บุกแดนฝัน-4

    ตอนที่ 4 ผู้ป่วย
    “ไม่รู้สิแต่ในเมืองนี้มีเด็กที่เป็นชาวแดนฝันอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้นแล้วอายุสิบกว่าปีก็มีไม่ถึงสิบคนด้วยมั้ง บางทีอาจเป็นความบังเอิญก็ได้” พี่ชายเดา

    “หรือไม่ก็เพราะอะไรบางอย่างที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้ต้องการแต่เด็กในดินแดนแห่งนี้ก็เป็นได้”น้องสาวพึมพำอย่างครุ่นคิด
    ไม่ว่าผลสรุปในเรื่องนี้จะเป็นเช่นไรมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากเท่ากับการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและหาทางรักษาอย่างเร่ง ดังนั้นในบ่ายของวันนี้จึงมีการเรียกประชุมเพื่อระดมความคิดขึ้น ณ.ห้องประชุมของโรงพยาบาลซึ่งชาวแดนฝันเกือบทั้งหมดได้เข้าไปร่วมประชุมในครั้งนี้

    “จากข้อสันนิฐานเบื้องต้นที่เราได้ตรวจพบสามารถสรุปได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นตัวต้นเหตุของโรคชนิดนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทางด้านจิตใจหรือความเครียดของเด็กเลยแม้แต่น้อย มันจะต้องเกิดขึ้นจากการกระทำของอะไรบางอย่างหรืออาจเป็นฝีมือของใครบางคนที่กำลัง....”แพทย์คนหนึ่งพยายามอธิบาย

    “ทำไมพวกเราถึงต้องเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ด้วย” เสียงของใครคนหนึ่งในที่ประชุมเอ่ยแทรกขึ้น ทำให้หัวหน้าแพทย์ชาวแดนฝันชะงักลงกลางคัน
    “ท่านโรคาพูดถูกในเมื่อเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชาวแดนฝันเลย ไม่มีเด็กชาวแดนฝันสักคนที่ป่วยเป็นโรคนี้” พาญาเจ้าของร้านซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งพูดสนับสนุน

    “ไยท่านทั้งหลายจึงคิดเช่นนั้น พวกท่านคงลืมบางสิ่งไป บางสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอพยพจากดินแดนอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนมาสู่ดินแดนแห่งใหม่ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยดูถูกกันไว้” เสียงของหัวหน้าแพทย์ห้าวลึกและหนักแน่น
    “หากปัญหานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเราจะทนนั่งเฉยไม่ให้ความ
    ร่วมมือหรือช่วยเหลือคนดินแดนนี้เลยงั้นรึ จะปล่อยให้พวกเด็กๆทุกข์ทรมานตายจากไปโดยไม่ทำสิ่งใดเลย เพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่ชาวแดนฝัน... เสียงนายแพทย์ใหญ่หยุดลงไปช่วงหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า

    “และสิ่งสำคัญที่สุดที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อชาวแดนฝัน เพราะสิ่งใดก็ตามที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้มันมาจาก
    ดินแดนแห่งฝัน”
    ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องประชุมชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เสียงแสดงความประหลาดใจจะดังขรมไปทั่ว
    “แล้วเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร?” เทราตำรวจจราจลเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

    “ข้าไม่อาจสรุปได้ในตอนนี้ เพราะข้าเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านจิตใจของมนุษย์มากนัก ข้าจึงอยากขออาสาสมัครสักคนช่วยไปเชิญท่านฟาเรดาในเมืองด้านตะวันออกมาช่วยพวกเราอีกแรงหนึ่ง”
    “ข้าขออาสาสำหรับหน้าที่นี้เองท่านลูส” เนริออลเอ่ยขึ้นในทันทีที่ชายชราพูดจบ

    การประชุมยุติลงภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยความไม่สบายของทุกฝ่าย สองพี่น้องชาวแดนฝันออกจากห้องประชุมเกือบจะเป็นคนสุดท้าย
    “ยังมีเวลาอีกเล็กน้อย พี่อยากไปเยี่ยมพวกเด็กๆก่อน” เนริออลเอ่ยเมื่อเดินผ่านห้องพักผู้ป่วย

    ภายในห้องพักผู้ป่วยถูกขยายพื้นที่ออกถึงสามเท่า ผนังทั้งสี่ทาสีเหลืองอ่อนนวลตา ตัดกับแจกันดอกไม้ที่วางไว้ให้ความสดชื่นอยู่หลายจุด กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่ว เตียงกว่าห้าสิบเตียงถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ตัวเตียงทำจากแร่เหล็กชนิดหนึ่งมีสีทองอมแดง ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือมีความแข็งแกร่งพอๆกับความอ่อนนุ่มในยามที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายฟาดถูก  ฟูกที่ใช้บนเตียงก็เช่นกันมันสกัดมาจากใยของพืชชนิดหนึ่งสามารถปรับอุณภูมิให้เหมาะกับร่างกายของผู้ป่วย ห้องแห่งนี้มีพยาบาลอยู่เพียงสามคนแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพราะภายในห้องนี้ถูกควบคุมด้วยระบบพิเศษที่เน้นในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นอันดับหนึ่ง

