เรื่องเล่าจากแดนไกล ตอนที่15

    ตอน  หุ่นยนต์นักฆ่า
    การแก้ปัญหาของเด็กชายก็คือ...ใช้ชิมซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรมในการแข่งขันให้แปลงเป็นตัวตุ่นมุดดำดินตามรอยไปก่อนพร้อมทั้งทำสัญลักษณ์ตามทางที่ไปไว้บนดินตลอด(ความจริงปัญหาใหญ่อีกข้อที่เลียงผาไม่ได้บอกทุกคนก็คือหมูน้อยไม่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ที่เล็กกว่าลูกหมูได้  ก็คล้ายๆกับช้าง...เพื่อนร่างยักษ์ของเขานั่นแหละ  แต่เรื่องของหมูน้อยยังไม่มีใครรู้)  การเดินทางของพวกเด็กๆจึงล่าช้าไปกว่าที่กำหนดไว้เนื่องจากต้องคอยให้เพื่อนชายมุดดินขึ้นมาบอกทาง  พอตกเย็นตัวตุ่นน้อยของพวกเขาก็ล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง
    คืนนี้เลียงผาเป็นคนอยู่เฝ้าเวรยามเอง  เด็กชายนั่งมองท้องฟ้าที่คลาคล่ำไปด้วยแสงดาวนับพันหมื่นดวงด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง  เขาไม่รู้ว่าจุดจบของเมืองเทมาริสแห่งนี้จะมาถึงเมื่อไร  โอ้เทพีอาร์เทมิส  ถ้าท่านเป็นผู้สร้างเมืองแห่งนี้จริง  ขอโปรดช่วยปกปักรักษาผืนดิน ผืนป่า และเมืองอันเป็นที่รักของเราด้วยเถิด
    จากนั้นเด็กชายจึงล้มตัวลงนอนและ ผล็อยหลับไป
    ท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ  ยามที่สองตาแลไปทางใดกลับไม่ปรากฏร่องรอยแห่งสิ่งมีชีวิตราวกับทุกสรรพสิ่งได้หยุดนิ่งลง  ชีวิตดูจะเลือนหายไปภายในเมฆหมอกอันมืดครึ้มนี้
    เด็กชายตัวเล็กผิวสีน้ำตาลคล้ำจนเกือบดำเดินสะเปะสะปะไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย  ดวงตาสีดำโตที่เป็นประกายสดใสดูจะอ่อนแสงลงมาก  เสื้อผ้าขาดวิ่นและเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนตามลำตัว
    “หมูน้อย  ห่าน  หงส์”เด็กชายตัวน้อยร้องเรียกเพื่อนๆอย่างสุดเสียง
    ไม่ปรากฏเสียงตอบรับใดๆจากหมอกหนาทึบตรงหน้า  แต่ความพยายามของเขาดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด  เขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ  ตะโกนร้องเรียกเพื่อนๆต่อไป....ต่อไป
    และในที่สุดสายหมอกสีเทาดำก็จางลง  เด็กชายแลเห็นสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า  รูปปั้นเทพีอาร์เทมิสสีเขียวมรกตที่ทรงอาภรณ์ผืนบางราวกับปลิวไสวไปตามสายลม  หากแต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นรูปปั้นมรกตสีเขียวก็สว่างโร่ขึ้นแปรเปลี่ยนกลายเป็นหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวบางพลิ้วแทน
    “องค์เทพีอาร์เทมิส!!”เด็กชายอุทานออกมาอย่างตกใจ
    “ใช่ ข้าคือเทพีอาร์เทมิสผู้สร้างเมืองเทมาริสแห่งนี้”หญิงสาวงามสง่าผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะ
    เด็กชายหมอบตัวลงแสดงความเคารพต่อองค์เทพี
