เรื่องเล่าจากแดนไกล ตอนที่23

    ตอน  สงครามที่แท้จริงและจุดสิ้นสุดของเรื่องราว
    “กองทัพอากาศโจมตีมันเร็ว!”เสียงสั่งจากท่านเจ้าเมือง
    เหล่านกอินทรี  เหยี่ยวและแร้งต่างถลาขึ้นบินสู่เวหา  จะงอยปากและกรงเล็บของเหล่านักล่าเหยื่อทำงานประสานกันได้เป็นอย่างดี  พวกเขาทั้งจิกทั้งดึงสายไฟและระบบควบคุมหุ่นยนต์ขาดวิ่นร่วงตกกันระนาว
    “สำเร็จแล้ว”ชาวเมืองต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ
    “มันยังไม่จบง่ายๆนะสิ”ครูภพที่เพิ่งเข้ามาสมทบกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังกองทัพรถถังที่เลื่อนเข้าประจัญบานทางเบื้องหน้า
    “แย่ละสิ”
    ยังไม่ทันขาดคำ...ปืนลำใหญ่ที่บรรจุกระสุนเต็มพีกัดก็ระดมยิงใส่กลุ่มชาวเมืองอย่างไม่ยั้ง  
    “ถอยทัพเข้าไปเร็ว”ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่ง
    เหล่าชาวเมืองต่างวิ่นกันจ้าละหวั่น  บ้างก็ถูกกระสุนระเบิดจนร่างเละ  บ้างก็ถูกยิงที่แขนขา  ใครที่ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ก็ยังคงก้าวขาวิ่นต่อไป  ส่วนใครที่บาดเจ็บสาหัสก็แปลงกายเป็นสัตว์เล็กให้ผู้ที่ยังมีแขนขาอุ้มหนีมา  
    “ตูมๆๆๆ”เสียงปืนใหญ่ยังคงไล่หลังมาเป็นระยะๆ  ชาวเมืองทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลออกไปไม่เกินสามร้อยเมตร
    “เร็วเข้า”ชาวเมืองที่หลบเข้าถ้ำมาแล้วต่างร้องเรียกเพื่อนที่ยังคงวิ่งมาไม่ถึง  และเมื่อสิงโตตัวสุดท้ายกระโจนเข้าถ้ำในขณะที่ลูกกระสุนปืนใหญ่พุ่งเข้าใส่ปากถ้ำพอดี
    “ตูม!!”
    “ครืน....ครืน...โครม!”เสียงหินที่ปากทางเข้าถ้ำถล่มลงมาตามแรงระเบิด
    “พวกมันคงเข้ามาไม่ได้แล้วล่ะ”ชาวเมืองต่างร้องขึ้นด้วยความดีใจ
    “แต่เราก็ออกไปได้เหมือนกันนะ”อีกคนหนึ่งแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ
    “เราจะถูกขังตายอยู่ในนี้นะ”
    “ไม่หรอก  คอยดูสิเดี๋ยวพวกมันก็พังปากถ้ำเข้ามาเองแหละ”ครูภพพูด  
    ยังไม่ทันขาดคำครูหนุ่มก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของกองหิน  แน่นอนว่าเจ้าหุ่นยนต์พวกนี้คงถูกตั้งคำสั่งให้ฆ่าเหล่าชาวเมืองให้สิ้นซากดังนั้นมันจะไม่ยอมหยุดแค่เพียงการถูกขังเป็นแน่
    “เราต้องหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนที่พวกมันจะพังเข้ามาได้”ท่านเจ้าเมืองหันมาปรึกษาเหล่าชาวเมือง
    “เฮ้พวกเรา  มาดูอะไรนี่สิ”เสียงตะโกนเรียกดังมาจากด้านในตัวถ้ำ  ทั้งหมดจึงเดินตามเสียงเรียกนั้นไป  บริเวณด้านในที่มีแสงสว่างรำไรของคบไฟคือกลุ่มเด็กนักเรียนชั้นหนึ่งและชาวเมืองบางส่วนที่ยืนออกันอยู่
    “เด็กพวกนี้เขาพบอุโมงค์เล็กๆนี่  ใครรู้บ้างมามันเชื่อมต่อไปที่ไหน”ชาวเมืองคนหนึ่งกล่าวขึ้น