    เนริออลเดินผ่านเคาเตอร์ด้านหน้าห้องตรงไปยังเตียงที่ห้าทางด้านขวา ชายหนุ่มทอดสายตามองเด็กสาวในเครื่องแต่งกายของโรงพยาบาลดูผ่ายผอมลงทุกวันๆ ดวงตาสีนิลฉายแววหวาดกลัวและเหม่อลอยในบางครั้ง ริมฝีปากสีชมพูที่เคยเต็มอิ่มกลับแห้งผากราวทะเลทราย อีกทั้งผิวหนังของเด็กสาวก็เริ่มเหี่ยวย่นลง
    “ดูอาการเธอไม่ดีขึ้นเลย” ชายหนุ่มหันไปคุยกับพยาบาลชาวแดนฝัน

    “ค่ะ เธอแย่ลงทุกวันโดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็วและผิวหนังที่เริ่มเหี่ยวย่น” พยาบาลตอบด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
    “เธอทานอาหารไหมคะ”
    “ทานค่ะ ครบทั้งสามมื้อด้วยแต่ก็ด้วยวิธีสะกดจิต นั่นแหละค่ะ”
    “แล้วเด็กคนอื่นๆละครับ”
    “ก็เริ่มมีอาการเช่นนี้บ้างแล้ว ท่านคงยังไม่ทราบเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนมีเด็กจำนวนหกคนที่ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินเนื่องจากอาการทรุดหนักลงผิดปกติ พวกเขาเป็นกลุ่มแรกของโรคนี้”

    “มันรวดเร็วขนาดเชียว” ชายหนุ่มอุทานอย่างตกใจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดออก
    พอลก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อเหลือบไปเห็นร่างของเพื่อนสาว
    “ดู ...เบลแย่จังเลยครับ” เด็กชายกล่าวเสียงแหบแห้ง
    “อีกไม่นานหรอกพอลเราจะหาทางรักษาพวกเขาได้ พี่กำลังจะไปเมืองทางตะวันออกเพื่อตามหาคนที่จะช่วยเขาได้ เธอจะไปกับพี่ไหม?” เนริออลชวนเพราะหวังว่ามันจะช่วยดึงความสนใจของเด็กชายได้
    “ครับ” พอลรับคำหงอยๆ

    เด็กชายเดินตามสองพี่น้องไป .. แต่ก่อนที่จะออกจากห้องพอลหันไปมองเพื่อนสาวด้านซ้ายสุดของห้อง แต่พอหันกลับไปมองมันอีกครั้ง มันก็หายวับไป
    “รีบไปเถอะพอล” ชายหนุ่มชาวแดนฝันเร่ง
    เด็กชายจึงเร่งเดินออกจากห้องตามพวกเขาไป

    เนริออลพาพอลเดินออกมายังประตูเหล็กดัดบนดาดฟ้าที่พวกเขาเคยพาชายผู้ได้รับบาดเจ็บเข้ามาส่ง
    “น้องจะอยู่ทางนี้ต่อ พี่กับพอลไปกันสองคนนะคะ” นาราฟาเอ่ย
    “แล้วพี่จะรีบกลับมา”
    “เราจะไปกันยังไงครับ” เด็กชายถาม เขาอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้คงจะดีหรอกนะถ้าจะได้นั่งรถเทียมยูนิคอร์นอีก
    “ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกพอล” เขาขัดขึ้นราวกับล่วงรู้จิตใจของพอล
    “เราจะขี่เปกาซัสไป อีกเดี๋ยวคงจะมาพี่เรียกเขาไปแล้ว”

    “เรียก? ...จากไหนครับ แล้วที่นี่ไม่มีเขาเหรอ”
    “พี่เรียกมาจากในร้านไง ที่นี่ก็มีแต่เป็นเปกาซัสขาวเราใช้มันในเวลานี้ไม่ได้ พอลคงยังไม่เคยเห็นเปกาซัสตัวใหญ่ที่พี่เพิ่งได้มา”
    “เป็นไงครับ” เด็กชายถาม
    ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องอธิบายให้ฟังเพราะทันทีที่สิ้นเสียงของพอล ตรงหน้าเขาทั้งสองก็ปรากฎจุดเล็กๆสีทองขึ้นก่อนค่อยๆขยายแจ่มชัดขึ้น จนกลายเป็นร่างของเปกาซัสตัวใหญ่กางปีกถลาลงมาตรงหน้าทันที มันเป็นม้าที่สวยที่สุดเท่าที่เด็กชายเคยเห็นหรือจินตนาการถึง ขนสีทองอร่ามทั่วทั้งตัวส่องประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเฉกเช่นลูกแก้วใสมองบุคลตรงหน้าอย่างเป็นมิตรพร้อมกับก้มหัวให้ พอลอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสมัน ทันทีที่ปลายนิ้วทั้งห้าแตะลงบนลำตัวสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือความอ่อนนุ่มและลื่นของขน