    “ลุกขึ้นเถิดเด็กน้อย  ที่ข้ามาพบเจ้าในครานี้ก็เพื่อขอร้องให้เจ้าจงช่วยปกป้องเมืองเทมาริสให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ด้วย”
    “เหตุไฉนองค์เทพีไม่ทรงช่วยชาวเมืองของพระองค์ล่ะขอรับ”เด็กชายถามสีหน้างุนงง
    “เมืองแห่งนี้เป็นของพวกเจ้า  ข้ามอบให้พวกเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษามาช้านาน  ดังนั้นหน้าที่เหล่านี้จึงตกเป็นของชาวเมืองทุกคน  ข้า...แม้จะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา  แต่สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่เฝ้ามองพวกเจ้าด้วยหัวใจและความปรารถนาดี  ข้าไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยได้ดังเช่นทุกคราที่ข้าไม่อาจช่วยนักรบในอดีตได้  แต่พวกเขาก็สามารถปกปักรักษาเมืองและผืนป่าแห่งนี้มาได้ทุกคราว  และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องทำหน้าที่ดังกล่าว  จงจำไว้ว่ามนุษย์นั้นคือผู้สร้างทุกสิ่ง  ไม่มีอะไรที่จะเกินความสามารถของพวกเจ้าทุกคนไปได้”เสียงเบาพลิ้วดังล่องลอยมาและจากไปตามสายลม
    เลียงผาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องไปทั่วทั้งผืนหญ้า  เด็กชายเหลียวมองรอบตัวด้วยความระแวดระวัง  เพื่อนๆของเขายังคงหลับสบายอยู่  ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายยังคงสภาพเช่นเดิมเว้นแต่แสงสว่างได้พัดพาเองความมืดมิดและอ้างว้างยามราตรีไปจนหมดสิ้น  เขาเอื้อมมือไปปลุกเพื่อนๆเพื่อเริ่มต้นออกเดินทางในเช้าวันใหม่  วันนี้หงส์เป็นฝ่ายนำทางแทนชิมซึ่งยังดูเหนื่อยล้าจากหน้าที่เมื่อวานอยู่
    การเดินทางยังดำเนินต่อไปเฉกเช่นเมื่อวาน  และในที่สุดในเช้าวันที่สามของการเดินทางพวกเด็กๆก็มาถึงชายป่ามหัศจรรย์  พวกเขาตัดสินใจพักเอาแรงและวางแผนกันจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน
    “เราต้องสืบให้ได้ว่าครูภพถูกขังอยู่ที่ไหน”เลียงผากล่าว
    “งานนี้ฉันอาสาเอง”ชิมบอก
    ดังนั้นเด็กที่เหลืออีกห้าคนจึงซ่อนตัวอยู่ในโพรงใหญ่ของต้นโอ๊กยักษ์ ณ ชายป่ารอจนกระทั่งชิมซึ่งแปลงร่างเป็นนกกระจอกบินกลับมาในขณะที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า
    “ได้เรื่องไหม?”เลียงผาถามเพื่อน
    “ก็พอรู้เรื่องบ้าง  ฉันไปแอบฟังพวกทหารยามเฝ้ากำลังคุยกันอยู่  เห็นว่ามีนักโทษคนหนึ่งถูกขังอยู่ในยานมาเฟ  เขาว่าอย่างนี้นะ  แต่ฉันไม่รู้ว่านักโทษคนนั้นจะใช่ครูภพไหม”
    “ถึงไม่ใช่เราก็ต้องช่วยเขาล่ะ  เพราะยังไงเขาก็คงเป็นชาวเมืองคนหนึ่งเหมือนกัน”เลียงผาว่า
    “ว่าแต่ไอ้ยานมาเฟที่นายว่ามันคือยานไหนล่ะในเมื่อมันมีตั้งเป็นสิบลำจอดเรียงรายอยู่อย่างนี้”หงส์ถาม
    ดูเหมือนว่าชิมจะลืมคิดเรื่องนี้เสียสนิท!!
