บุกแดนฝัน-1

    นี่เป็นเรื่องที่ไฟลี่เขียนไว้ตั้งนานแล้วค่ะ  พอดีไปรื้อๆเจอก็เลยอยากเอามาลงให้ลองอ่านกันดูค่ะ
    แนะนำติชมกันได้นะคะ
    -----------------------------------------
    ตอนที่ 1 ร้านขายสัตว์เลี้ยง
    มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า...เมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านกลีบเมฆลงมากระทบละอองน้ำในยามฝนตกใหม่ๆมักจะก่อให้เกิดรุ้งกินน้ำขนาดใหญ่ ทอดตัวผ่านหุบเขาด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ณ.ปลายสุดของสายรุ้งนี่เองคือที่ตั้งของดินแดนแห่งฝัน..

    “กริ๊ง ๆๆ..” เสียงนาฬิกาปลุกดังระรัว
    เด็กชายงัวเงียลืมตาตื่นขึ้น พลางเอื้อมมือไปกดนาฬิกาให้หยุดดังก่อน
    ล้มตัวนอนต่อ
    “พอล! สายแล้วนะ” เสียงเรียกดังผ่านโสตประสาทเข้ามาทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
    “ตายละ! จะแปดโมงแล้ว” เขาถีบตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ววิ่งตรงไปยังห้องน้ำ

    พอลวิ่งกระหืดกระหอบเข้าโรงเรียน ก่อนเสียงกริ่งจะดังขึ้นไม่กี่นาที
    “สายอีกแล้วนะพอล” เบล.เพื่อนสาวในห้องร้องทัก
    “ใครบอก..ยังไม่สายสักหน่อย นั่นไงกริ่งเพิ่งดัง”

    เฮ้อ! เขาคงจะไม่ต้องตื่นสายเป็นประจำอย่างนี้หรอกนะถ้าไม่เพราะความฝันเมื่อคืน ฝัน..ว่าตนเองหลงเข้าไปยังอีกดินแดนหนึ่ง ดินแดนอันแสนสวยงาม ทั้งดอกไม้ ทะเลสาบ ภูเขา ปราสาท ล้วนทำมาจากคริสตันใสทั้งสวยงามและน่าอยู่จนแทบไม่อยากกลับออกมาเลย
    “เหม่ออะไรอยู่นะพอล ครูเรียกนายนะ” เบลสะกิด
    “ อ..อะไรครับ?”
    “ครูถามว่าเรานะทำการบ้านมาไหม เหลือเราคนเดียวนะที่ยังไม่ได้ส่งงานครู”
    “ครับๆ” เด็กชายว่าพลางยื่นสมุดงานให้

    “อะไรกันพอล นี่เธอยังไม่ได้ทำการบ้านเลยรึ หยุดสองวันนี่เธอไปทำอะไรมา”
    “เออ..ขอโทษครับครู”
    “เอากลับไปทำให้เสร็จซะ แล้วคัดมาด้วยว่า ผมจะไม่ลืมทำการบ้านอีก าร้อยจบ”

    “โห! ครู”
    “ไม่ต้องบ่นเลย เธอทำผิดเองนะ” ครูตัดบท
    เด็กชายสงบปากสงบคำนั่งลงเขียนต่อไปอย่างเงียบๆ

    เลิกเรียนแล้วพอลวิ่งออกจากโรงเรียนตรงมายังร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก ร้านแห่งนี้ตั้งขึ้นมานาน ก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียนนี้มาด้วยซ้ำ มันตั้งอยู่บนตึกเก่าๆ ด้านหน้าโรงเรียน ด้านหน้าของตัวตึกถูกจัดแต่งเป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงได้อย่างสวยงามและเหมาะเจาะ