    “ปลายอุโมงค์นี่มันจะไปโผล่ที่แม่น้ำ  เมื่อก่อนบริเวณที่เรายืนอยู่ขณะนี้คือบ่อน้ำขนาดย่อม  แต่ปากอุโมงค์ฟากนู้นเกิดมีก้อนหินแล้วก็พวกพืชน้ำอุดตันอยู่เลยปิดทางน้ำเข้า  ส่วนบ่อนี้พอนานวันเข้าน้ำก็แห้งเหือดหายไป”ชายชราผู้เป็นผู้ชำนาญทางในป่าแห่งนี้ดีกล่าวขึ้น
    “น้ำเหรอครับ”เลียงผาซึ่งยืนอยู่ในกลุ่มพวกเด็กๆเอ่ยถามชายชรา
    “ใช่”
    “มันไกลไหมครับ”เลียงผาถามอย่างร้อนรน
    “เอ...ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่คิดว่าไม่ไกลมากหรอกนะ”
    “เธอคิดอะไรอยู่เหรอเลียงผา?”ครูภพถามเด็กชาย
    “ก็ถ้าเราสามารถเปิดทางไหลของน้ำให้มาที่นี่ได้  เราก็สามารถเอาน้ำไปสู้กับพวกหุ่นได้นะสิครับ”เลียงผาไขข้อข้องใจให้ทุกคนฟัง
    “เอาน้ำไปสู้เหรอ?”ชาวเมืองถามด้วยความแปลกใจ
    “ใช่ครับ  ผมคิดว่าพวกเครื่องยนต์กลไกส่วนใหญ่มันแพ้น้ำกันทั้งนั้น  เว้นแต่ว่ามันจะใส่ระบบป้องกันน้ำไว้”
    “ความคิดนายเยี่ยมมาก  ฉันว่ามันต้องได้ผลแน่”หมูน้อยกล่าวในฐานะผู้ชำนาญด้านเครื่องจักรเครื่องยนต์ดี
    “ท่านเจ้าเมืองว่าอย่างไรครับ”ครูหนุ่มหันไปถามท่านเจ้าเมือง
    “ไม่เลวนักหรอกสำหรับความคิดนี้  ว่าแต่ใครจะอาสาเป็นคนเข้าไปเปิดทางน้ำล่ะ”ท่านเจ้าเมืองกล่าวขึ้นในที่สุด
    ไม่ต้องรอเอ่ยซ้ำสองก็มีชาวเมืองมากมายอาสาไปทำหน้าที่นี้  ดังนั้นแผนการใหม่ของพวกเขาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
    “นายมั่นใจวิธีนี้ไหมเลียงผา”ห่านถามเพื่อน
    “ไม่หรอก”
    “อ้าว! แล้วถ้าเกิดมันไม่ได้ผลขึ้นมาล่ะ”
    “ก็ตอนนี้เราไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วนี่นา”นั่นก็เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ของเด็กชาย
    “ว่าแต่พวกนายเจอพ่อรึยัง”แฝดสาวหันมาถามเพื่อนๆ  เนื่องจากเกิดความชุลมุนวุ่นวายมาตั้งแต่ที่พวกเขากลับเข้ามาเลยทำให้พวกเด็กๆไม่มีโอกาสตามหาครอบครัวของตน
    “ฉันเจอแล้วนะ  นั่นไงพ่อกับแม่”เลียงผาว่าพลางชี้ไปยังชายหญิงที่ยืนสนทนาอยู่กับท่านเจ้าเมืองไม่ไกลนัก
    “ฉันก็เจอท่านแล้ว”แมวกับชิมเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
    ส่วนฝาแฝดห่านหงส์คงไม่ต้องกล่าวถึงเลยเพราะว่าเมื่อทั้งสองวิ่งเข้ามาสมทบกองทัพของชาวเมือง  พ่อของสองแฝดก็วิ่งเข้ามาหาสวมกอดเด็กทั้งสองแทบจะทันที
    “แล้วหมูน้อยล่ะ”แมวถาม
    เด็กชายตุ้ยนุ้ยมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก  หมูน้อยยังไม่เห็นแม้แต่เงาของบิดาเขาเลยด้วยซ้ำ
    “พ่อนายอาจจะยังไม่รู้ก็ได้มั้งว่านายมาที่นี่แล้ว”เลียงผาปลอบ
    “ใช่ๆ  เขาอาจจะงานยุ่งอยู่ก็ได้  มีคนบาดเจ็บตั้งมากมาย”
    แต่ดูเหมือนว่าคำปลอบโยนของเพื่อนๆจะไม่ได้ผลอะไรมากนัก  หมูน้อยดูเหมือนจะจมปลักอยู่ในความคิดของตนเองจนไม่ได้ยินเสียงหนึ่งที่ตะโกนดังมาจากด้านหลัง
    “ตัวเล็ก  ตัวเล็ก!!”
