เรื่องของฉัน 38

    ตอนที่ 38

    วันรุ่งขึ้นเราสองคนต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปรับป๋ากับแม่ขับรถล่องลงมากรุงเทพเพื่อไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงรับรองภาคสองที่ป๋าจัดให้มีขึ้นที่ราชกรีฑาสโมสร งานนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ป๋ากับแม่รับผิดชอบส่งบัตรเชิญไปทั้งสิ้นกว่าสองร้อยใบ คะเนจากแขกที่มาร่วมงานก็เต็มตลอดความยาวของระเบียงคลับเฮาส์ชั้นสองพอดี ๆ มีนักร้องยอดนิยมในสมัยนั้นซึ่งได้แก่สุเทพ วงศ์กำแหงและจินตนา สุขสถิตย์ รับเชิญมาเป็นดาราชูโรงร้องเพลงขับกล่อมแขกที่มาร่วมในงานด้วย นอกจากนั้นยังมีการแสดงที่เรียกว่า “ฟลอโชว์” ซึ่งเป็นการแสดงของฝรั่งคล้าย ๆ กับจำอวดและการแสดงมายากลผสมปนเปกันไป ที่ฉันและแขกที่ไปในงานต่างเห็นว่าแปลกเพราะการแสดงเช่นนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นกันในงานรับรองการแต่งงานใด ๆ มาก่อน

    พ่อเทพกับแม่ปัญญาและญาติข้างตุ่มไม่มีใครตามลงมางานที่กรุงเทพฯเลย ทุกคนให้เหตุผลสั้น ๆ แต่กินใจว่า “ย่านอีหลีตั๊ว บ่ไปนำดอก” แขกของฉันก็คงมีแต่เพื่อน ๆ สมัยเรียนและพวกเพื่อนและพี่ที่ทำงานอยู่ซีเอโอในกรุงเทพกับเพื่อนสองสามคนจากอุดรที่ตามลงมาให้กำลังใจด้วย แขกของตุ่มจริง ๆ ในคืนนั้นจึงไม่มีเอาเลย เหมือนกับเป็นลางเตือนให้รู้ว่าชีวิตของตุ่มในกรุงเทพในวันข้างหน้าไม่น่าจะอบอุ่นแต่จะอ้างว้างกว่าที่อุดรอย่างแน่นอน ฉันขอให้ มร.เบลค เป็นตัวแทนผู้ใหญ่ฝ่ายชายขึ้นกล่าวอวยพร ส่วนผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงนั้นแม่ไปเชิญให้ใครก็ไม่รู้ฉันไม่รู้จักหรือเคยเห็นหน้ามาก่อน ได้ยินแม่เรียกว่า “พี่หมอ พี่หมอ” ให้ขึ้นมากล่าวในนามของตัวแทนผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว ท่านผู้นั้นก็เก่งสมกับที่แม่ให้ความไว้วางใจ ขึ้นมากล่าวยกยอเจ้าสาวว่าดีอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ได้เป็นฉาก ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วแถมยังกำชับกำชาให้ฉันดูแลเจ้าสาวให้ดี ไม่งั้นจะเอาเรื่อง เรียกเสียงเฮฮาจากแขกที่มาในงานได้พอควร ทั้ง ๆ ที่เราทั้งสามคนต่างไม่เคยพบกันมาก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด

    หลังจากงานเลี้ยงฉลองการแต่งงานครั้งที่สองผ่านพ้นไปเรื่องก็คล้ายว่าน่าจะแฮปปี้เอนดิ้งแต่ที่ไหนได้กลับมีเรื่องรกหัวใจเข้ามาเป็นเรื่องแรก ซึ่งได้แก่เรื่องทะเบียนสมรส พอเสร็จงานเลี้ยงพากันกลับมาตั้งหลักที่บ้านเอกมัย ทั้งป๋าและแม่ก็ตามมาถึงในห้องนอนทีแรกฉันก็ตกใจคิดว่าจะมาส่งตัวกันเป็นรอบที่สองแต่ที่ไหนได้ป๋ากลับมาขอร้องแกมบังคับให้ฉันและตุ่มชะลอเรื่องการจดทะเบียนไว้สักพักหนึ่งก่อนโดยอ้างเหตุผลซึ่งต่อมาในชีวิตการทำงานของฉันได้ยินจนกลายเป็นเรื่องปกติทุกครั้งที่ผู้อ้างหาเหตุผลที่ฟังเข้าหูกว่าไม่ได้ว่า “เพื่อความเหมาะสม”