    “ว่าไงพอลจะเข้ามาดูพิชชี่เหรอ” ชายหนุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านทักขึ้น
    “ครับพี่นัท มันยังอยู่ใช่ไหม”
    “นู่นน่ะ” ชายหนุ่มชี้ไปยังกรงด้านข้าง
    “ผมเอามันออกมาได้ไหม”
    “ตามใจสิ ว่าแต่เราไม่อยากได้มันรึไง พี่ลดให้เป็นพิเศษเลยเอาไหม?”
    “อยากได้สิครับแต่ ที่บ้านผมเขาไม่ให้เลี้ยงสัตว์”
    “งั้นเหรอ”
    “ผมขอมาเล่นกับมันจนกว่าพี่จะขายมันไปนะครับ”
    “ได้สิ”

    พอลอุ้มลูกสุนัขตัวเล็กสีขาวออกมาจากกรง เขามานั่งเล่นกับมันแทบทุกวันจนมันจำเด็กหนุ่มได้
    “กริ๊งๆ” เสียงกริ่งประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่
    “ว่าไงแนทได้ของมาไหม” ชายหนุ่มหันมาถาม
    “ไม่ได้ แย่ชะมัด” สาวน้อยผู้เข้ามาใหม่บ่นท่าทางหัวเสีย
    พอลหันไปมองด้วยท่าทางแปลกใจ เธอคงมีอายุไล่เลี่ยกับนัทหรืออ่อนกว่าปีสองปี...เด็กชายคะเน

    “ใคร?” สาวน้อยคนนั้นหันมาทางพอล
    “เด็กนักเรียนนะ เขาชอบมาเล่นกับเจ้าพิชชี่”
    “ตามสบายนะ พวกพี่ขอเข้าไปข้างในหน่อย” เธอบอกก่อนผลุบหายเข้าไปหลังร้าน
    “เฝ้าหน้าร้านให้พี่หน่อยนะพอล” นัทบอก
    “ฮะ” เด็กหนุ่มรับคำ

    พอลนั่งเล่นอยู่กับเจ้าพิชชี่ได้สักพักหนึ่ง เขาจึงฉุกคิดได้ว่าควรรีบกลับบ้าน เพราะป่านนี้แม่คงบ่นแย่แล้ว เด็กชายตัดสินใจจับลูกสุนัขเข้ากรง ชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนเปิดประตูเดินเข้าไปหลังร้าน
    ด้านหลังร้านเป็นเพียงห้องแคบๆห้องหนึ่งมีบันไดขึ้นชั้นสองตั้งอยู่ริมด้านขวา ด้านซ้ายเป็นลังไม้วางซ้อนกันสูงเกือบจรดเพดาน

    “พี่นัทครับ ผมจะกลับแล้วนะครับ” เขาตะโกนเรียกที่เชิงบันไดแต่ไม่มีเสียงตอบ
    “พอล” เด็กชายสะดุ้งสุดตัวที่จู่ๆ นัทก็ปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังทั้งๆที่ห้องนี้มีเพียงประตูที่เชื่อมกับตัวร้านเพียงบานเดียว
    “เราเข้ามาทำไมกัน?” นัทถามด้วยท่าทางแปลกๆ

    “ผมจะมาบอกพี่ว่าผมจะกลับแล้ว”
    “อ้อ! ไปเถอะเดี๋ยวพี่ก็จะปิดร้านเหมือนกัน”