    “ลองใช้เครื่องนั่นติดต่อกับครูภพดูสิ”หมูน้อยเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้น
    ห่านแกะห่อผ้าหยิบเอาเครื่องรับสัญญาณออกมาตั้งไว้ตรงหน้าเพื่อนๆ  
    “เราจะเปิดเครื่องนี้ยังไง”เลียงผาถาม  เขาเองแทบไม่มีความรู้ในเรื่องเครื่องมือประเภทนี้เลย
    “ขอฉันลองดูนะ”หมูน้อยกล่าว  และใช้เวลาสำรวจเพียงไม่นานเด็กชายก็คลำหาสวิตช์เปิดปิดได้
    “ครืน ๆ”เสียงเครื่องยนต์ภายในเริ่มทำงานทันทีที่หมูน้อยเปิด
    “นายนี่เก่งเรื่องพวกนี้จริงๆ”หงส์อดกล่าวชมไม่ได้  นั่นคือพรสวรรค์ของหมูน้อยที่ใครๆต่างพากันลืมเสียสนิท
    “นายส่งสัญญาณติดต่อกันครูภพทีสิ”เลียงผาบอก
    เด็กชายตุ้ยนุ้ยเอื้อมมือไปกดปุ่มสีเงินปุ่มหนึ่งที่เรียงติดต่อกันไว้ทางด้านในฝาหอย  และในทันทีเครื่องส่งสัญญาณเปลือกหอยก็ส่งเสียงครืนๆออกมาอีกครั้ง
    “คงต้องรออีกสักพัก”หมูน้อยบอก
    พวกเด็กๆนั่งลงรอบเปลือกหอยภายใต้ร่มไม้ของต้นโอ๊กยักษ์  ทุกคนต่างจ้องมองเปลือกหอยนั่นอย่างใจจดใจจ่อจนไม่ทันระวังภัยที่กำลังเยื้องกายเข้ามา
    “ระวัง!!!”หงส์ร้องตะโกนขึ้นเมื่อเห็นหุ่นยนต์นักฆ่าเงื้อดาบขึ้นอยู่เบื้องหลังหมูน้อย  และด้วยความเร็วของแฝดผู้พี่  ห่านผลักร่างหมูน้อยกลิ้งหลบปลายดาบไปได้ทัน
    “ฉับ!”ปลายดาบฟันแฉลบลงบนไหล่ซ้ายของเด็กชายเป็นทางยาว
    “ห่าน!!”น้องสาวร้องตะโกนเรียกพี่ชายด้วยความตกใจ
    เลียงผาเป็นคนเดียวที่ตั้งสติได้ทัน  เด็กชายผลักเพื่อนให้หลบพ้นทางปลายดาบครั้งที่สองที่ฟัดฉับลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง  
    “หาที่หลบเร็ว”เลียงผาบอกเพื่อนๆพร้อมกับลากห่านซึ่งเลือดไหลนองเต็มแผ่นหลังเข้าไปหลบในโพรงไม้โอ๊กยักษ์ซึ่งเคยเป็นที่ซ่อนตัวของเด็กๆ  
    “นายพักอยู่นี่ก่อนนะ”เลียงผากล่าวกับห่านก่อนมุดออกจากโพรงมา
    “ระวังตัวนะ”ห่านเตือนเสียงอ่อนแรง
    เด็กชายมุดออกจากโพรงมาในร่างกระรอกบินสีเทาดำกระโดดข้ามต้นไม้ตามเพื่อนๆเข้าไปในป่า
    ฝ่ายหมูน้อย ชิม หงส์และแมวที่วิ่งหนีกันเข้ามาในป่าต่างหยุดหอบหายใจแอบอยู่ใต้พงไม้ใหญ่  หุ่นยนต์นักฆ่าย่องเดินตามหลังมาด้วยความเงียบกริบ  สองตาอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวเป็นประกายจ้าสอดส่ายสายตามองหาเหยื่ออยู่ท่ามกลางความมืด
    “ตึก....ตึก....ตึก”เสียงย่ำเท้าดังเข้ามาใกล้ทุกทีๆ
    “เราจะทำยังไงดี”หมูน้อยกระซิบถามอย่างร้อนรน
    “ต้องหนี”ชิมบอก
    พวกเด็กๆตัดสินใจวิ่งสุดชีวิตเข้าไปหลบยังพงไม้ด้านหน้า  แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูได้เห็นเหยื่อได้อย่างชัดเจน  หุ่นยนต์นักฆ่าเปลี่ยนท่าทางจากเต่าที่เคยเชื่องช้ากลับกลายเป็นนักวิ่งลมกรดแสนรวดเร็วปานพายุวิ่งไล่กวดพวกเด็กๆตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด
    “แปลงร่างเป็นกระรอกสิ”เสียงตะโกนดังลงมาจากต้นไม้