    ด้วยความอ่อนด้อยประสบการณ์ในด้านความละเอียดอ่อนของอารมณ์ทำให้ฉันซึ่งไม่ได้คิดอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงตกปากรับคำไป ปรากฏว่าเมื่อป๋ากับแม่กลับออกไปกันแล้ว ตุ่มซึ่งทีแรกก็นั่งเงียบไม่ออกความเห็นใด ๆ กลับประท้วงไม่ยอมนอนนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำหูน้ำตาร่วงเผาะ ๆ เป็นเผาเต่าปากก็พร่ำรำพันว่าเสียใจนักที่ป๋ากับแม่รีบหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้คิดไปไกลถึงเรื่องทะบงทะเบียนเสียด้วยซ้ำ คล้ายกับกลัวว่าจะเข้ามาปอกลอกเอาสมบัติหรืออย่างไร พร่ำพรรณนาจนจะกลายเป็นเรื่องระหว่างไทยกับลาวไป ฉันก็ได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบไปว่าเรื่องจะจดทะเบียนหรือไม่นั้นมันอยู่ที่เราสองคนคนอื่นไม่เกี่ยว ปลอบกันไปซุกกันมาจนในที่สุดก็เลย

                 เลียมลูบจูบโฉมประโลมลอง
                 ประคองกอดอุ้มแก้ว (ตุ่ม) ขึ้นเตียงพลัน

                               ทรุดลงประจงวางกลางที่นอน
                               อย่าอาวรณ์มาพี่จะรับขวัญ
                               ยิ้มพลางทางเคล้าพัลวัน
                               รวยระรื่นรสจันทร์กระแจะทา

                                                      อ่อนนุ่มเนื้อหนังสนิทนิ่ม
                                                      จิ้มลิ้มน่ารักเป็นหนักหนา
                                                      เต้าตั้งดังดอกปทุมมา
                                                      เมื่อกลีบแย้มผกาเสาวคนธ์

                     คึกคึกพยุกล้าเมฆาเกลื่อน
                     ธุลีเลื่อนฝุ่นฟุ้งเป็นลมฝน
                     ประเปรี้ยงเสียงซ่าในสากล
                     ไม่ทานทนไหลนองทั้งแดนไตร

                                                      เสื่อมคลายหายมืดมัวพยับ
                                                      เดือนกลับส่องกระจ่างสว่างไสว
                                                      ทั้งสองสุขเกษมเปรมใจ
                                                      ตีเหล็กไฟจุดประทีบประเทืองพราย**

    **คัดลอกมาจากบทอัศจรรย์ระหว่างขุนแผนกับนางลาวทอง คำกลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน**

    เช้าวันรุ่งขึ้นฉันและตุ่มก็พร้อมใจกันไปกราบลาป๋าและแม่กลับอุดรโดยไม่รอเปิดห่อของขวัญที่ขนมากองอยู่เป็นอันมากเลยสักห่อ ช่วงเวลาที่ฉันทำงานอยู่ที่อุดรกว่าสี่ปีได้เดินทางไปกลับระหว่างอุดรและกรุงเทพหลายครั้ง ทุกครั้งที่กลับมาอุดรฉันจะมีความรู้สึกที่แปลกประหลาดในใจทุกครั้งว่าได้กลับมาถึง “บ้าน” แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน ความรู้สึกอยาก “กลับบ้าน” มีขึ้นตั้งแต่ต้องไปยืนปั้นหน้าปั้นตาอยู่ในงานเลี้ยงที่สปอร์ตคลับแล้ว

    กลับมาอุดรเที่ยวนี้ตุ่มกันฉันก็ต้องวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องหาบ้านหาช่องใหม่แทนบ้านเช่าที่บ้านถ่อนซึ่งที่แรกกะว่าจะใช้เป็นเรือนหอ สู้อุตส่าห์ให้ตุ่มย้ายออกมาจากบ้านพี่แอ๋มานอนเฝ้าเรือนหอกับ “ไอ้เตื้อง” เด็กช่วยทำงานบ้านอยู่ก่อนหน้างานแต่งตั้งหลายเดือนจึงมารู้ความจริงเอาในภายหลังว่า บ้านหลังนั้นไม่น่าจะเหมาะที่จะลงหลักปักฐานอยู่เป็นเวลานาน ๆ เพราะเพื่อนบ้านส่งเสียงดังหนวกหูมากในเวลากลางคืน ตุ่มกับฉันจึงต้องเร่ตระเวนหาบ้านเช่าแห่งใหม่และโชคดีที่ไปพบบ้านเช่าคุณภาพค่อนข้างดีอยู่ในย่านหนองประจักษ์ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของผู้ดีมีสตางค์ที่อุดร หากจะเทียบกับกรุงเทพแล้วก็น่าจะเป็นแถว ๆ บางกะปิ เป็นบ้านบังกาโลกระทัดรัดชั้นเดียวมีสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำทาสีน้ำมันสวยงามต่างกับบ้านส่วนใหญ่ซึ่งมักจะไม่ทาสี

