กว่ายัยเป้จะอบรมเสร็จสิ้น ปาเข้าไปห้าโมงเย็นโน่น.
ฉันจึงมีเวลาทำอะไรได้สบายๆ หลังจากนอนแช่น้ำในอ่างอย่างสบายใจ ตอนแรกมีเสียฟอร์มเล็กน้อย เพราะดันไปเปิดก๊อกน้ำผิด เปิดก๊อกน้ำร้อนไหลจ๊อก..ทำให้ร้องจ๊ากลั่นห้อง โดดผลุงออกนอกอ่างไม่ทัน
นี่แหละที่เขาว่าคนเรามักโง่ก่อนจะฉลาดเสมอ
ฉันนอนเล่นเฉยๆ รู้สึกเบื่อ จึงออกไปขับรถเล่นประสาคนเป็นไฮเปอร์เอ๋อเล็กๆ แต่ไม่กล้าไปไกล จึงโฉบแค่หน้ามอ.
หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีร้านค้าเยอะแยะร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า กิ๊ฟช๊อฟ ร้านเทป ร้านหนังสือ เซเว่นอีเลเว่น(ร้านนี้ชอบไปผุดที่ชุมชนหนาแน่น) และมีร้านอินเตอร์เน็ตด้วย นี่แหละเป้าหมาย
ฉันเห็นร้านซักรีดด้วย จึงลองเข้าไปถามราคาเสื้อผ้าแต่ล่ะชิ้น ปรากฏว่าราคาน่าพอใจกว่าใช้บริการโรงแรมมาก คิดกันแค่ชิ้นล่ะห้าบาทเอง ถ้าเป็นกางเกงก็สิบบาท ฉันจึงตั้งใจว่าจะเอาผ้ามาซักทุกวัน มางวดนี้ตั้งใจจะไม่หอบไม่หิ้ว จึงติดเสื้อผ้ามาแค่สามชุดเท่านั้น
ฉันใช้เวลาแถวกับร้านรวงแถวนั้นสั้นมาก ร้านขายของมันก็เหมือนกันทั้งโลกนั่นแหละ เลยเดินข้ามฟากมาร้านอินเตอร์เน็ต อัพเดทข่าวสารเสียหน่อย
แหม...รู้สึกตัวเองเป็น เวิรคกิ้ง เกิร์ล ยังไงไม่รู้
แต่ความจริงแล้ว ฉันอยากจะรู้ว่า จะมีใครคิดถึงฉันบ้างไหม? จะมีใครฝากคำอวยพรให้มาทางจดหมายอิเล็กทอนิคส์นี้บ้าง อยากไปตรวจดู?
ใช่แล้ว วันนี้วันเกิดฉันไง ครบรอบเท่าไหร่ ช่างมันเถอะ..แต่ไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่รอบ ทุกครั้งจะมีเรื่องให้ตื่นเต้น ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมันน่าอภิรมย์
เมื่อวานซืนใช้เวลาล่วงหน้ากับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง คือ หนูมานี กับยัยเป้ ที่สวนจตุจักร มีความสุขและสนุกร่วมกันล่วงหน้าไปแล้ว..