    และไม่รอช้าเด็กทั้งสามก็แปลงร่างกลายเป็นกระรอกตัวจิ๋วโดดขึ้นต้นไม้ไป  เหลือเพียงหมูน้อยคนเดียวที่ไม่สามารถแปลงเป็นสัตว์ร่างเล็กเช่นนั้นได้  
    “เร็วเข้าหมูน้อย”หงส์เร่ง
    เด็กชายตุ้ยนุ้ยยืนตัวสั่นอยู่ริมต้นไม้  
    “นายเป็นช้างได้!  หมูน้อยเร็วเข้า”เสียงเลียงผาตะโกน
    เด็กชายตั้งสติได้ทัน
    “อารา การา พารา เมราเดีย  อารา การา พารา เมราเดีย  อารา การา พารา เมราเดีย  ช้างแอฟริกา”
    ทันทีที่เสียงท่องมนต์จบลง  ร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายก็กลับขยายใหญ่ขึ้น  จมูกกลมโตของเขายาวออก...ยาวออก  ใบหู แขนขา และลำตัวเริ่มขยายใหญ่ขึ้น  มีขนหนาขึ้น  และผิวกายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสีเทาเข้ม
    ร่างอันใหญ่โตนั้นได้เปรียบกว่าหุ่นยนต์นักฆ่าซึ่งบัดนี้ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นตุ๊กตานักรบไปเสียแล้ว  กำลังใจของเด็กชายจึงกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  เขายื่นงวงยาวออกไปยึดดาบอันคมกริบที่เปื้อนไปด้วยเลือดก่อนจะขว้างมันไปไกลลิบตา
    “จัดการมันเลย”หงส์ตะโกนบอก
    งวงยาวอันแสนจะหนักอึ้งของเด็กชายเอื้อมกลับมาตวัดรัดรอบลำตัวของหุ่นยนต์  ยกเอาร่างหุ่นเหล็กขึ้นพร้อมๆกับฟาดมันลงกับก้อนหินใหญ่ทางด้านข้าง
    “ปัง!”เสียงเหล็กกระทบกับก้อนหินยักษ์ก่อให้เกิดประกายไฟแปล๊บขึ้น
    ช้างน้อยวางร่างหุ่นเหล็กลง  หุ่นยนต์ซึ่งตอนนี้ดูจะหมดสภาพนักฆ่านอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้าพวกเด็กๆทั้งห้า
    “จะทำยังไงกับมันดี”หงส์ถาม
    “มันเป็นหุ่นยนต์ลูกที่ปฏิบัติตามคำสั่งของหุ่นยนต์แม่แบบ  นี่ไงเครื่องรับส่งสัญญาณ”หมูน้อยชี้ไปยังกล่องสี่เหลี่ยมเล็กที่พังยับเยินอยู่ทางด้านท้ายทอยของหุ่น
    “ปล่อยมันไว้นี่เถอะ  พวกเราไปดูห่านกันก่อนดีกว่า”เลียงผาเตือนเพื่อนๆ
    พวกเด็กๆจึงรีบวิ่งมายังโพรงโอ๊กยักษ์ที่ห่านนั่งกุมไหล่อยู่ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
    “นายเป็นยังไงบ้าง”เลียงผาถามด้วยความเป็นห่วง
    “หาทางห้ามเลือดกันก่อนดีกว่า”แมวบอก
    เด็กๆช่วยกันฉีกเสื้อผ้าผูกกันเป็นแทบยาวเพื่อที่จะพันห้ามเลือดให้
    “จริงสิ  ฉันเอาสมุนไพรมาด้วย”แฝดน้องร้องขึ้นก่อนหันไปรื้นกระเป๋าตนหยิบเอากล่องไม้ที่เคยได้รับตอนอยู่ที่โรงเรียนขึ้นมา
    “ในนี้เป็นสมุนไพรแห้งที่มีสรรพคุณต่างๆ  อย่างต้นนี้ใช้ห้ามเลือด  แล้วก็นี่ใช้สมานแผล”เด็กสาวว่าพลางหยิบใบไม้แห้งสองชนิดนั่นขึ้นมาขยี้ๆผสมกันก่อนโปะลงไปตรงบาดแผลของพี่ชาย”
    “อูย!”แฝดผู้พี่ครางออกมา
    “คงแสบนิดหน่อยแต่รับรองหายสนิทแน่”
    “เธอนี่รอบรู้จัง”แมวเอ่ยปากชม
    “ฉันศึกษาข้อมูลของพืชที่ครูให้มาพวกนี้ก่อนออกเดินทาง  คิดอยู่แล้วว่ามันคงต้องได้ใช้ประโยชน์อะไรบ้าง”หงส์บอก
    คืนนั้นเด็กทั้งหกจึงนอนพักเอาแรงกันอยู่ในโพรงไม้โอ๊กยักษ์โดยมีชิมกับเลียงผาเป็นฝ่ายเฝ้ายาม



    จากคุณ : ไฟลี่ - [9 พ.ค. 45 18:16:19]