บทที่ ๓
คุณโฮลมส์
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงครึ่ง ตลอดช่วงเวลานั้นข้าพเจ้านอนพักเพื่อขจัดอาการปวดหัวจากการที่ยิงปืนต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วและจากเสียงคำรามของพายุ พร้อมทั้งใช้น้ำมันนวดหัวไหล่เพราะความเจ็บปวดจากแรงถีบของปืน คุณสครูปจึงปรากฏตัวขึ้นเขาตามหาตัวข้าพเจ้าอย่างยากลำบากเพราะทางเดินอันยาวเหยียดในปราสาทโบราณใหญ่โต ข้าพเจ้าจึงให้เขาช่วยนวดให้หลังจากนั้นเราทั้งคู่พากันไปยังห้องรับแขกขนาดใหญ่
เป็นห้องงดงามมากใช้ในโอกาสพิเศษสำคัญ แสงสว่างที่ข้าพเจ้าคิดว่าเกิดจากเทียนไขอย่างน้อยสองร้อยหรือว่าสามร้อยเล่มสาดแสงกระจ่างนุ่มนวลไปทั่วฝาและรูปภาพบนผนังห้อง อันเป็นเครื่องประดับเก่าแก่ประมาณค่าไม่ได้รวมทั้งเหล่าสุภาพสตรีที่ประดับกายด้วยเครื่องเพชรพลอยที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่น ในความรู้สึกของข้าพเจ้าไม่เคยมีหรือจะมีแสงที่ทำขึ้นชนิดใดเทียบเท่าแสงจากเทียนไขได้ในปริมาณที่เท่ากัน มีคนรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าคิดว่าสักสามสิบคนที่จะนั่งรับประทานอาหารด้วยกันในคืนนั้น เพื่อเป็นโอกาสแนะนำตัวว่าที่ภรรยาของลอร์ดแรกนอลกับบรรดาเพื่อนบ้าน ฉะนั้นเธอจึงเป็นจุดสำคัญของงานเลี้ยง
คุณแมนเนอร์ดูท่าทางมีความสุขมากมีเสน่ห์ด้วยชุดเครื่องเพชรและเสื้อผ้างดงามของเธอ ได้มาร่วมกับเราอีกครั้งหนึ่ง และบอกกับคุณสครูปว่า "เธอ" เพิ่งมาถึง แม่บ้านที่ห้องฝากเสื้อคลุมบอกเธอมาว่าอย่างนั้น
"เธอมาแล้วหรือ ?" คุณสครูปตอบอย่างไม่สนใจ "มีคุณมาอยู่ที่นี่แล้วผมไม่สนใจใครอีก"
จากนั้นเขาบอกว่าเธอสวยงามมาก แล้วมองไปที่เธอด้วยความเสน่หาซึ่งทำให้ข้าพเจ้านึกย้อนกลับไปช่วงหนึ่งหรือสองช่วงไตร่ตรองถึงรูปภาพของจูดิธผู้เหี้ยมหาญรับหน้าที่ไปตัดหัวของโฮโลเฟอร์เนส
ในไม่ช้าประตูบานใหญ่ตรงปลายห้องก็เปิดออก และคุณเซาเวจผู้ใสซื่อซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพิธีการ ประกาศด้วยน้ำเสียงของผู้ดีแต่แหลมเปี๊ยบ "เลดี้ลองเด็น และ คุณหญิงโฮลมส์มาถึงแล้ว" ข้าพเจ้ามองไปเหมือนกับทุก ๆ คน แต่เป็นชั่วครู่ที่การวางท่าเป็นผู้สูงศักดิ์ของเลดี้ลองเด็นบดบังนัยน์ตาของข้าพเจ้า เธอมีรูปร่างสมบูรณ์ ในใจข้าพเจ้าเธอเป็นคนค่อนข้างน่าเกรงขาม แต่งกายด้วยผ้าซาตินสีดำ-เธอเป็นแม่หม้าย-พร้อมกับเครื่องเพชรชุดใหญ่มาก เส้นผมของเธอเป็นสีขาว จมูกของเธององุ้ม ดวงตาสีดำของเธอมองกราดไปทั่วด้วยท่าทางปั่นปึ่งเย็นชา นั่นเป็นทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีเวลาสังเกตเธอเพราะในทันใดนั้นบุตรสาวของเธอก็เข้ามาอยู่ในครองจักษุของข้าพเจ้า
