บุกแดนฝัน-3

    ตอนที่ 3 ชายผู้ได้รับบาดเจ็บ
    “เบล!! ลูกเป็นอะไรไป” นางร้องอย่างตกใจ
    ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าเด็กสาวจะยอมคลายสะอื้นลงได้
    พอลสังเกตเห็นหน้าตาของเพื่อนสาวดูซูบซีดลงกว่าเดิมมาก ดวงตาสีดำดั่งนิลที่เคยทอประกายสดใสร่าเริง บัดนี้กลับแห้งผาด ไร้ชีวิตชีวา
    และที่แปลกไปกว่านั้นคือ เด็กชายสังเกตเห็นเงามืดดำบางอย่างพาดผ่านอยู่บนดวงหน้าของเพื่อนสาว  
    เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรแต่เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังลึกลับบางอย่างที่แฝงตัวอยู่ในเงานั้น

    มันทำให้พอลรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที!
    “ไหนลองเล่าให้แม่ฟังหน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น” แม่ของเบลพยายามปลอบโยนเด็กสาว
    “หนู...หนูไม่รู้ มันเข้ามาหาหนู ม..มันน่ากลัวมาก แม่คะหนูกลัว” เบลโผเข้ากอดแม่ของเธอแน่น
    แม้จะพยายาม แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนในห้องก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปของต้นเหตุที่ทำให้เบลเป็นเช่นนี้ได้

    เด็กชายทั้งสองลากลับบ้านเมื่อใกล้ค่ำ พอลตัดสินใจไม่เข้าไปหาเนรินอลเพราะเห็นว่ามันออกจะมืดเกินไปแล้ว เขาจึงตรงดิ่งกลับบ้านทันทีแต่นั่นก็ไม่พ้นที่จะถูกแม่บ่นเข้าจนได้
    “ทำไมกลับบ้านช้านักล่ะ ข้าวปลาเย็นชืดหมดแล้ว” นางร้องทักเมื่อเห็นหน้าลูกชายโผล่พ้นประตูบ้านมา
    “ผมไปเยี่ยมเบลมาครับ เธอไม่สบายมาก”
    “เบลนะรึไม่สบาย คงไม่ใช่โรคอีวิวแดสนะ”
    “โรคอะไรครับ?”
    “อีวิวแดส โรคระบาดที่เกิดขึ้นกับเด็กในช่วงนี้ไง อะไรไม่รู้จักดูข่าวซะบ้างเลย” พอลถูกเอ็ดอีกเรื่อง

    หลังจากทานข้าวเสร็จ พอลจึงค้นหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าๆขึ้นมาอ่าน เลยได้ข้อมูลของโรคประหลาดนี้มาบางส่วน อย่างหนังสือพิมพ์เมื่อสองวันก่อนนี้

    “จากการค้นพบโรคประหลาดที่เกิดขึ้นกับเด็ก โดยโรคใหม่นี้มีชื่อว่า
    อีวิวแดส ซึ่งมักจะเกิดในเด็กที่มีอายุระหว่าง 10-13 ปีจากรายงานของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของการเกิดโรคนี้ได้แน่ชัด
    แต่มีการสันนิฐานกันว่าน่าจะเกิดจากความเครียดและความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ ที่ถูกสะสมมาเป็นระยะเวลานาน แต่ข้อสันนิฐานนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับนักเพราะบางกลุ่มเชื่อว่าเด็กในวัยนี้ไม่น่ามีความเครียดถึงขนาดที่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้
    อาการของผู้ป่วยโรคอีวิวแดสนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับคนจิตหลอน คือเด็กส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้มักจะบอกว่าตนเห็นปีศาจร้ายเข้ามาทำร้ายและพยายามฆ่าตน จากจุดนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กเหล่านี้เกิดความหวาดกลัว ขี้ระแวง และไม่สามารถพักผ่อนได้ตามที่ร่างกายต้องการ ซึ่งจะส่งผลร้ายในระยะต่อมา
    แม้โรคนี้ดูผิวเผินแล้วอาจไม่ร้ายแรงนัก แต่ถ้าปล่อยให้มันคุกคามชีวิตน้อยๆอยู่ต่อไปเช่นนี้  คงอีกไม่นานที่เด็กหลายคนอาจต้องจบชีวิตลงด้วยโรคชนิดนี้”