    แม้ว่าเจ้าของบ้านจะเรียกค่าเช่าถึงพันห้าร้อยบาทต่อเดือนซึ่งถือว่าแพงมากในสมัยนั้นที่ราคาบ้านเช่าอยู่ระหว่างห้าร้อยถึงเจ็ดร้อยบาทก็ถือว่าเลิศหรูแล้ว เหตุที่แพงเพราะเจ้าบ้านต้องการกันคนไทยกะให้ฝรั่งเช่าเท่านั้นเพราะกลัวว่าจะเสียบรรยากาศบ้านที่น่าอยู่มาก แต่เมื่อฉันกับตุ่มได้พูดคุยกับเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงมีอายุหน้าตาใจดีแล้วก็เกิดถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกัน แกจึงตกลงให้ฉันเช่า แม้ว่าจะไม่ยอมลดค่าเช่าให้แต่ก็ใจป้ำเพราะเห็นว่าเป็นฉันกับตุ่มคนไทยไม่มีสตางค์มากมายเหมือนฝรั่งแถมยังเพิ่งจะแต่งงานกันก็เลยตกลงที่จะเป็นฝ่ายออกค่าน้ำค่าไฟให้ บ้านหลังนี้เองที่ตุ่มกับฉันใช้เป็นเรือนหออยู่ร่วมกันตลอดเวลาที่เหลืออยู่ที่อุดร

    เมื่อจัดการเรื่องบ้านเรื่องช่องเรียบร้อย ฉันกับตุ่มก็จูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอเมืองจังหวัดอุดรเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2516 โดยที่ป๋าและแม่ไม่มีโอกาสติดตามมาทักท้วงทัดทานแต่ประการใด ใบทะเบียนสมรสนี้ได้ใช้ประโยชน์เป็นครั้งแรกเมื่อฝ่ายบุคคลของธนาคารที่กรุงเทพทวงถามขอสำเนามาเพื่อประโยชน์ในทางภาษีเงินได้ ที่ลืมเล่าให้ฟังไปคือเรื่องที่ธนาคารมีระเบียบกำหนดไว้แน่นอนว่า หากพนักงานธนาคารคู่หนึ่งคู่ใดจะแต่งงานอยู่กินกัน จะต้องมีคนหนึ่งที่ออกจากงานไปจะอยู่ทำงานด้วยกันทั้งคู่ไม่ได้เพราะฝรั่งเกรงว่าผัวเมียทำงานด้วยกันจะเสียการปกครองอาจมีการให้คุณให้โทษกันด้วยความเกรงใจได้โดยง่าย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันทำเป็นเก่งตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายลาออกแล้วหางานอื่นในแคมพ์ทำทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหางานที่ไหนทำ แต่เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูฝรั่ง ฉันก็ถูกเรียกเข้าไปเกลี้ยกล่อมว่าน่าจะให้ตุ่มเป็นฝ่ายออกไปทำหน้าที่แม่บ้านก็แล้วกัน ฉันก็ทำท่าบ่ายเบี่ยงไปต่าง ๆ นานา ด้วยในใจแล้วไม่ต้องการให้ทั้งตัวฉันเองและตุ่มต้องออกไปวัดดวงหางานทำใหม่นั่นเองเพราะรู้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำลง ทหารอเมริกันเริ่มถอนตัวออกไป การหางานใหม่จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะง่ายนัก

    การบลั๊ฟในครั้งนั้นของฉันได้ผล พวกฝรั่งเห็นท่าไม่ดีก็เลยเรียกประชุมลับหารือกันแล้วสรุปหาทางออกอย่างง่าย ๆ ให้โดยมีคำสั่งให้โอนย้ายตุ่มไปทำงานที่แคมพ์รามสูรซึ่งเป็นสาขาย่อยของอุดรอีกที โดยวิธีนี้ พวกฝรั่งก็อนุโลมเอาว่าฉันและตุ่มอยู่คนละสาขา ไม่สามารถให้คุณให้โทษต่อกันหรือเสี่ยงต่อการเสียการปกครองได้ จึงไม่จำเป็นที่คนใดคนหนึ่งจะต้องลาออกไปให้วุ่นวาย แม้ว่าในข้อเท็จจริงนั้น ฉันซึ่งมีตำแหน่งเสริมเป็นแค็ชซุปจะต้องมีหน้าที่ขับรถธนาคารไปส่งและรับตุ่มกับหัวหน้างานอีกหนึ่งคนที่ต้องวิ่งรอกระหว่างอุดรกับรามสูรทุกวันก็ตาม ที่ฝรั่งยอมหาทางออกง่าย ๆ เช่นนี้มิใช่หมายความว่าฝรั่งจะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด แต่น่าจะเป็นด้วยเหตุที่ฝรั่งเห็นว่าอีกไม่นานนักก็จะต้องแยกย้ายกันไปอยู่แล้ว