เธอเป็นเด็กหญิงน่ารักมากจริง ๆ หรือน่าจะเป็นสาวน้อย เพราะเธอต้องมีอายุสักยี่สิบสองหรือว่ายี่สิบสามปี รูปร่างไม่สูงนักสัดส่วนของเธอกลมกลึงและงดงาม ก้าวย่างของเธองามสง่าเหมือนอย่างกวาง และเธอช่างเหมือนกับกวางโดยเฉพาะดวงตากลมโตแวววาว ผิวเธอคล้ำสวยงามเส้นผมเป็นลอนสีน้ำตาลเข้ม ผิวหน้าสดใสเหมือนผลมะกอก รูปปากได้สัดส่วนริมฝีปากแดงจัด สำหรับข้าพเจ้าเธอดูเหมือนพวกอิตาเลี่ยนหรือเสปนนิชมากกว่าพวกแองโกล-แซคซัน และข้าพเจ้าเชื่อว่าที่จริงเธอต้องมีสายเลือดทางใต้จากทางพ่อของเธอ เธอสวมชุดสีกุหลาบนุ่มนวล และเครื่องประดับของเธอมีเพียงแค่สร้อยไข่มุกเส้นเดียวกับกับดอกคาเมลเลียสีแดง ข้าพเจ้าเห็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวถ้านั่นจะเป็นข้อเสียในความงามสมบูรณ์แบบของเธอ นั่นคือรอยประหลาดสีขาวเหนือทรวงอกของเธอรูปร่างของมันเหมือนดวงจันทร์เสี้ยวอย่างที่สุด
ใบหน้าของเธอประทับใจข้าพเจ้ามากกว่าเรือนร่างส่วนอื่น มันสดใสกระจ่างเต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียวและเห็นอกเห็นใจและตอนนี้มีความสุข แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามีอะไรมากกว่านั้นข้าพเจ้าคิดถึงสิ่งลี้ลับ บางสิ่งที่มารดาพูดกับเธอบางทีอาจเกี่ยวกับเสื้อผ้าของเธอทำให้รอยยิ้มของเธอหายไปชั่วครู่ และในตอนนั้นจากภายใต้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เงาของสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ปรากฏออกมา เพียงวินาทีเดียวมันก็หายไปและเธอก็หัวเราะใหม่อีกครั้ง แต่ข้าพเจ้าผู้เคยชินกับการสังเกตสามารถจับร่องรอยอันนี้ได้บางทีอาจเป็นแค่คนเดียวในหมู่คนทั้งหมดนั้น มากไปกว่านั้นมันยังเตือนให้ข้าพเจ้าระลึกถึงบางสิ่ง
มันอะไรกันหรือ ? อาห์ ! ข้าพเจ้ารู้แล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นเป็นบางครั้งบนใบหน้าของหญิงชาวซูลูผู้มีนามว่า มามีนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั่วขณะที่เธอกำลังจะตายอย่างน่าพิศวงและโศกสลด ความคิดนั้นทำให้ข้าพเจ้าหนาววูบขึ้นมาเล็กน้อยข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร เพราะแน่นอนแล้วข้าพเจ้ารู้ดีว่าหญิงตระกูลสูงโชควาสนาดีชาวอังกฤษไม่มีอะไรที่เหมือนกับหญิงที่ถูกเคราะห์กรรมซัดกระหน่ำเธอผู้มีฉายาว่าธิดาแห่งพายุคนนั้น ผู้ที่มีวิญญาณชั่วร้ายและใฝ่สูงสิงอยู่ในร่างของหญิงที่มีนามว่า มามีนา พวกเขาอยู่ห่างไกลกันเหลือเกินดินแดนซูลูกับเอซเซก แต่ค่อนข้างแน่นอนว่าทั้งคู่ถูกครอบงำจากสิ่งลี้ลับ