หนูมานีให้ของขวัญมากล่องหนึ่ง ห่อสวยถูกใจมากจนคิดว่าไม่อยากจะแกะมันออก หนูมานีรู้ใจใช้กระดาษสีม่วงอมชมพู โบว์สีม่วงอ่อนสลับขาว ประดับด้วยดอกไม้ผ้าเล็กสีม่วงอีก อีกอย่างหนึ่งที่เธอให้มาแทนขนมเค็ก นั่นคือ คุ๊กกี้เอสแอนด์พี ในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีขาวแต่ฝาสีม่วงแซมลายแดง น่ารักมากๆ ไม่อยากจะบอกว่ากินหมดไปแต่เมื่อวาน เอ่อ จริงๆอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกเหมือนกัน แต่คิดแล้วคงไม่คุ้มนา ประเดี๋ยวจะเสร็จมดเสียก่อน
ร้านอินเตอร์เน็ตที่นี่คิดราคาชั่วโมงล่ะ สิบห้าบาทเท่านั้นเอง ยังถูกกว่าเมืองกาญจน์เสียอีก และที่ฉันว่าเข้าท่า คือการคิดเงินตามเวลาที่ใช้ไป อย่างวันนี้ฉันเล่นไปประมาณสิบกว่านาที จ่ายแค่สี่บาทเอง ฉันล่ะชอบใจเสียจริง ไม่เหมือนร้านเน็ตแถวบ้าน ปัดเศษเป็นครึ่งชั่วโมงเป็นชั่วโมงตลอด
ไปทำอะไรๆมาตั้งเยอะ ฉันยังต้องกลับมารอยัยเป้ที่โรงแรมอีกพักหนึ่ง กว่าเจ้าหล่อนจะเดินยิ้มเผล่เข้ามาในห้อง ดูท่าทางระโหยโรยแรงบอกไม่ถูก สงสัยหล่อนจะเหนื่อย
"สนุกไหมเจ๊ ไปเที่ยววันนี้"
"สนุกดี ไปมาทั่วเชียวล่ะ แล้วกลับมารับเป้นี่แหล่ะ"
"งั้นรอเป้อาบน้ำแป๊ปหนึ่งน่ะเจ๊ "
เราวางแผนกันไว้แล้วว่า จะไปกินข้าวที่ร้าน "เฮือนสุนทรี" กัน
พูดกันตามจริงแล้ว มันเป็นแผนของฉันเสียล่ะมากกว่า เพราะว่าฉันตั้งใจมานานแล้วว่าหากมาเชียงใหม่จะแวะไปฟังคุณสุนทรี เวชชานนท์ ร้องเพลงโฟล์คซองคำเมืองให้ได้
คุณสุนทรี กับคุณจรัล มโนเพ็ชรนี่ เป็นตำนานโฟล์คของล้านนาเชียวน่ะ น่าเสียดายที่คุณจรัลนั้นเบื่อโลกนี้ อพยพไปอยู่โลกใหม่เสียแล้ว เขาเลยกลายเป็นตำนานไปจริงๆ แปลกที่ฉันเฉยๆกับคุณจรัลน่ะ แต่กลับชอบคุณสุนทรีมากกว่า ฉันว่าเสียงเธอมีเอกลักษณ์ดีน่ะ แปลกไม่เหมือนใคร เสียงสูงๆแบบขึ้นจมูก ขนาดนั้นยังรู้สึกว่าใจหายเมื่อทราบข่าวการจากไปของเขา แล้วคุณสุนทรีผู้คลุกคลีตีโมงกับคุณจรัลมาแต่แรกจะรู้สึกอย่างไร
ฉันบังเอิญได้อ่านบางประโยคจากหนังสือที่เธอพูดถึงคุณจรัลอย่างอาลัยว่า
"เหมือนพี่ตายไปด้วย.."
และวันนี้เธอยังคงต้องสืบสานโฟล์คซองคำเมืองต่อไป
เมื่อยัยเป้เสร็จธุระส่วนตัว เราจึงลงมาล๊อบบี้ด้านล่าง ยัยเป้บอกว่า จะมีเพื่อนเธออีกสองคนร่วมขบวนไปด้วย ชื่อ เจ้าติ๊ก กับ เจ้าหุ่ง
"เคยทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกันเจ๊ พอดีมาเจอกันตอนอบรมนี้แหละ"
รอไม่นานเท่าไหร่ทั้งสองก็ตามมาสมทบ เราจึงยกโขยงไปเรียกรถแดงที่หน้าโรงแรม
เฮือนสุนทรี ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำปิง ที่ฉันยังสำรวจไปไม่ถึงจึงตั้งใจมองถนนหนทางอย่างตั้งใจขณะที่รถแดงแล่นปร๊าดๆไปตามถนนหนทางอย่างคุ้นทาง สองข้างทางเริ่มกลายเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งความมืดมิดเริ่มครอบครองแผ่นฟ้าทั้งแผ่น ไฟแสงจันทร์ตามถนนเริ่มสว่าง ป้ายไฟวิ่งหลากสีของร้านอาหารสถานบันเทิงประดับประดาตัดความขรึมเข้มของฟ้าราตรี
ไม่นานนักพวกเราก็มาถึง ควักกระเป๋าจ่ายค่ารถคนล่ะยี่สิบบาทขาดตัว
จากคุณ :
หนูธันย์
- [30 ก.ค. 45 00:20:56 ]