    “พี่ว่าเรารีบไปกันเถอะ” เนริออลกล่าวพลางอุ้มพอลขึ้นนั่งบนหลังเปกาซัสก่อนที่ตัวเขาเองจะตามขึ้นไปโดยมีปีกของมันช่วยพยุง
    เด็กชายกอดแผงคอของมันไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวแกมตื่นเต้น ขณะที่สองปีกด้านข้างกระพือขึ้นแล้วพุ่งทะยานเข้าสู่กลีบเมฆ
    “พี่นัทไม่กลัวคนเห็นหรือครับ” พอลถามขึ้นขณะที่ยังนั่งอยู่บนหลังเปกาซัสบินไปตามทางที่แสงอาทิตย์สาดส่อง ดวงตะวันเบื้องหลังยังคงแรงกล้าจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหลีกพ้นสายตาใครต่อใครได้

    “ไม่มีทางหรอกพอล เปกาซัสสีทองเป็นสัตว์ผสมสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถอำพรางเราได้จากบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์”
    “แล้วอีกนานไหมครับกว่าเราจะถึงเมืองนูน”
    “ความเร็วแบบนี้คงอีกประมาณ 20 นาทีได้มั้ง ใจเย็นน่าพอลคราวนี้เรามาบนฟ้าไม่ได้มาทางลัดอย่างคราวก่อน”
    ก็แล้วทำไมถึงไม่ใช้ทางลัดเล่า...พอลนึกเถียงในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปาก
    ดูเหมือนนี้จะเป็นอีกครั้งที่เนริออลเดาความคิดของเด็กชายออก
    “ทางลัดนะเขามีไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เพราะมันต้องใช้รถเทียม
    ยูนิคอร์วิ่ง แล้วพี่ก็ไม่มีเจ้ายูนิควร์กับรถนั้นเป็นของส่วนตัวด้วย เพราะฉะนั้นทนนั่งเจ้านี้ต่อไป” เนริออลพูดด้วยอารมณ์ขันเมื่อเห็นเด็กชายเริ่มออกอาการเบื่อ

    ประมาณยี่สิบนาทีต่อมาร่างม้าสีทองมีปีกตัวใหญ่ซึ่งมีคนสองคนนั่งติดหลังมาด้วยก็ล่อนถลาลงอย่างนิ่มนวลบนดาดฟ้าของอาคารหลังหนึ่งใจกลางเมืองด้านตะวันออก
    “รอพวกเราอยู่นี่นะ”ชายหนุ่มชาวแดนฝันกล่าวและดูเหมือนว่าเจ้า
    เปกาซัสตัวนี้จะสามารถเข้าใจภาษาได้อย่างชัดเจน มันหุบปีกทั้งสองข้างหายเข้าไปในลำตัวก่อนจะนอนรออย่างเงียบๆ
    เนริออลเดินนำเด็กชายลงจากดาดฟ้า พอลสอดสายตาไปรอบๆอาคารชั้นนี้ก่อนจะเริ่มคาดคะเนว่าที่นี่คือที่ใด
    ตอนนี้พวกเขาขึ้นมาอยู่บนทางเดินระเบียงปูด้วยหินอ่อนขัดมันทอดตัวยาวไปจนสุดผนังด้านตรงข้าม ด้านนอกของทางเดินคือต้นไม้ที่ปลูกอยู่ภายในกระถางเรียงรายยาวไปตลอดทาง
    มันคือต้นปาลม์สูงไม่เกินเด็กชายแม้จะอยู่ในกระถางแคบๆแต่ความสมบูรณ์แข็งแรงของมันก็ยังปรากฎให้เห็นได้เด่นชัด ส่วนซ้ายมือนั้นคือห้องห้าห้องตั้งเรียงรายไปตามทางเดินเช่นกันเสียงเจี้ยวจ้าวดังออกมาจากแต่ละห้องตลอดเวลาและทันทีที่สัญญาณกริ่งดัง
    ประตูห้องก็ถูกเปิดออกและเด็กจำนวนหลายสิบคนทยอยกันออกมา
    “คงพวกเด็กที่มาเรียนพิเศษกระมัง” เนริออลเปรย

    จากคุณ : ไฟลี่ - [1 ส.ค. 45 08:04:25 A:210.203.182.14 X:]