ลอร์ดแรกนอลยิ่งดูเหมือนกับ แวน ไดค์ผู้โอ่อ่ามากยิ่งขึ้นในเครื่องแต่งกายชุดราตรี เขาก้าวออกไปต้อนรับคู่หมั้นกับมารดาของเธอด้วยการโค้งอย่างสุภาพ และข้าพเจ้าก็กลับมาคิดถึงเรื่องจูดิธผู้ห้าวหาญกับหัวอันน่าเกลียดของโฮโลเฟอร์เนสอีกครั้ง ในไม่ช้าข้าพเจ้ารู้สึกถึงเสียงอันนุ่มนวล-เสียงที่ตื่นเต้นมีชีวิตชีวามากเหลือเกิน-ถามขึ้นใกล้ ๆ ตัวข้าพเจ้า
"คนไหนกัน ? โอ ! คุณไม่ต้องตอบหรอกที่รัก ฉันรู้รายละเอียดของเขาแล้ว"
"ใช่แล้ว" ลอร์ดแรกนอลตอบคุณโฮลมส์-เพราะว่าเป็นเธอคนนั้น-"คุณเดาถูกแล้ว ฉันจะแนะนำตัวคุณกับเขาในไม่ช้า แต่ที่รัก คุณปรารถนาที่จะให้ใครเป็นคนพาเข้างานเลี้ยงคืนนี้ ? ผมทำไม่ได้-เพราะต้องเป็นผู้พาคุณแม่ของคุณเข้างาน และคืนนี้ไม่มีขุนนางมาร่วมงานด้วยคุณเลือกได้เองตามใจ คุณจะเลือกคุณหมอเฒ่าเจฟฟรี่ยส์ผู้สอนศาสนาคนนี้ไหม ?
"ไม่" เธอตอบค่อนข้างหนักแน่น "ฉันรู้จักเขาแล้ว เขาเคยพาฉันเข้างานมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันต้องการคุณอัลลัน ควอเตอร์เมนเป็นผู้พาฉันเข้างาน เขาน่าสนใจดีและฉันอยากจะฟังเรื่องจากอาฟริกา"
"ดีทีเดียว" เขาตอบ "และเขาน่าสนใจมากกว่าทุกคนที่เหลืออยู่ทั้งหมด แต่ว่าลูนา ทำไมคุณถึงคิดและพูดถึงแต่อาฟริกา ? ใคร ๆ อาจจะคิดว่าคุณกำลังจะไปอยู่ที่นั่น"
"สักวันหนึ่งฉันคงไปอยู่ที่นั่น" เธอตอบอย่างฝันเฟื่อง "ใครจะไปรู้ว่าเราเคยอยู่ที่ไหนหรือว่าจะไปอยู่ที่ไหน !" และอีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเห็นสิ่งลี้ลับปรากฏบนใบหน้าของเธอ
ข้าพเจ้าไม่ได้ยินการสนทนาต่อไปจากนั้นอีก ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกการฟังจากสถานที่เงียบสนิทมาตลอดชีวิตจะจับเสียงการสนทนาทั้งหมดนั้นได้ ขอบอกตามตรงข้าพเจ้าปลีกตัวออกมาหลบไปทางอีกด้านหนึ่งของห้องใหญ่โดยหวังว่าจะหลีกเลี่ยงความตั้งใจของคุณโฮลมส์ ข้าพเจ้าไม่ชอบเป็นอย่างมากที่จะแสดงตัวออกไป และข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่ามกลางผู้คนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มันไม่เหมาะสมที่ข้าพเจ้าจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำว่าที่เจ้าสาวเข้าสู่งานเลี้ยง แต่มันก็ไร้ประโยชน์เพราะในไม่ช้าลอร์ดแรกนอลก็หาตัวข้าพเจ้าจนพบพร้อมกับพาสุภาพสตรีสาวมาด้วย