    พอลกลับมาถึงบ้านทันอาหารมื้อเย็นของครอบครัวพอดี  เด็กชายโดนแม่ดุเล็กน้อยโทษฐานกลับเย็น
    หลังอาหารเย็นครอบครัวของพอลพากันนั่งดูข่าวในทีวีแต่ดูเหมือนว่าพอลจะก้มหน้าก้มตาอ่านการ์ตูนเสียมากกว่า
    “ทางตำรวจยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ แต่คาดว่าคนร้ายน่าจะมีสองคนและยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองแห่งนี้ ข่าวต่อไป .. มีการค้นพบโลกประหลาดที่เกิดขึ้นในเด็ก..” พ่อของพอลปิดทีวีลงเสียก่อน
    “เมื่อกี้ข่าวอะไรครับ?”พอลซึ่งมัวแต่อ่านการ์ตูนอยู่เงยหน้าขึ้นถามพ่อ
    “อ๋อ...โจรขึ้นบ้านน่ะ..เห็นว่ากวาดพวกแจกันลายครามไปซะเรียบเลย  มีคนร้ายสองคนเป็นผู้ชายคนผู้หญิงคน รู้สึกจะอยู่แถวๆนี้ด้วย ยังไงๆเราก็ระวังตัวกันไว้บ้างก็ดีนะ” พ่อเตือน  
    นาฬิกาแขวนในห้องนั่งเล่นบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบนาที  แม่จึงหันมาเอ่ยปากกับพอล
    “นี่พ่อหนุ่มน้อย  ถ้าไม่อยากสายเหมือนคราวที่แล้วก็รีบๆเข้านอนได้แล้ว”
    “ก็ได้ครับแม่”พอลรับคำก่อนวิ่งจู๊ดขึ้นไปบนห้องตัวเอง
    ภายในห้องนอนพอลยังคนติดใจสงสัยข่าวที่พ่อเล่าให้ฟังเรื่องโจรปล้นบ้าน   เด็กชายเดินวนไปวนมารอบห้องเหมือนหนูติดจั่นก่อนล้มตัวลงนอนด้วยความคิดที่สับสน โจรปล้นบ้าน  2 คน .. พี่นัทกับพีแนท  แจกันลายคราม.. ลังไม้ทางห้องด้านใน .. โจร .. ท่าทางแปลกๆของพวกเขา  ปล้นบ้านแถวนี้.. ร้านขายสัตว์เลี้ยง ที่เดินไปสองช่วงตึกก็ถึง
    บ้าน่า! ไม่เห็นมันจะเกียวกันตรงไหนเลย เด็กชายตะโกนตอบตัวเองในใจก่อนล้มตัวลงนอน
    “พอล!” เสียงกังวานใสของใครคนหนึ่งดังผ่านมา
    “ใครนะ”
    “ตามฉันมาสิพอล ตามมา” เสียงนั้นตอบกลับมา

    เด็กชายเดินตามเสียงเรียกผ่านกลุ่มควันหนาทึบออกไป ควันเริ่มจางลงเหลือเพียงม่านหมอกจางๆ แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ส่งผ่านกลีบเมฆลงมาตัดกับเหลี่ยมของแก้วคริสตันเป็นประกายแพรวพราวราวหยาดเพชร

    นี่เขากลับมาที่นี่อีกแล้วเหรอ .. พอลร้องถามตัวเองในใจ แต่เขาไม่ได้สนใจกับคำตอบที่จะได้รับเท่าไร เด็กชายวิ่งตรงเข้าไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างไม่รอช้า

    ก่อนที่จะไปถึงตัวปราสาทเพียงไม่กี่ก้าวนั้น  จู่ๆเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น .. แผ่นดินที่เขายืนอยู่เริ่มสั่นสะเทือน แรงขึ้น .. แรงขึ้น จนทำให้พอลต้องหมอบลงกับพื้นด้วยความกลัว
    “เพล้ง !!” ตัวปราสาทเบื้องหน้าถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วนก่อนจะพังถล่มลงมา

    เบื้องหน้าของเด็กชายในขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับภาพวาดสีขาวบริสุทธิ์กลับถูกละเลงด้วยสีดำจนเละเทะไม่มีชิ้นดี รอยขีดข่วน กระดำกระด่าง ถูกแต่งแต้มขึ้นจนเต็มผืนผ้า
    ซากต้นไม้ยักษ์ผุดขึ้นมาแทนที่ตัวปราสาทที่ล่มสลายลง ดอกไม้คริสตันทั้งหลายซึ่งเคยเบ่งบาน บัดนี้มันกลับถูกเถาวัลย์ยักษ์เลื้อยพันรัดแน่นจนหลายดอกต้องแตกกระจายลง เหนือขึ้นไปเบื้องบน... กลุ่มเมฆดำจำนวนมากปรากฎตัวขึ้นบดบังท้องฟ้าและแสงอาทิตย์ไว้อย่างมิดชิด ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างฉับพลัน

    “นี่มันอะไรกัน” พอลร้องตะโกนออกไปด้วยความกลัว

    “ฮ่า ๆๆ” เสียงหัวเราะดังตอบกลับมาแทน
    “ใครนะ...ใคร!”

