที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ไปเถอะ อย่ามัวแต่หมดหวัง พวกเรามีกันตั้งยี่สิบสี่คนห่านพูด
เด็กๆต่างเห็นด้วยกับคำพูดของแฝดชาย ต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกับกำลังใจที่กลับขึ้นมาใหม่ เลียงผากลับมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง แม้ครานี้จะไม่ใช่แค่เกมที่เล่นเพื่อความสนุกอีกต่อไป มันเป็นเกมแห่งความอยู่รอดที่หมายถึงความเป็นความตายของประชาชนทั้งเมือง ถึงพวกเขาจะเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ไม่มีใครเห็นความสำคัญ แต่บางครั้งความไม่สำคัญนี้ก็อาจกลายเป็นหนทางแห่งการอยู่รอดก็เป็นได้
เลียงผาเริ่มจัดการแบ่งกลุ่มอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือกลุ่มที่จะเดินทางเข้าป่าไปเตือนพวกผู้ใหญ่ และกลุ่มที่จะเข้าเมืองไปเพื่อหาทางช่วยครูภพ
กลุ่มที่จะไปช่วยครูภพเราอยากให้ไปกันแค่ไม่กี่คนก็พอ มันเดินทางไกลแล้วก็ลำบากกว่า เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการเดินป่าเราขอแค่หกคนเท่านั้นเลียงผากล่าวกับเพื่อนๆ หลังจากนั้นเขาจึงจัดการเลือกผู้ร่วมเดินทางไปกับเขา คนทั้งหกจึงมีตัวเขา แฝดห่านหงส์ แมว ชิม และคนสุดท้ายที่เด็กชายเลือกก็คือหมูน้อย
เราอาจไปเป็นตัวถ่วงพวกนายก็ได้เด็กชายตุ้ยนุ้ยกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก
ไม่หรอก นายช่วยพวกเราได้ ฉันรู้ว่านายมีอะไรดีๆในตัวหลายอย่างเลียงผากล่าว
ส่วนที่เหลือก็จะเดินทางไปกับกลุ่มที่สองโดยมีสิงห์กับแก้วเป็นผู้นำ
ขอร้องได้ไหม อย่าทะเลาะกันระหว่างเดินทางเลียงผาพูดกับเพื่อนทั้งสองด้วยความรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก
อย่าห่วงเลยน่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำตัวเป็นเด็กอีกต่อไปแล้วสิงห์ให้ความมั่นใจ
ยังไงก็ฝากดูสองคนนี้ด้วยละกันเด็กชายหันไปกระซิบกับเพื่อนๆที่เหลืออยู่เมื่อยังคงสังเกตเห็นแก้วที่มองเพื่อนชายคนนี้ด้วยดวงตาที่ไม่น่าไว้ใจนัก
นายว่าสมควรจะลากใครคนใดคนหนึ่งมากับพวกเราด้วยไหมเลียงผาหันไปปรึกษาห่าน
เชื่อใจพวกเขาหน่อยสิ สองคนนั่นเป็นเพื่อนกันนะ ทะเลาะกันก็เป็นของธรรมดา เชื่อสิพอเข้าตาจนจริงๆเดี๋ยวพวกเขาก็สามัคคีกันเองแหละห่านกล่าวอย่างมั่นใจ
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาโดยการนำของแก้วและสิงห์ที่ยังคงเป็นไปด้วยดี พวกเขาตามพวกผู้ใหญ่เข้าป่าไปโดยอาศัยร่องรอยการเดินป่าและกองไฟที่ตั้งค่ายพักแรม ส่วนกลุ่มของเลียงผาที่จะเข้าเมืองก็ตามรอยของสายสืบใต้ดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยแปลงกายเป็นตัวตุ่นมุดดำดินไป
นั่นนายเอาอะไรไปด้วยนะเลียงผาถามเมื่อเห็นห่อผ้าใบใหญ่ที่ห่านถืออยู่ในมือ
ก็เครื่องมือสื่อสารของครูภพไง เราจะไปตามหาครูกันไม่ใช่เหรอ แล้วไม่เอามันไปเราจะไปหาครูได้ยังไงห่านว่า
แต่ไอ้ห่อที่นายถือนี่มันใหญ่มากนะ ถ้าเราเป็นตัวตุ่นกันจะแบกมันไปได้ยังไงเลียงผาถามด้วยความสงสัยปนหนักใจ!!!!
จากคุณ :
ไฟลี่ - [7 พ.ค. 45 09:03:35]