    พอลวางหนังสือพิมพ์ลงด้วยท่าทางครุ่นคิด เบลเป็นโรคนี้ใช่ไหม ถ้าใช่เขาควรจะช่วยเธออย่างไร ในเมื่อโรคนี้ดูแล้วยังไม่มีใครสามารถรักษาได้
    คืนนั้นทั้งคืนเด็กชายจมดิ่งอยู่กับความคิดนี้จนเผลอหลับไป มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนใกล้รุ่งสาง เด็กชายลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความง่วงงุน

    เช้าวันนี้ดูจะสว่างช้ากว่าทุกวัน พอลเปิดหน้าต่างออกไปมองท้องฟ้าบรรยากาศด้านนอกยังคงดูเงียบสงัดไฟตามท้องถนนยังคงเปิดสว่างอยู่ บ้านของพอลตั้งอยู่ไม่ห่างจากถนนนัก  แต่ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมามากนักยิ่งเวลาเช่นนี้ด้วยแล้ว นานๆทีจึงจะมีรถวิ่งผ่านมาสักคัน

    เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า .. ราตรี ยังคงโอบล้อมอยู่ทั่วจึงไม่ยากนักที่จะสังเกตเห็นดวงดาวต่างๆกระจัดกระจายอยู่เต็มผืนฟ้าสีดำ
    ในขณะที่พอลกำลังจ้องมองหมู่ดาวอยู่นั้น จู่ๆก็มีลำแสงสีเงินวิ่งพาดผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว มันพุ่งตรงไปยังบ้านเรือนด้านตะวันตก

    “ฟลิ้ว!” น่าแปลกที่หูของเขากลับได้ยินเสียงดาวตกนั้น
    พอลยืนอึ้งอยู่ริมขอบหน้าต่างเป็นเวลานาน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง เด็กชายจึงรู้สึกตัวและรีบจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปทานข้าว
    หูคงฝาดอีกซะละมั้ง พอลตอบตัวเองในใจ
    ยังคงเป็นเวลาเช้าเกินไปที่จะเข้าโรงเรียน เด็กชายจึงตัดสินใจเข้าไปยังร้านขายสัตว์เลี้ยงก่อน

    “ว่าไงพอลวันนี้ตื่นเช้าจริง” เนริออลเจ้าของร้านชาวแดนฝันร้องทัก
    “ท่าทางเราดูไม่ค่อยสบายเลยนะ” นาราฟาผู้เป็นน้องกล่าว
    “ไม่รู้สิครับ ช่วงนี้ผมว่าผมรู้สึกแปลกๆไป แล้วอีกอย่างเพื่อนผมก็ไม่สบายด้วยครับ เป็นโรคอีวิวแดส พี่ได้ยินข่าวไหมครับ”
    “เพื่อนพอลก็เป็นเหรอ” เนริออลขมวดคิ้วพลางหันไปมองน้องสาว
    “มีใครเป็นกันอีกไหม เพื่อนพอลนะ”

    “ไม่ทราบสิครับ ตอนนี้ที่ห้องมีคนลาหยุดกันไปกว่าครึ่งแล้วแต่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกัน”
    “พี่รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล” เนริออลเปรย
    “ทำไมเหรอครับ?” พอลสงสัย
    “คือตอนนี้พวกพี่กำลังตามสืบเรื่องโรคนี้อยู่ พี่คิดว่ามันไม่ได้เกิดจากความเครียดหรือจิตหลอนอย่างที่เขาสันนิฐานแน่”ท่าทางนัทครุ่นคิดหนัก
    “แล้วมันเกิดจากอะไรครับ”พอลเซ้าซี้ถาม
    “ไม่รู้สิพี่ยังไม่แน่ใจ แต่อะไรก็ตามที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้ พี่คิดว่ามันไม่ใช่สิ่งคนโลกนี้รู้จัก”
    “ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”พอลพูดสีหน้างงๆ
    “ไว้จะเล่าให้ฟังแล้วกัน แต่พี่สองคนขอไปเยี่ยมเพื่อนของพอลหน่อยได้ไหม”นัทอยากดูให้แน่ใจ