    ชีวิตหลังแต่งงานของฉันที่อุดรยังสนุกสนานและครื้นเครงเหมือนเช่นเดิม ฉันและตุ่มก็ถูกเพื่อน ๆ ตั้งสรรพนามเสียใหม่ว่า “ผัวหนุ่มเมียสาว” พูดคำนี้ที่ไหนเป็นต้องรู้ว่าหมายถึงตุ่มกับฉัน หลังจากที่เราย้ายมาอยู่บ้านหนองประจักษ์ได้ไม่นาน ฉันก็ชวนให้ทวีและสลิดย้ายมาอยู่บ้านบังกะโลหลังที่ปลูกอยู่ติดกันซึ่งเพิ่งจะว่างลงได้สำเร็จ จึงกลายเป็นว่าทวีกับฉันเป็นเจ้าของได้ครอบครองเกือบทั้งหมดของบริเวณส่วนหลังของบ้านเช่าแห่งนี้เพราะนอกจากบังกาโลสองหลังที่ฉันกับทวีเช่าก้นคนละหลังแล้วก็มีเพียงบ้านใหญ่สองชั้นซึ่งจ่าทหารอเมริกันแก่ ๆ เช่าอยู่กับเมียคนไทยเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นบ้านที่ปลูกอยู่ในส่วนหน้าของบริเวณบ้านเช่านั้นทั้งสิ้น ลานบ้านระหว่างบังกะโลทั้งสองหลังของฉันและทวีจึงกลายเป็นลานสโมสรกลางแจ้งส่วนตัวของเราไปโดยปริยาย เราไปจ้างช่างแกวต่อโต๊ะปิงปองเอามาตั้งไว้กลางลานหนึ่งชุด แต่ปรากฏว่าคนที่ตีปิงปองได้เก่งที่สุดไม่มีใครโค่นลงได้กลับไม่ใช่คนที่พากันไปต่อโต๊ะปิงปองมา กลายเป็นตุ่มไปเสียฉิบ ถ้าจะตีเอาแรงแล้วตุ่มคงสู้ฉันกับทวีไม่ได้เพราะต่างก็เป็นมือตบระเบิดระเบ้อกันทั้งสองคน แต่ตุ่มมีดีที่ลูกเสิร์ฟ ที่เรียกว่า “ลูกเหม็น” กับลูกตื้อ ที่ตื้อใจขาด ตบอย่างใดรับได้หมด จนคนตบตายไปเองบ่อย ๆ

    ถัดจากโต๊ะปิงปองมามีชุดสนามที่เจ้าของบ้านเช่าตั้งไว้ให้หนึ่งชุด เป็นโต๊ะหิน ตรงกลางด้านใต้โต๊ะเป็นช่องสามารถยกเตาถ่านใส่เข้าไปข้างในได้ อากาศในหน้าหนาวที่อุดรนั้นหนาวจับใจนัก หากคิดว่าจะนั่งกินเหล้าติดลมขี้เกียจย้ายในภายหลังแล้วจะต้องเตรียมเอาเตาถ่านมาใส่ใต้โต๊ะหินไว้ พอเริ่มอากาศเริ่มเย็นก็ติดไฟผิงไฟไป กินเหล้าไป อุ่นพอสบาย ๆ สุขอะไรจะเทียมเท่า นอกจากโต๊ะปิงปองแล้วทวียังไปจ้างช่างแกวต่อแป้นบ้าสมาติดไว้กับหลังคาโรงรถซึ่งแยกต่างหากจากตัวบ้านไว้ให้ใครที่ต้องการเรียกเหงื่อแก้เมาซ้อมยิงลูกโทษได้หรือจะเล่นบ้าสครึ่งสนามก็ยังได้อีกด้วย

    (โปรดอ่านต่อไปได้อีกนิดที่ความคิดเห็นที่ 1)

    จากคุณ : แมงกระพรุน - [2 ส.ค. 45 03:52:14 A:203.149.40.146 X:]