"ควอเตอร์เมน ผมขอแนะนำให้รู้จักคุณโฮลมส์" เขาพูดขึ้น "เธอกังวลใจมากอยากให้คุณพาเธอเข้างานเลี้ยง ถ้าคุณจะกรุณา เธอให้ความสนใจมากใน-ใน-"
"อาฟริกา" ข้าพเจ้ากล่าวชี้นำ
"ในตัวคุณควอเตอร์เมน ผู้ที่ฉันขอบอกว่าเป็นนายพรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาฟริกา" เธอแก้ไขคำชี้นำของข้าพเจ้าพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส
ข้าพเจ้าค้อมหัวรับ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ลอร์ดแรกนอลหัวเราะแล้วจากไปทิ้งให้เราอยู่ด้วยกัน มีเสียงประกาศเรียกเชิญเข้าสู่งานเลี้ยง ในไม่ช้าเราถูกพาไปยังตรงกลางของขบวนแถวอันยาวเหยียดที่ส่องประการระยิบระยับข้ามห้องโถงกลางสู่ห้องจัดเลี้ยง เป็นห้องใหญ่โอ่โถงงดงามมีเพดานเหมือนกับโบสถ์กล่าวกันว่าสร้างมาตั้งแต่รัชสมัยราชวงศ์เพลนตาเจ็นเนท ที่นี่คุณเซาเวจผู้ซึ่งเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าใส่ใจนายผู้หญิงในอนาคตพาเราไปยังที่นั่งของเราทางด้านซ้ายมือของลอร์ดแรกนอลผู้นั่งเป็นประธานตรงหัวโต๊ะกว้างมีเลดี้ลองเด็นนั่งอยู่ทางขวาของเขา จากนั้นผู้สอนศาสนาเฒ่าคุณหมอเจฟฟรี่ยส์ผู้วางท่าผึ่งผายค่อนข้างจะเป็นนักบวชผู้เคร่งครัดกล่าวคำสรรเสริญ เพราะการสรรเสริญเป็นที่นิยมสำหรับงานเลี้ยงในวันเวลานั้น ขอประทานพรจากสวรรค์ให้พวกเราขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับอาหารที่พวกเรากำลังจะร่วมรับประทานกัน
แน่นอนที่เดียวมีคำขอบคุณอย่างมากมายสำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่เรียงกันเป็นทิวแถว แต่ทั้งหมดนั้นข้าพเจ้าจำได้เพียงเล็กน้อย นอกจากจานเงินที่ดูเหมือนธรรมดา แชมเปญ อาหารที่ตบแต่งอย่างหรูหรา และสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากกินส่งมาให้ไม่หยุดหย่อน สิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้คือคุณโฮลมส์และไม่มีสิ่งใดอื่นนอกจากคุณโฮลมส์ การสนทนาอย่างมีเสน่ห์ของเธอ ประกายจากดวงตาอันงดงามของเธอ กลิ่นหอมกรุ่นจากเส้นผมของเธอ คำยกย่องอย่างที่สุดอันไม่คู่ควรในตัวข้าพเจ้าของเธอ ขอบอกความจริงว่าเราดำเนินการสนทนาติดต่อกันไป "เหมือนกับไฟในทุ่งหญ้าตอนหน้าหนาว" อย่างที่พวกซูลูชอบพูดกัน และเมื่อการรับประทานอาหารจบสิ้นลงแล้วแต่ทุ่งหญ้ายังติดไฟอยู่
จากคุณ :
Sv
- [31 ก.ค. 45 12:03:01 ]