    เย็นนั้นแม่ของเบลจึงประหลาดใจเมื่อเห็นพอลพาคนแปลกหน้าสองคนมาเยี่ยมลูกสาวตน
    เด็กชายอ้างว่าเขาทั้งสองเป็นเพื่อนของเบลและรู้สึกเป็นห่วงจึงอยากมาเยี่ยม นางมองดูบุคคลแปลกหน้าทั้งสองอย่างซึ้งใจ ชายหนุ่มคนนี้คงมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ  
    ผิวขาวใบหน้าหมดจดแต่งกายเรียบร้อย จะแปลกไปบ้างก็ตรงดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูโตกว่าคนทั่วไป ส่วนฝ่ายหญิงก็แทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันอย่างไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าสองคนนี้คือพี่น้องกัน

    “เบลนอนอยู่ข้างบนจ้ะ ขึ้นไปสิ” นางกล่าวเชื้อเชิญ
    พอลเปิดประตูห้องของเด็กสาวเข้าไป วันนี้เบลไม่ได้อยู่คนเดียวเด็กชายยกมือไหว้น้าสาวของเธอ
    “เบลเป็นไงบ้างครับ” พอลถามพลางมองหน้าเพื่อนสาวด้วยอาการ
    เป็นห่วง เด็กสาวดูอ่อนแอลงกว่าเมื่อวานมาก

    “แย่จ้ะ 2 วันมานี้ยังไม่ยอมนอนเลย ข้าวก็แทบไม่ได้ทาน”
     “คุณน้าพาเบลไปหาหมอรึเปล่าครับ”พอลเอ่ยขึ้นด้วยความสงสารเพื่อน
    “เมื่อเช้าไปมาแล้ว หมอบอกว่าเป็นอีวิวแคส”
    “แล้วหมอสั่งยามารึเปล่าครับ” เนริออลถามอย่างสุภาพ
    “มี...แต่เธอไม่ยอมทาน ไหนๆพอลก็ขึ้นมาแล้วช่วยอยู่เป็นเพื่อนเบลแป๊บนึงนะ น้าขอลงไปเอาข้าวต้มก่อน”

    หลังจากที่น้าของเบลเดินออกจากห้องไปสองพี่น้องจึงเดินเข้ามาใกล้เด็กสาว
    “อย่า..” เบลร้องขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว ทั้งๆที่เมื่อครู่เธอยังนั่งเหม่อลอยราวกับไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ
    “ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ทำร้ายเธอหรอก” นาราฟาปลอบ พร้อมกันนั้นประกายสีทองที่ฝ่ามือของหญิงสาวก็ลอยขึ้นล้อมรอบตัวเบล

    เด็กสาวมีท่าทีสงบลงทันที เธอยอมให้สองพี่น้องเข้ามาใกล้โดยไม่ตื่นผวาอีก
    “พวกพี่ทำอะไรนะครับ”พอลถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
    “พี่จะตรวจอาการเพื่อนเธอก่อนแล้วจะหาทางรักษาให้” เนริออลบอก

    การตรวจของชาวแดนฝันดูจะเป็นวิธีการที่ประหลาดอยู่สักหน่อย เนริออลดึงเชือกสีเงินออกมาจากกล่องเล็กๆที่พกติดตัวมา มันยาวประมาณสองฟุตคล้ายเชือกผูกของไปรษณีย์ทั่วไป
    ที่น่าแปลกก็คือมันดูราวกับมีชีวิต เส้นไหมสีเงินค่อยๆเลื้อยจากฝ่ามือของชายหนุ่มตรงไปยังแขนของเด็กสาว มันค่อยๆเลื่อยขึ้นไปตามลำแขนจนกระทั่งพันตัวเองเข้ากับแขนจนหมด