    “ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะยังคงดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท
    “พอลๆ เป็นอะไรรึเปล่าลูก” แม่ของเด็กชายถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
    “เปล่าครับ ผมแค่ฝันร้าย”พอลทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอน  เหงื่อกระจากเต็มใบหน้า
    “เฮ้อ! เอาอีกแล้วฝันได้ทุกคืนซิน่า”แม่ส่ายหน้าแล้วรีบตัดบทก่อนที่พอลจะเอ่ยปาก
    “แม่ว่าลูกลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เจ็ดโมงกว่าแล้ว วันนี้จะได้ไปเช้าๆบ้าง”

    ตกเย็นเมื่อเดินกลับบ้าน  พอลหยุดยืนมองดูร้านขายสัตว์เลี้ยงด้วยท่าทางสับสน  เขาควรจะเข้าไปในนั้นอีกดีไหม ถึงจะปฎิเสธว่าข่าวโจรขึ้นบ้านที่ได้ยินมานั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับร้านนี้ แต่เด็กชายก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ได้ ถ้าใช่จริง...การที่เขามาอยู่กับโจรสองคนในที่ลับหูลับตาเช่นนี้มันก็อันตรายไม่ใช่น้อยเลย

    เด็กชายหมุนตัวกลับหลังหันมุ่งเดินกลับบ้านโดยไม่แวะร้านอย่างเช่นเคย  ตลอดทางเขาเฝ้าแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดนี้ เมื่อกลับถึงบ้านพอลจึงได้แต่นั่งจ้องทีวีรอฟังข่าวความคืบหน้า
    “มีรายงานแจ้งเข้ามาว่าพบเด็กที่มีอาการผิดปกติเพิ่มขึ้นอีกสามราย ในขณะนี้เด็กที่ป่วยเป็นโรคประหลาดเพิ่มขึ้นเป็น...” (พอลกดเปลี่ยนช่อง)

    “ข่าวความคืบหน้าเรื่องคดีโจรขึ้นบ้านเมื่อสองวันก่อน ทางตำรวจได้เร่งสืบหาตัวคนร้ายโดยด่วน แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมนัก”
    “โอ๊ย!” เด็กชายตะโกนอย่างหัวเสีย
    “อะไรกันพอลเสียงดังลั่นบ้านเชียว”แม่ตะโกนถามมาจากในครัว
    “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เขาตอบกลับไป พยายามข่มอารมณ์ไว้มิดชิด
    เด็กชายวิ่งขึ้นไปนั่งจุ่มปุ๊กอยู่คนเดียวในห้อง นี่เขาควรจะทำอย่างไรดี แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ แล้วเลิกไปที่ร้านนั้นอีก หรือควรแจ้งตำรวจดี แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ .. ถ้าสองคนนั้นเป็นแค่เพียงเจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงธรรมดา ๆ เท่านั้น มันเท่ากับเป็นการป้ายสีเขาชัดๆ เลย
    “เอางี้ดีกว่า!” พอลตะโกนบอกกับตัวเอง เขาจะกลับไปที่ร้านนั่นอีกครั้ง
    เพื่อลองสืบดู  มีอะไรอยู่ในลังพวกนั้นกันแน่ .. เด็กชายต้องการจะรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร?

    จากคุณ : ไฟลี่ - [26 ก.ค. 45 16:07:26 A:203.113.38.9 X:]