    เลียงผาเป็นฝ่ายสะกิดหมูน้อยให้หันไปเผชิญหน้ากับบิดาที่วิ่งกระหืดกระหอบมา
    “พ่อ!”หมูน้อยตะโกนเรียกสุดเสียงด้วยความดีใจ
    นายเขตาวิ่งมาถึงยังที่ๆพวกเด็กยืนอยู่  ร่างกลมใหญ่ของเขาสวมกอดลูกชายด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง
    “พ่อแทบเป็นบ้าแหนะเมื่อเพื่อนๆของลูกมาบอกว่าลูกเดินทางเข้าเมืองไป”นายเขตากล่าวในขณะที่อ้อมแขนยังคงล้อมรอบตัวเด็กชายไว้
    “ผมขอโทษครับพ่อ”หมูน้อยบอกน้ำตาคลอเบ้า
    “ไม่เป็นไรหรอก  อย่างน้อยพ่อก็ภูมิใจในตัวของลูกที่ทำหน้าที่ชาวเมืองเทมาริสได้อย่างเต็มที่  นี่พ่อก็เพิ่งรู้จากครูภพนะว่าพวกเธอกลับมากันแล้ว”นายเขตาหันไปถามเพื่อนของลูกชายต่ออีกพักหนึ่งก็ผละจากไปทำหน้าที่แพทย์รักษาผู้บาดเจ็บต่อ
    “เห็นไหมหมูน้อย  พ่อนายรักนายจะตาย”ห่านว่า
    “อืม”หมูน้อยไม่ได้ตอบว่ากระไรแต่สายตาและสีหน้าของเขาในขณะนี้กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอิ่มเอมใจ
    “พวกเด็กๆถอยออกมาจากตรงนั้นเร็ว”เสียงชาวเมืองคนหนึ่งตะโกนขึ้น
    เด็กทั้งหกและชาวเมืองอีกส่วนหนึ่งจึงได้ปีนขึ้นมาจากหลุมตื้นกว้างที่อยู่ติดกลับอุโมงค์เล็กที่พบ
    “ครืนๆ....ซ่าๆๆๆ”เสียงน้ำไหลตามอุโมงค์มาก่อนทะลักออกมาพร้อมกับตัวบีเวอร์ห้าตัวพุ่งนำหน้ามา  ในไม่ช้าหลุมตื้นกว้างที่พวกเด็กๆยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ก็เต็มไปด้วยน้ำจากลำธารสีใสที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินทรายและหญ้า
    “เฮ!!”เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจดังระงมไปทั่วทั้งถ้ำ
    “ได้เวลาโจมตีศัตรูแล้ว!”
    และแล้วกำลังใจพวกเหล่าชาวเมืองเทมาริสก็กลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
    “เราจะขนน้ำกันไปยังไง?”ชิมถามขึ้น
    “ไม่ยากหรอกก็ให้ใครหลายๆคนแปลงเป็นช้างสูบน้ำขึ้นจากบ่อก็สิ้นเรื่อง”ครูภพตอบพลางหันไปสั่งจัดกำลังทัพเตรียมรับข้าศึกที่กำลังทะลายกำแพงหินเข้ามา
    กองทัพครานี้ดูออกจะแปลกประหลาดต่างจากกองทัพอื่นๆอยู่สักหน่อยเนื่องจากนี่คือกองทัพสัตว์ป่าที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนป่าอันเป็นที่รักแห่งนี้ไว้  ด่านหน้าสุดของกองทัพคือเหล่าช้างทั้งยี่สิบห้าตัวที่เตรียมพร้อมกับอาวุธสำคัญคือน้ำซึ่งบรรจุอยู่เต็มงวงใหญ่ยาวของพวกมัน ด้านบนของเหล่าช้างร่างยักษ์คือฝูงนก แร้ง กา และค้างคาวที่เตรียมพร้อมจู่โจม  ส่วนกองกลางคือทัพของนักล่าเหยื่อที่พร้อมจะขย้ำหุ่นยนต์ที่บุกเข้ามา  กองนี้มีทั้งเสือ สิงโต หมาป่า หมาใน และสุนัขจิ้งจอก  ทางด้านกองหลังคือส่วนที่อ่อนแอที่สุดของทัพเพราะเหล่าชาวเมืองที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถแปลงร่างได้ถูกนำมารวมกันอยู่หน้าบ่อน้ำโดยมีหน่วยแพทย์และพยาบาลคอยให้การดูแลรักษาอยู่  แต่สำหรับพวกเด็กๆต่างถูกเกณฑ์ให้แปลงเป็นสัตว์น้ำดำหลบอยู่ใต้บ่อน้ำคอยดูการโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าอย่างเงียบๆ
    “ครืน...ครืน”เสียงหินที่ถูกโยนและพังทลายลงทีละก้อนๆจนกระทั่งแสงแดดสามารถลอดผ่านเข้ามาสู่ในตัวถ้ำได้
    “พวกเราโจมตี!”