    พอลมองการกระทำทั้งหมดด้วยความประหลาดใจ เนริออลจะตรวจอย่างไรกัน และสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือเชือกนั่นมันเคลื่อนไหวได้ยังไงกัน
    ไม่นานนักเด็กชายก็ได้คำตอบ เชือกสีเงินที่รัดแขนของเบลอยู่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง สีเงินของมันค่อยๆคล้ำลงจนกลายเป็นสีดำสนิท ก่อนที่มันจะคลายตัวตกลงข้างตัวของเด็กสาว

    “ท่าจะไม่ดีแล้ว” เนริออลพึมพำด้วยสีหน้าที่เป็นวิตก
    “เบลเป็นอะไรเหรอครับ?” พอลถามด้วยท่าทางอยากรู้
    แต่ก่อนที่ใครจะทันตอบคำถาม ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
    น้าสาวของเบลถือถาดข้าวต้มขึ้นมาพร้อมกับยาของเด็กสาว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เนริออลหันมาคว้าเชือกสีดำเส้นนั้นได้ เขาจัดแจงเก็บมันลงที่เดิมทันที

    “เดี๋ยวน้าขอป้อนข้าวป้อนยาให้เบลก่อนนะจ๊ะ” หญิงสาวพูด
    “เชิญเลยครับ” เนริออลตอบพลางกระเถิบตัวถอยห่างออกมา
    แต่ดูเหมือนว่าการป้อนอาหารเด็กสาวจะกลายเป็นเรื่องยากไปซะแล้ว เด็กสาวพยายามที่จะหลีกเลี่ยงปลายช้อนที่หอมกรุ่นไปด้วยข้าวต้มร้อนๆที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ
    “เบล ทานหน่อยเถอะลูกไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้วนะ” หญิงสาวพยายามอ้อนวอนแต่ราวกับว่าเด็กสาวจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
    “ให้หนูลองดูนะคะ”นาราฟาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นความท้อใจปรากฎขึ้นในดวงตาของผู้เป็นน้า

    “ขอบใจจ้ะ” เธอตอบพลางส่งชามข้าวต้มให้
    นาราฟาจ้องมองชามใบนั้นอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะหันไปมองเด็กสาว เพียงเสี้ยวหนึ่งของวินาทีซึ่งคนธรรมดาคงไม่สามารถมองเห็นได้ ดวงตาของหญิงสาวเกิดประกายแวววาวสีทองขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะจางหายเข้าไปสู่นัยน์ตาของเด็กสาว

    เนื่องจากอาศัยความรวดเร็วเช่นนี้ หญิงสาวจึงไม่ได้คิดว่าจะมีผู้ใดสามารถมองเห็นได้
    แต่ในบางครั้งหลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่สามารถปกปิดได้ในสายตาของคนบางคน พอลมองเห็นเหตุการณ์ประหลาดนี้ตลอดด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะปิดปากเงียบ มองดูหญิงสาวป้อนข้าวให้เพื่อนของเขาต่อ

    นาราฟาป้อนน้ำให้เด็กสาวดื่มเป็นลำดับสุดท้ายโดยไม่ได้แตะต้องยาในถ้วยที่วางอยู่ในถาดนั้นเลย
    “ช่วยป้อนยาให้เบลหน่อยเถอะ” น้าสาวกล่าวแกมขอร้อง
    “ท่าทางเธอคงไม่ชอบกินยานะคะ” หญิงสาวบอกพลางเอื้อมมือไปหยิบยามาให้เด็กสาว
    และก็เป็นจริงดังที่เธอกล่าว เบลปัดถ้วยยานั้นกระเด็นก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
    “ไม่ทานยาอีกแล้ว” น้าสาวบ่นพึมพำพลางเก็บถ้วยชามใส่ถาด

    “พี่แนททำอะไรกับเบลครับ ตอนป้อนข้าวให้เธอ” พอลถามขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากบ้านของเบล
    คำถามนี้ทำให้สองพี่น้องชาวแดนฝันสะดุ้งสุดตัว หญิงสาวชาวแดนฝันหันมามองหน้าพอลด้วยสายตาแปลกๆ

    จากคุณ : ไฟลี่ - [28 ก.ค. 45 10:07:59 A:203.113.39.9 X:]