    และแล้วสงครามระหว่างหุ่นเหล็กและเหล่าสัตว์ป่าก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง  ในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างมีภาษีเท่าเทียมกัน  ไม่มีใครเสียเปรียบกว่าใคร
    “มันได้ผล”ช้างตัวหนึ่งตะโกนขึ้นเมื่อพุ่งน้ำสาดเข้ายังหุ่นยนต์เหล็กซึ่งลงไปชักดิ้นชักงอพร้อมกับกระแสไฟลัดวงจร
    เมื่อลำแสงสุดท้ายแห่งดวงตะวันสิ้นสุดลง  ป่ามหัศจรรย์แห่งนี้ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง  ซากหุ่นยนต์มากมายยังคงเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นหญ้า  เลยออกไปทางชายป่า  ควันไฟยังคงลุกไหม้ไม่จบสิ้นราวเป็นพยานถึงหายนะที่เพิ่งผ่านพ้นไป
    “พวกเราชนะแล้ว”ครูภพเอ่ยขึ้นเรียบๆ  ทุกคนทราบดีว่าทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว  แต่สิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังสงครามครั้งนี้กลับสร้างความปวดร้าวให้แก่เหล่าชาวเมืองเทมาริสทุกคน  พวกเขาช่วยกันนำศพชาวเมืองทั้งหมดมาฝังลงยังบริเวณหน้าทะเลสาบอาร์เทมิส
    “พวกเราที่เหลืออยู่จะช่วยกันสร้างเมืองเทมาริสและป่าแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตที่สดสวยงามใหม่เช่นที่ผ่านมา  เรา...เหล่าชาวเมืองทุกคนขอสัญญา”ท่านเจ้าเมืองกล่าวปฏิญาณต่อหน้าหลุมศพของผู้ที่จากไป
    และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนส่วนหนึ่งของโลกใบนี้  แน่นอนว่านิทานยังไม่จบเพียงแค่นี้  แต่ส่วนตอนต่อไปของเรื่องนี้คงต้องรอให้ชาวเทมาริสสร้างเมืองของพวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อนแล้วเราค่อยกลับมาดูพวกเขากันใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    21 มี.ค. 2545
    17 นาฬิกา  11นาที
    --------------------------------------------
    สำหรับเรื่องนี้ไฟลี่ขอจบไว้แค่เพียงเท่านี้นะคะ
    ส่วนปริศนาและเรื่องต่างๆที่ยังคาใจอยู่
    ไฟลี่ขอยกยอดไปต่อเอาภาคหน้าค่ะ(ซึ่งยังไม่มีเวลาเริ่ม
    แต่งเลยค่ะ  เปิดเทอมแล้ว ต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัยด้วย)

    ขอขอบคุณทุกๆคนนะคะที่ติดตามนิทานเรื่องนี้มาจนจบ  
    (โดยเฉพาะคุณGTWที่คอยแนะนำติชมตลอด  ทำให้ไฟลี่
    รู้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่คอยตามอ่านงานของไฟลี่อยู่)
    ถ้าหากมีคำแนะนำติชมอะไรก็บอกกล่าวกันได้นะคะ
    ไฟลี่อยากขอให้ช่วยลงชื่อสักนิดนึงเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียนหน่อยค่ะ








    จากคุณ : ไฟลี่ - [วันวิสาขบูชา 08:26:54 A:203.113.39.10 X:]